Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ดูแล้วมาเขียน +++ X-Men: First Class – ทางเลือกของคนที่แตกต่าง (อีกแล้ว) (B) ติดต่อทีมงาน

การตีแตกประเด็นเรื่องการยอมรับตัวเองและหาจุดยืนของคนที่แตกต่างจากคนอื่นดูจะเป็นแก่นหลักที่ X-Men ยึดถือมาตลอดตั้งแต่ภาคก่อนหน้านี้ (ยกเว้นในช่วงของ Wolverine ที่เป็นเส้นเรื่องแยกออกไปโดยเน้นแอ็คชั่นเป็นหลัก) ซึ่ง X-Men: First Class ก็ยังตอกย้ำประเด็นเหล่านี้ด้วยเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ต่างๆ ที่แฝงเข้ามาด้วยฉากแอ็คชั่นเวอร์ๆ ตื่นเต้น โดยยังแอบสอดแทรกความคิดไว้อย่างแยบคาย เพียงแต่น่าเสียดายอยู่บ้างที่หนังไม่ได้ก้าวไปไกลกว่าภาคก่อนๆ นักในขณะที่ทรัพยากรบางอย่างที่ปูเอาไว้ก็ถูกทอดทิ้งไว้อย่างน่าเสียดาย

เส้นเรื่องหลักใน X-Men: First Class จะย้อนกลับไปดูที่มาของสองตัวละครหลักนั่นคือ ชาล์ส ซาเวียร์ (หรือในภายหลังคือ Profressor X) และ อีริค เลนเชอร์(หรือภายหลังคือ Magneto) ซึ่งพื้นหลังจะปูให้เห็นว่าชาล์สโตมากับความรู้และความสามารถจากปัญญา แน่นอนว่าเขาใช้เหตุผลควบคุมอารมณ์รวมทั้งใช้มันเข้าถึงผู้คนอื่นๆ แตกต่างจากอีริคที่โตมากับอดีตที่ขมขื่น การตกเป็นหนูทดลองของนาซีและกลายเป็นอาวุธสงคราม แน่นอนว่าพลังอันมหาศาลของเขาจึงมาพร้อมกับความโกรธแค้นที่ซ่องสุมไว้ และทั้งสองคนก็มาพบกันเมื่อผู้ร้ายโจทก์เก่าของอีริคอย่างเซบาสเตียน ชอร์ ซึ่งกำลังต้องการปลุกไฟสงครามโลกครั้งที่สามให้เกิดขึ้นเพื่อหวังจะสร้างโลกใหม่ให้กับมนุษย์กลายพันธุ์

ด้วยสถานการณ์ทางสงครามที่เข้มข้นทุกขณะ ทั้งสองคนจึงร่วมมือกันตั้งกลุ่มเฉพาะกิจของมนุษย์กลายพันธุ์ภายใต้การสนับสนุนของ CIA เพื่อเข้าหยุดยั้งแผนการชั่วร้ายของชอร์ให้ได้ แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้นเพราะชอร์และกองทัพของเขาก็ล้วนมีพลังพิเศษที่ร้ายกาจเช่นเดียวกัน กลุ่มของชาล์สและอีริคต้องกระโจนเข้าสู่สมรภูมิคิวบาเพื่อยั้บยั้งสงครามนิวเคลียร์ที่กำลังจะถูกจุดขึ้นมาให้ทันเวลา โดยหารู้ไม่ว่าผลที่ตามมานั้นจะส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาและเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

การดำเนินเรื่องของ X-Men: First Class ทำได้ดีสมกับเป็นหนังแอ็คชั่นประเภทยอดมนุษย์ กับการผูกปม ประเด็นและแนะนำตัวละครต่างๆ ระหว่างทาง โดยในภาคนี้จะเห็นได้ว่ามีการพยายามสอดแทรกประเด็นปรัชญาด้าน “ตัวตน” และ “การยอมรับ” เข้ามามากขึ้นเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับภาคก่อนๆ โดยส่วนหนึ่งเพราะเป็นภาคที่มีโอกาสให้สองตัวละครที่อยู่คนละขั้ว (ในภายหลัง) ได้มาประจันหน้าถกความคิดกัน เราจึงจะได้ยินประโยคเด็ดๆ จากปากของสองตัวเอกอยู่เกือบตลอดเรื่อง แถมยังมีตัวละครรองอย่างมิสทีคและบีสท์ที่ดำเนินเรื่องพล็อตรองเพื่อสนับสนุนประเด็นดังกล่าวด้วย

อันที่จริงแล้ว นอกจากประเด็นเรื่องการยอมรับตัวตนที่แตกต่าง และการคงอยู่ของตัวตนในสังคมที่กีดกันแล้ว หนังยังพยายามเล่าประเด็นเรื่องอำนาจและพลังที่เกิดขึ้นของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ว่าขีดอำนาจของมันไม่ได้มาจากความโกรธแค้นแบบเดียวกับที่อีริคเข้าใจ โดยใช้ตัวละครอย่างชาล์สเป็นตัวเปรียบเทียบว่าหากใช้เหตุผลและปัญญาเข้ามาควบคุมแล้วต่างหากที่จะดึงพลังที่แท้จริงออกมาได้ รวมทั้งความรู้สึกปิติ ห่วงใย และความรักนั้นคือที่มาของพลังอันมหาศาลกว่า

แต่ก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกันว่าหนังที่พยายามปูและเล่าประเด็นดังที่กล่าวมานั้นกลับไม่สามารถทำสำเร็จได้อย่างที่มันหวังไว้เสียสักเท่าไร โดยหากจะกล่าวไปแล้ว ผู้ชมก็พอจะสัมผัสความคิดเหล่านี้ได้อยู่ตลอดเรื่อง แต่ยังไม่สามารถทำให้รู้สึกอินเข้าไปได้เท่าไรนัก ส่วนหนึ่งเพราะการกระจายของเรื่องที่ต้องพะวงกับตัวละครต่างๆ ที่แห่กันเข้ามาจนยากจะทอดทิ้ง และกลายเป็นว่าหนังเลยไม่สามารถให้น้ำหนักกับตัวละครที่จะเป็นตัวแทนของความคิดได้ลงลึกพออย่างในกรณีของตัวละครมิสทิคที่บทปูให้มีความสลับซ้บซ้อนในปมด้านความคิดกับร่างกายของตัวเอง แต่ตอนสุดท้ายบทก็รวบรัดตัดความการตัดสินใจของเธอจนเราไม่สามารถลงลึกไปความคิดของเธอได้มากพอ ซึ่งกรณีนี้ก็เช่นเดียวกับอีริคที่มองว่ามนุษย์ปรกติกีดกันต่อต้านมนุษย์กลายพันธ์ แต่หนังไม่ได้อธิบายให้เคลียร์ละเอียดเท่าไรโดยใช้คาแร็คเตอร์การเป็น dark hero ของเขารวบรัดในตอนท้ายเอาเสียอย่างนั้น

ในขณะเดียวกันพอกลับมามองเรื่องตัวละครอื่นๆ ในเรื่องรวมทั้งความสามารถ “พิเศษ” ของพวกเขาแล้ว ก็กลับไม่ได้รู้สึก “ลึก” ไปกับตัวละครเสียสักเท่าไร โดยอาจจะเรียกได้ว่าตัวละครที่เพิ่มเข้ามานั้นไม่ได้มีเสน่ห์อะไรให้น่าจดจำนัก ทั้งในด้านความสามารถพิเศษและบทของตัวละครเองด้วย จนสุดท้ายพวกเขาดันกลายเป็นตัวประกอบอดทนในเรื่องแทนที่จะเป็นกลไกสำคัญในกองทัพ X-Men ไปซะอย่างนั้น

ปัญหาอย่างหนึ่งที่ X-Men: First Class เจอคือการที่หนังต้องเล่าตัวละครใหม่ที่คนแทบไม่รู้จักพวกเขาเลยเกือบ 10 คน แถมยังต้องปูทางให้ตัวละครหลักและปมสงครามอีก นั่นทำให้การเรียบเรียงเรื่องให้ลึกและคมคายทำได้ค่อนข้างยากในขณะที่หนังก็ไม่กล้าจะฟันธงจับเฉพาะส่วนสำคัญเพราะกลัวเสียกลุ่มผู้ชมบางส่วนที่หวังจะรอชมฉากแอ็คชั่นเวอร์ๆ ไป

แต่ถ้าเรามองในแง่ของหนังแอ็คชั่นแล้ว X-Men: First Class ก็นับเป็นหนังแอ็คชั่นที่สนุก มีประเด็น ไม่ใช่เอะอะระเบิดตึกตูมตามแบบไร้เหตุผลเสียทีเดียว หนังมีอะไรดีๆ อยู่ในตัวเองอย่างเช่นการแสดงอันโดดเด่นของสองนักแสดงหลักคือ James McAvoy และ Michael Fassbender ที่ถ่ายทอดบทของชาล์สและอีริคได้อย่างลึกและน่าสนใจไม่แพ้ดาราชั้นนำที่เคยทำไว้ในสมัยภาคแรกๆ

X-Men: First Class ก็น่าจะเป็นหนังปฐมบทที่ดีหากมองซีรี่ย์ X-Men ที่มีมาทั้งหมด หนังทำอยู่ในระดับเกณฑ์ดี แต่ก็น่าเสียดายอยู่บ้างว่ามันค่อนข้างจำเจหากเราเหลียวไปมองภาคก่อนหน้านี้ เพราะมันก็ช่างเล่าเรื่องคล้ายคลึงกันเสียเหลือเกิน

เล่นเอาถ้าคุณเป็นแฟนหนัง X-Men ทุกภาคแล้ว ภาคนี้ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ให้คุณดูสักเท่าไรเลยนั่นแหละ


ที่มา www.barkandbite.net

 
 

จากคุณ : surviorx
เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 54 21:38:04




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com