SUEPR 8 ย้อนอดีตและเริ่มต้นใหม่อีกครั้งของพ่อมดแห่งวงการฮอลลีวูด
ถ้าถามว่าในวงการหนังระดับโลกใครจะสามารถสั่นสะเทือนให้คนหันมามองได้บ้าง ถ้าในยุคเดียวกันก็คงมีแค่สองคนที่ยังยืนยั่นสู้กับผู้กำกับรุ่นใหม่ได้ นั้นคือ เจมส์ คาเมรอน กับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก คนแรก เจมส์ นั้นชอบเล่นกับเทคนิคใหม่ๆ แต่สำหรับสตีเว่น สปีลเบิร์ก นั้นชอบย้อนกลับไปมองจุดรากเหง้าของตัวเอง ทั้งสองคนต่างกันสุดขั้วแต่ดูได้ยังไงก็เหมือนกับ กาแฟ กับ ครีม ถ้าไม่มีสองสิ่งนี่ก็ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือเปล่า แต่สำหรับผมขาดไม่ได้เลยสำหรับสองอย่างนี้
.........................
หนังเรื่องนี้ปูพื้นฐานในการเล่าเรื่องของกลุ่มเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่มีความใฝ่ฝันจะทำหนัง ด้วยกล้อง 8 มิลมิเมตร แต่ว่าจะต้องพบประสบปัญหาต่างๆมากมายไม่วาจะเป้นปัญหาส่วนตัวและเป็นทางด้านครอบครัว ซึ่งเด็กกลุ่มนี้กำลังเร่มจะเติบโตเข้าสู่วัยรุ่น (Child To aduit) ซึ่งมีหลากหลายอามารณ์มากขึ้น เนื้อเรื่องอาจดูพื้น คือเด็กเจอสิ่งประหลาดในหนังแล้วยังไง ถ้าเป็นผู้กำกับหนังไทยก็คงต้องให้ มนุษย์เป็นเกย์หรือว่าเป็นหญิงสาวสวย ถ้าจะให้ทำแบบ Sex and Zen (เสียว) ไปเลยเพราะว่ามนุษย์ต่างดาวนั้นไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แต่อย่าง สตีลเบิรก์ และ เจ เจ อัมส์ คงไม่ทำแบบนั้น เนื้อเรื่องที่แสนจะธรรมดา เดาออกว่าจะเป็นอย่างไรอย่างแน่นอน สองผู้กำกับก็เลยเล่นกับอามารณ์ตัวละครดูซะ ให้เหมอืนกับ War of The World มันไปด้วย แต่มาในลักษณะของแกงเผ็ดที่ไม่จัดจ้านแต่เผ็ดนาน คือดูไปเรื่อยๆ แต่ก็ดูไม่เบื่อ
ตั้งแต่ฉากที่เปิดเรื่องอาจให้ดูมีพื้นเรื่องว่า ความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกนั้นรียกว่าขาดสะบั้นลง เพราะว่าแม่เสียชีวิตในการทำงานที่โรงงานถลุงเหล็ก พ่อก็พยายามดันลูกให้ไปเข้าคอร์สเบสบอล แต่ลูกต้องการถ่ายหนังกับกลุ่มเพื่อนๆ และก็ไปถ่ายที่สถานีรถไฟ นั้นคือจุดเริ่มต้นของหนัง
ผมมองว่าเป็นการปูพื้นเรื่องที่เรียบๆง่ายๆ แต่แฝงไปด้วยปัญหาของลูกผู้ชายกับพ่อ ที่พ่อนั้นก็มีปมในใจที่เมียตัวเองต้องตาย อย่างในฉากที่พ่อแอบร้องไห้คนเดียว ก็เป็นบทสะท้อนได้ดีว่าต่อให้เข้มแข็งแค่ไหนก็มีความคิดถึงอยู่
ความเข้มขนมาเพิ่มขึ้นตั้งแต่ฉากรถไฟ ชนกับรถกะบะที่จงใจแล่นเข้ามาชน สเปเชียลเอฟเฟคอาจดูพื้นๆ ซึ่งรู้เลยว่าของปลอมแต่ดันกลายเป็นเสน่ห์ของหนังซะนี่ หรือว่าแม้กระทั่งการค่อยๆให้เห็นตัวของเอเลี่ยน จนกระทั่งมาชัดเจนในฉากที่เด็กทั้งสี่คนไปโดนจับที่โรงเรียน แล้วกำลังโดนจับไปที่ฐานทัพอากาศเพราะว่ารู้ความลับของรัฐบาลสหรัฐ ที่สัตว์ประหลาดออกมาถลุ่มเรียกว่า คล้ายๆกับ War of the World
หนังค่อยๆเดินเรื่องจนมาสู่ตอนจบที่อาจคล้าย E.T คือการส่งมนุษย์ต่างดาวกลับบ้าน แล้วมันกลับบ้านได้ยังไงหรือก็เพราะว่าพระเอกนั้นไปเก็บเศษชิ้นส่วนยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวมาแล้ว มันหลุดออกไปเกาะที่หอคอยเก็บน้ำ แค่ชิ้นส่วนเดียวก็สามารถเรียกชิ้นส่วนทั้งหมดมาประกอบเป็นยานได้(เหมือนเทอร์โบเรนเจอร์)
ถามว่ามันน่าสนุกไหมสำหรับหนังเรื่องนี้ ผมมองว่า หนังเรื่องนี้นั้นคือการเดิมเต็มของหนัง E.T ซะด้วยซ้ำ ตั้งแต่การทำ เสื้อผ้า หน้า ผม คือย้อนกลับไปยุค 1980 หรือ พ.ศ.2523 และเพลงที่ดังที่เด็กร้อมเพลงฮัมกัน ก็เป็นเพลงที่ผมเกิดขึ้นมาแล้วได้ยินพอดี ถ้าคนอายุสัก 10 ปีในช่วง พ.ศ. 2523 -2530 อาจดูแล้วลึกซึ้งมากกว่าในยุคที่หนังที่ทำสเปเชียลสวย ๆ หรือว่ามีฉากหักมุมหรือว่า ทะลุจอสามมิติออกมา อย่าง SEX and zen
แต่ว่ามันทำให้ผมประทับใจซะมากกว่า ยิง่มีฉากใกล้จบที่สร้อยที่พระเอกใส่ไว้เพื่อระลึกถึงแม่ แต่ว่าโดนดูดไปรวมด้วย แล้วพระเอกปล่อยเพื่อลืมอดีต มันก็เป็นอย่างที่พระเอกพูดในถ้ำใต้ดินที่วิ่งหนีเพราะว่ามาช่วยนางเอก แต่ว่าไปไหนไม่ได้แล้ว มนุษย์ต่างดาวมาต้อนไว้ ว่า เราทุกคนนั้นมีความสูญเสีย แต่ว่าเรานั้นยังมีชิวิตอยู่
สำหรับคนอายุรุ่นสัก 30 ปีขึ้นไปเรียกว่าเริ่มผ่านอะไร ก็ต้องผ่านความสูญเสียอะไรมากมาย แต่ว่าเรายังมีชีวิตอยู่เราก็เดินกันต่อไป
สำหรับใครอยากหนังเรื่องอี่นที่เขียนไว้ก็ตามอ่านลิงค์ด้านล่างละกันครับ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=gtnewsthailand
และเพลงที่กลุ่มตัวเอกในเรื่องฮัมกัน ก่อนไปถ่ายหนังกัน