 |
Super 8 .... มันคือหนังสำหรับคนรักหนังสปีลเบิร์กอย่างแท้จริง (No Spoiler)
|
 |
.... เนื่องจากว่าปกติเวลาผมดูหนังรอบสื่อหรือรอบพิเศษส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยเข้ามาแสดงความรู้สึกหรือวิจารณ์อะไรบางอย่างในเฉลิมไทยซะเท่าไหร่นัก เพราะก็มีคนที่ดูรอบสื่อเสร็จแล้วมักทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว อย่างคุณ Filmzlap หรือคุณ negima_xx เป็นต้น (ยกเว้นใน Twitter) แต่สำหรับโอกาสนี้ผมเลยขอเขียนความรู้สึกกับหนังรอบสื่อเรื่องล่าสุดที่ผมไปดูมาหน่อยละกัน เพราะมันประทับใจมาก และมันได้ใจผมเต็มๆ
เคยมีมั๊ย ? ที่ผู้กำกับหนังคนนึง เคยแถลงข่าวว่า "ผมจะทำหนังเรื่องนี้ เพื่ออุทิศให้กับผู้กำกับในดวงใจผมคนนึง" แล้วพอผลงานออกมา สิ่งที่เขาทำเป็นอย่างที่เขาพูดมั๊ย ? คำตอบก็คือ มีน้อยมากๆ ที่จะมีหนังของผู้กำกับหนังคนนึง ที่ต้องการถ่ายทอดในหนังที่เขาทำออกมา เพื่อแสดงความรักและความนับถือต่อผู้กำกับที่เขาชื่นชอบสุดในชีวิต คือมันอาจมีองค์ประกอบต่างๆที่อุทิศให้หนังของผู้กำกับในดวงใจคนนั้นก็จริง แต่ถ้าฟีลความรู้สึกหนังมันไม่สามารถไปถึงได้ หนังทั้งเรื่องก็จะเฟลและเหมือนแค่พยายามแต่ไปไม่ถึงที่สุดเสียที จนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับหนังเรื่อง Super 8
.... ผมเชื่อมั่นว่าหลายๆคนนั้นคาดหวังในตัวหนัง Super 8 มากๆว่า ตัวหนังจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับ Cloverfield แน่ๆ หรือไม่ก็เป็นภาคก่อน นั่นเพราะว่า มันเป็นหนังของเจเจ เอแบรมส์ด้วย แล้วมันเป็นหนังที่มีการประชาสัมพันธ์ลับมากๆ ตั้งแต่เปิดตัวทีเซอร์ ทั่งที่หนังยังไม่ได้เริ่มเปิดกล้องด้วยซ้ำ และประการสุดท้ายมันเกี่ยวข้องอสุรกายด้วย ซึ่งนั่นก็อาจทำให้คนนำไปเชื่อมโยงกับหนังเรื่องนั้นได้
.... แต่ความจริงคือ โปรเจคหนัง Super 8 นั้นเจเจ เอแบรมส์ได้สร้างออกมาเพื่อ ต้องการจะอุทิศให้กับหนังเก่าๆของสปีลเบิร์กที่เขาเคยดูมาตั้งแต่เด็ก พูดง่ายๆก็คือมันเป็นจดหมายรักแห่งความผูกพันธ์ที่เขามีให้ต่อหนังสปีลเบิร์กตั้งแต่เขายังวัยรุ่นจนโตมาทำงานเป็นโปรดิวเซอร์/ผู้กำกับ เพราะว่าสปีลเบิร์กคือแรงบันดาลใจเขาในการให้เขาก้าวมาสู่ในโลกมายา นับตั้งแต่วันที่เขายังใหม่ๆตอนทำซีรี่ส์เรื่อง Felicity จนกระทั่งเขาได้ก้าวมาสู่การเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ทีวีซีรี่ส์ที่ดังสุดๆของยุค (Alias, Lost, Fringe) และเป็นผู้กำกับหนังที่น่าจับตามองแล้วอนาคตไกลอีกคนด้วย (M:I:III, Star Trek) แน่นอนว่าเจเจมีความผูกพันธ์ในหนังสปีลเบิร์กตั้งแต่ในวันแรกที่เขาได้ดูหนังของคนที่กลายเป็นฮีโร่ในดวงใจเขา
เขาจึงต้องการจะตอบแทนฮีโร่ในวัยเด็กเขา และผู้ที่เป็นทำให้เขาอยากก้าวสู่โลกฮอลลีวู๊ด โดยการทำผลงานซักเรื่อง เพื่อตอบแทนว่า "ทำไมคุณถึงเป็นแรงบันดาลใจผม ?" "ทำไมผมถึงมีความผูกพันธุ์ในหนังของคุณ ?" และ "ทำไมคุณถึงเติมเต็มผม" นี่คือความรักและความผูกพันธ์ที่เขาต้องการกล่าวคำขอบคุณให้กับฮีโร่ในวัยเด็กเขา และคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาจนมาถึงปัจจุบัน ที่เขาต้องการส่งมอบด้วยหนัง Super 8 แล้วเขาก็ทำสำเร็จ ....
เพราะ Super 8 คือหนังที่เจเจแทบไม่มีลายเซ็นเขา แบบที่เราเคยเห็นมาในผลงานเรื่องก่อนๆของเขา เขาทำเรื่องนี้ด้วยเจตนารมว่า "ฉันทำไปก็เพื่อคนที่พลักดันให้ฉันเท่านั้น คุณจะชอบและไม่ชอบมันก็คือเรื่องของคุณ" และเขาทำไปก็เพื่อคนที่มีเจตนาเดียวกับเขาด้วย (อย่างผม) คือถ้าคุณมีความผูกพันธุ์กับหนังสปีลเบิร์กตั้งแต่คุณยังเป็นเด็กเล็กๆ (หรือไม่ก็ตั้งแต่วันที่พ่อแม่คุณซื้อ วิดีโอวีเอชเอสเรื่อง E.T. หรือ Close Encounter ให้คุณได้ดูนะ) คุณจะรักหนังเรื่องนี้แบบที่ผมกำลังรักอยู่ขณะนี้
.... ตั้งแต่เริ่มเรื่องจนถึงตอนจบ ผมแทบไม่ได้เห็นเจเจเป็นตัวของตัวเองเลย แต่ผมกลับเห็นอารมณ์ของหนังสปีลเบิร์กที่ผมเคยเห็นตั้งแต่เด็ก แล้วแทบจะไม่เห็นในหนังสมัยนี้อีกแล้ว ซึ่งมันสามารถพาความรู้สึกเดิมๆดีๆที่ผมเคยมีต่อหนังสปีลเบิร์ก ได้หวนคืนพาผมกลับไปรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง ทั้งที่มันเป็นความรู้สึกที่นานมากๆแล้ว แต่ Super 8 สามารถพาผมกลับไปในความรู้สึก ได้อย่างลึกซึ้ง กินใจ อัศจรรย์ และอิ่มเอ่มใจ ขนาดเปิดโลโก้ค่ายหนัง Paramount และมีดนตรีของ ไมเคิล จิอาชิโน่ ที่อุทิศให้กับจอห์น วิลเลี่ยม (คนที่ประพันธ์ดนตรีให้กับหนังสปีลเบิร์กเสมอ) แค่นี้ก็ทำผมน้ำตาซึม และเสร็จผมไปเต็มๆแล้ว
ตัวหนังเองเริ่มเรื่อง เหมือนหนังเล็กๆทั่วไปเรื่องนึง แต่แฝงไปด้วยจุดเริ่มต้นที่มาที่ไปของเรื่อง ปมของตัวละคร การปูเรื่องที่สร้างอารมณ์และน้ำหนัก ของเรื่องและตัวละครให้กับคนดูได้เกิดความเข้าใจ ซึ่งแน่นอนล่ะ มันแทบไม่ใช่สิ่งหนังสปีลเบิร์กส่วนใหญ่เปิดเรื่องมาแบบนี้ แต่มันก็แฝงไปด้วยตัวละครที่มีความเป็นสปีลเบิร์กอยู่เยอะทีเดียว (ถ้าใครคาดหวังจะได้เห็นฉากเปิดเรื่องที่ตื่นเต้นแบบหนังสปีลเบิร์กทั่วไป คุณจะไม่เห็นในหนังเรื่องนี้ แต่สำหรับคนที่คุ้นเคยกับหนังดราม่าทั้งหลายของสปีลเบิร์ก หนังเลือกเปิดเรื่องในหนังสปีลเบิร์กแนวนั้นครับ)
.... คือที่หนังอุทิศให้กับหนังสปีลเบิร์กอย่างเต็มอิ่ม มันไม่ใช่เป็นการเรฟเฟอร์เรนซ์เพื่อเสียดสี หรือล้อเลียนแบบที่หนังแบบนี้หลายเรื่องอ้างว่า "สร้างเพื่อผู้กำกับในดวงใจตัวเอง" แต่เรื่องนี้ได้นำองค์ประกอบ ของเนื้อเรื่องแบบสปีลเบิร์ก ตัวละครแบบสปีลเบิร์ก ความสนุกแบบในหนังสปีลเบิร์ก และความตื่นเต้นแบบหนังสปีลเบิร์ก ได้มาผสมผสานกันอย่างลงตัว และสร้างความหลากหลายในอารมณ์คนดู ได้พบกับความบันเทิงที่เล่าเรื่องได้อย่างบรรเจิดในแบบหนังสปีลเบิร์ก ที่เราเองก็แทบจะไม่ได้เห็นในหนังยุคนี้ หรือหนังสปีลเบิร์กในระยะหลังๆอีกแล้ว
ซึ่งต้องชื่นชมเจเจในจุดนี้ เขาสามารถนำสิ่งเชยๆหรือความเก่าๆทั้งหลายที่คนในยุคหลังๆแทบจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว นำมาประยุกต์ใช้ใหม่ ที่สอดคล้องอย่างลงตัว และนำความเก่ามาปรับปรุงใช้ให้มันใหม่ขึ้นมาได้ แล้วอยากจะบอกว่าอารมณ์หนังพาคุณหลุดไปอยู่ในยุค 70 อีกครั้งได้เลย ยิ่งถ้าคุณเคยโตเป็นเด็กหรือวัยรุ่นในยุคนั้น คุณจะเกิดความผูกพันธุ์ที่เหมือนเข้าไทม์แมชชีนพาคุณไปหาอดีตของคุณอีกครั้ง
องค์ประกอบเรื่องนี้แทบทั้งหมดแล้ว จึงเป็นเหมือนหนังสปีลเบิร์กดีๆเรื่องนึงที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ก็สร้างจากคนที่รักหนังสปีลเบิร์กจริงๆ แค่นี้ก็ได้ใจผม และขอชูฮกให้หนึ่งจอกไปเลย ที่สำคัญหนังจะออกมาดีได้ ก็ขึ้นอยู่กับทีมงานและนักแสดงดีๆของเรื่องด้วย ที่พวกเขาจะสามารถเติมเต็มความฝันของเจเจให้กลายเป็นจริง อย่างที่เป็นภาพเคลื่อนไหวซึ่งกำกับโดยเจเจให้เราได้ชมนั่นเอง
.... ถ้าไม่มีนักแสดงที่ดี หนังก็คงออกมาไม่ดีหรอกครับ ผมต้องชื่นชมนักแสดงทุกๆคนที่ได้ถูกเลือกมาเล่นในหนังเรื่องนี้ ว่าสวมบทได้อย่างเป็นธรรมชาติ ถึงอารมณ์ มีมิติ และสร้างความน่าเชื่อถือ ได้รู้สึกว่าพวกเขาเป็นตัวละครในหนังเรื่องนี้จริงๆ ที่ผมทราบมานี่ เด็กๆในเรื่องเกือบทั้งหมด (ยกเว้นน้่อง แอล เฟนนิ่ง) เหมือนกับว่าถูกเลือกมาเล่นเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกซะส่วนใหญ่ อารมณ์ของตัวละครเด็กๆในเรื่อง พาเราได้ผูกพันธ์และได้รู้สึกถึงความเป็นเด็กๆ แบบที่ผู้ใหญ่หลายๆคนไม่ได้รู้สึกแบบสมัยนี้อีกแล้ว พวกเขาสามารถพาเราได้เฮฮา ได้ตื่นเต้น ได้ซาบซึ้ง ได้อึดอัด และได้สนุกกับตัวละครพวกเขา จนมันเป็นความผูกพันธ์ที่เราอาจเคยรู้สึกแบบในหนัง แฟนฉัน, My Girl หรือ Stand By Me แต่กลับเรื่องนี้ เรารู้สึกเลยว่าพวกเขาสวมบทได้เข้ากับวัยหรือตรงตามวัย ได้ยิ่งกว่าหนังเด็กหลายๆเรื่องที่ผมได้ดูมาในช่วงนี้ แล้วก็ น้องแอล แฟนนิ่ง มีโอกาสได้เจริญรอยตามแบบพี่สาวน้องเขาอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะไปฉากไหน น้องเขาตีบทได้ถึงอารมณ์จริงๆ ถึงกับบางฉากน้องเขาพาผมน้ำตาแตกไปด้วย คือด้วยวัย 13 ปีและความโตเร็วของน้องเขา แถมการแสดงที่น่าจับตามองตั้งแต่ยังเยาว์วัย เธอคนนี้ได้รุ่งในอนาคตแน่ๆครับ
.... นักแสดงผู้ใหญ่ในเรื่องก็เช่นกัน ต่างก็ถ่ายทอดได้อย่างชัดเจนและเชื่อถือไม่แพ้กับเหล่าเด็กๆในเรื่อง โดยบทพ่อพระเอกที่รับบทโดย ไคล์ แชดเลอร์ (จาก Friday Night Lights และ Early Edition) ที่แรกๆดูเหมือนว่าจะเป็นตัวละครที่เราอาจไม่ชอบในตัวเขา เพราะแสดงให้เห็นถึงความเย็นชาและจ้าวระเบียบกับตัวพระเอกตลอดเวลา (เพราะมีเหตุปมบางอย่างที่ทำให้เขา ต้องกลายเป็นแบบนั้น ซึ่งคุณต้องดูหนังถึงจะทราบ) แต่พอมาครึ่งหลัง ตัวละครทำเอาตลึงแบบลืมหายใจไปเลยล่ะครับ คือเป็นอะไรที่ผมว่าคุณไม่คาดคิดกับตัวละครนี้อย่างแน่นอน คุณต้องไปดูว่ามันคืออะไร ส่วนนักแสดงผู้ใหญ่คนอื่นๆนี่ก็ มีความหลากหลายในหลายๆตัวละครจริงๆ อย่างที่คุณอาจคุ้นๆในหนังสปีลเบิร์ก ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นธรรมชาติและก็มีชีวิตชีวาด้วย
สำหรับสิ่งที่หลายๆคนสงสัยว่า ไอ้ .... ที่ปกปิดเป็นความลับนักหนาอะไรนั้น มันเป็นตัวอะไรและหน้าตาเป็นอย่างไร ? นั่นคือสิ่งที่คุณต้องไปค้นหาคำตอบในหนังเอง มันไม่ใช่ตัวประหลาดเป็นมิตรที่คุณเห็นในหนังสปีลเบิร์กทั่วไป หรือไม่ใช่พวกตัวประหลาดที่คุ้นเคยนัก ที่สำคัญมันไม่ได้เชื่อมโยงกับหนัง Cloverfield แน่ๆ 555+ ต้องชื่นชมในการประชาสัมพันธ์ลับๆของตัวหนังด้วยว่า มันพาเราได้พบกับความอยากรู้อยากเห็น ที่สมกับการรอคอยเมื่อมารู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในหนัง ? และด้วยอารมณ์ของหนังที่แทบเป็นสปีลเบิร์ก แต่เจเจก็ยังไม่ทิ้งความเป็นตัวเองไป 100% เพราะยังได้ความโดดเด่นในการเล่าเรื่องของ เจเจ เอแบรมส์ (แบบที่คุณเคยเห็นในหนังหรือซีรี่ส์เรื่องก่อนของเจเจ) มันเลยเป็นผงชูรสที่พาเราติดตามเรื่องราวจนมันจบได้ และอย่างที่ผมว่าไว้ตั้งแต่แรก เจเจทำเรื่องนี้เพื่ออุทิศแก่หนังเก่าๆสปีลเบิร์ก และสร้างมาเพื่อคนรักหนังสปีลเบิร์กโดยเฉพาะ
.... ทำให้ความรู้สึกของผมหลังจากดูหนังจบ ได้ทำเอาผมหลงรักหรือ "In Love" ไปกับหนังอย่างสุดๆ เพราะถ้าคุณโตมากับหนังสปีลเบิร์ก หรือสปีลเบิร์กเป็นผู้กำกับคนแรกที่คุณได้รู้จักมาบนโลกนี้ หรือสปีลเบิร์กเป็นแรงบันดาลใจให้คุณ อยากมาเป็นนักสร้างหนังในอนาคตให้สำเร็จให้ได้ หนังเรื่องนี้คือหนังของคุณ คุณรักสปีลเบิร์ก คุณก็จะรักหนังเรื่องนี้อย่างที่ผมกำลังรักอย่างหัวปักหัวปำขณะนี้ นี่เลยเป็นข้อคิดที่ได้จาก Super 8 "เราทุกคนมีความเป็นเด็กเสมอมา แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าคุณจะนำจุดนั้นมาใช้ในทางไหน" สปีลเบิร์กและเจเจต่างก็ได้นำจุดนี้ ไปใช้เพื่อพาไปทางจินตนาการของพวกเขา ได้สามารถโลดแล่นอย่างมีเอกภาพในโลกแผ่นฟิล์มสำเร็จ เหลือแค่พวกคุณเท่านั้น คุณจะเลือกนำจุดนี้ไปใช้ในเส้นทางไหน ?
แล้วผมเข้าใจนะ กับคนที่ดูเรื่องนี้แล้วอาจไม่อินเท่าที่ผมรู้สึก เพราะว่ารอบเดียวที่ผมดูอ่ะ เพื่อนที่ผมพาไปดูด้วยเขาก็สนุกนะ แต่ไม่ได้สุดๆอย่างผมรู้สึก แล้วเห็นคนพากันมาทวีตหลังหนังจบอ่ะ ก็มีชอบ แต่เกลียดเข้าไส้ก็มี เหอะๆๆๆๆ หรือไม่ก็ไม่หนำใจ เพราะคา่ดหวังอยากให้มันออกแนวมันส์ๆแบบประสาหนังแอ๊คชั่นถล่มวินาศสันตโรก็มี คือเข้าใจกับกลุ่มพวกนั้นนะ เพราะเราเองก็คาดหวังไปผิดทางหรือผิดพลาดบ้าง จนเกิดความผิดหวังไปธรรมดา และผมก็ไม่อยากจะตำนิอะไรกับคนพวกนั้นด้วย แต่ถ้าคุณเป็นคนมีใจให้กับหนังสปีิลเบิร์กในอดีตซะส่วนใหญ่ โดยที่ไม่เคยมองสปีลเบิร์กไปในทางลบ ไม่ว่าจะในตอนที่เขาทำพลาดบ้าง หรือตอนที่เขาทำอะไรแล้วมันดู Overrated บ้างจนชวนหมั่นไส้ แต่ก็ยังมองเขาเป็นแรงบันดาลใจหรือต้นแบบ อย่างผมหรือใครที่มีความรักสปีลเบิร์กอ่ะนะ คุณคงควรเข้าใจด้วยว่า ทำไมคนแบบผมถึงรู้สึกประทับใจ โดนใจ ได้ใจไปเต็มๆ และสุดๆกับ Super 8 !!!!
แล้วขอย้ำนะใครที่มองว่า เจเจทำเรื่องนี้พยายามจะเป็นสปีลเบิร์กอีกคน อันนี้ไม่ใช่นะ กรุณาอย่าเข้าใจผิด เขาทำไปเพื่ออุทิศให้กับสปีลเบิร์กนะครับ ไม่ได้พยายามจะเป็นสปีลเบิร์กคนที่สองซะหน่อย เหมือนเวลาคุณอยากกลับไปกราบคุณครูหรืออาจารย์ที่คุณเคารพในสมัยเด็กๆ ด้วยพวงมาลัยหรือด้วยความรู้สึกกตัญญูกตเวที นั่นคือสิ่งที่เจเจพยายามจะทำต่อสปีลเบิร์กนั่นแหละครับ
.... ผมคงจะไม่เล่ายาวไปกว่านี้ เพื่อไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องราวในหนังอะไรมาก เพราะไม่ต้องการให้คนที่ยังไม่ได้ดูเกิดความเสียอรรถรสก่อนดูหนัง แต่ในความรู้สึกผม เรื่องนี้เปรียบเสมือนอีกความสำเร็จเล็กๆของ เจเจ เอแบรมส์ ที่ยังคงความเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งดีที่เต็มไปด้วยความฉลาดอีกครั้ง ไม่ว่าจะในโลกจอแก้วหรือโลกจอเงิน พี่แกก็เทพได้ทั้งสองโลกจริงๆ แล้วเรื่องนี้การที่พี่แกได้ทำในสิ่งที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง เพื่ออุทิศให้กับฮีโร่ในวัยเด็กเขา นั่นคือสิ่งที่กล้าหาญมากๆกับผู้สร้างหนังในปัจจุบัน ที่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้าทำเท่าไหร่ (หรือกล้าทำแต่ทำไปแล้วมันไม่สุด) มันเลยเป็นการตอกย้ำอีกครั้ง กับความเป็นคนฉลาดแบบเขา ที่สำคัญบทอาจไม่เท่าไหร่ แต่ทุกๆตัวละคร หรือเหตุการณ์ที่สื่อให้เราได้รู้สึกตาม มันก็ทำได้อย่างสำเร็จ มันอาจไม่มีอะไรมาก แต่ก็พาเราไ้ด้รู้สึกตามกับสิ่งตัวหนังต้องพาเราไปด้วยอย่างสำเร็จ ฉะนั้นผมจะขอแนะนำเรื่องนี้กับคนที่รักหนังสปีลเบิร์กในอดีตจริงๆ เพราะผมเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ผมได้รู้สึกไปกับหนังเรื่องนี้ มันจะเป็นความรู้สึกเดียวหลังคุณดู Super 8 จบครับ
และเนื่องจากว่าตั้งแต่เริ่มฤดูกาลหนังซัมเมอร์ปีนี้มาเนี๊ย ก็ประทับใจไปสี่เรื่องแล้ว (Thor, Fast Five, Kung Fu Panda 2 และ X-Men: First Class) และมาเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ห้า แล้วประทับใจสุดในขณะนี้ของหนังซัมเมอร์ปีนี้ด้วย Super 8 จึงเป็นเพียงความประทับใจของใครบางคน มากกว่าคนส่วนใหญ่ ที่ใครบางคนอาจจะเข้าใจได้ แต่สำหรับใครที่มีผูกพันธ์กับหนังสปีลเบิร์กในอดีต อย่างที่ผมกล่าวไว้ตั้งแต่ต้น คุณก็ได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ครับ สำหรับผม 10/10 อย่างเต็มอกหัวใจไปเลย!
ปล. กรุณาอย่าเพิ่งลุกจากที่นั่ง ตอนที่เริ่มขึ้นเครดิตหลังหนังจบ มีอะไรให้ชมต่อสำหรับคนรักหนังซอมบี้ทั้งหลาย เหอะๆๆๆๆ
http://twitter.com/Matt_McPhee รักเพื่อนบ้านเสมอ
แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 54 04:15:28
จากคุณ |
:
Matthew McPhee'Z
|
เขียนเมื่อ |
:
9 มิ.ย. 54 03:44:54
|
|
|
|  |