 |
ตอน
9 เมื่อชีวิตสู่งานสังคม -------------------
ปี 2544 โซเฟีย ลา เป็นเพียงผู้หญิงต่างชาติคนหนึ่งที่สามีทิ้ง อาศัยอยู่เมืองไทยแบบไร้ญาติขาดมิตร ยามมีปัญหาไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปปรึกษาใคร หลังจากที่สามีจากไป โซเฟียก็จมอยู่กับความเศร้า กลายเป็นคนคิดมาก นอนไม่หลับ ทำให้ชีวิตไฮโซได้เริ่มขึ้นในคืนวันหนึ่ง
ความ ทุกข์ความเจ็บปวดทำให้โซเฟียนอนไม่หลับ ตื่นขึ้นมาตอนตี 3 และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ความเครียดที่ไม่มีทางระบายออกนำทางให้โซเฟียออกไปเรียกรถตุ๊ก ๆ หน้าบ้าน แล้วบอกคนขับรถว่าให้ขับไปเรื่อย ๆ นั่งไปก็จะร้องไห้ไปจนกระทั่งใกล้เช้า คนขับรถตุ๊ก ๆ ก็พาไปส่งไว้ที่สวนลุมพีนี โซเฟีย สับสนในชีวิตทำให้เดินคิดเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดในชีวิต หวังให้ความสงบทำให้ตัวเองมีสติมีสมาธิในการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองบ้าง แต่ระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้นหูของโซเฟียก็ได้ยินเสียงเรียกของใครบางคน
“หนู ๆ ช่วยอยู่เป็นเพื่อนพี่หน่อย พี่วิ่งไม่ไหว ใจพี่สั่น ๆ อย่างบอกไม่ถูก”
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” โซเฟียถาม
ไม่เป็นไร เพียงแต่พี่มีโรคหัวใจเป็นโรคประจำตัว” เสียงนั้นเป็นเสียงของหญิงสูงอายุ น่าจะสักประมาณ 70 เห็นจะได้ ท่าน ได้ขอให้โซเฟียอยู่เป็นเพื่อน โซเฟียยืนคิดสักพัก ก็ตัดสินใจนั่งคุยด้วย เราคุยกันสักพัก ท่านรู้สึกถูกชะตาจึงขอโซเฟียเป็นเพื่อน และถามโซเฟียว่าพักอยู่ไหน เมื่อโซเฟียบอกว่าพักอยู่แถวสาธุประดิษฐ์ ท่านก็บอกว่าพักอยู่แถวซอยสวนพลู และก็ชวนโซเฟียไปเที่ยวบ้านเพื่อจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น เมื่อ ถึงบ้านท่านที่สวนพลู บ้านท่านหลังใหญ่บ่งบอกถึงฐานะ และท่านได้เข้าไปหยิบลิปสติกมาให้ 1 แท่งเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับเพื่อนใหม่ จากนั้นท่านได้พาไปนั่งคุยกันในบ้าน ทำไมไปเดินอยู่สวนลุมคนเดียว เป็นคำถามที่ทำให้โซเฟียบ่อโซเฟียกลั้นน้ำตาไม่อยู่ โซเฟียเล่าทุกอย่างในชีวิตให้ท่านฟัง รวมทั้งเรื่องเมียน้อยด้วย ท่านจึงปลอบใจให้โซเฟียคลายเศร้า ท่านบอกโซเฟียว่า “เป็นธรรมดาของผู้ชาย เมื่อเขาไม่รักเรา เขาก็ทิ้งเราไป ต่อไปนี้เธอไม่ต้องเสียใจ เดี๋ยวพี่จะพาเธอเปิดหูเปิดตาเข้าไปในงานไฮโซ”
ตอนนั้นโซเฟียยังไม่รู้จักคำว่าไฮโซ จึงถามท่านไปว่าไฮโซคืออะไร โซเฟีย ท่าน ก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน ท่านก็บอกว่าท่านก็ตาม ๆ เขาไป เวลามีงานการกุศล เป็นพวกงานกาล่าดินเนอร์ จะมีมีการขายบัตรเป็นโต๊ะ ๆ ละ 12,000 บาท แล้วเราก็สามารถไปงานหรือเชิญใครไปงานนั่งที่โต๊ะเราได้ อย่างท่านก็จะเชิญโซเฟียไป ท่าน เองก็รักและเอ็นดูโซเฟียมากคงเป็นเพราะว่า โซเฟียเป็นคนซื่อ ๆ จริงใจ และชอบเก็บตัว จึงจะมาชวนออกงานด้วยทุกครั้งเมื่อท่านซื้อโต๊ะ
จำได้ว่า งานแรกที่ไปโซเฟียแต่งตัวเชยมาก นั่นเพราะโซเฟียไม่เคยออกไปไหนมาก่อน จึงไม่มีเสื้อผ้าสวย ๆ หรู ๆ และไม่มีเครื่องประดับราคาแพง ๆ สวม ครั้งแรกที่ออกงานโซเฟียตื่นเต้นมาก ท่านพยายามแนะนำคนในสังคมไฮโซคนนั้นคนนี้ให้รู้จักแต่โซเฟียก็เฉย ๆ เหมือนว่ายังไม่อยากเปิดใจรับใครประมาณนั้น
ทุกครั้งที่มีการจัดงานแสดงเพชรที่โรงแรมดุสิตธานี ท่านก็จะเชิญโซเฟียไปด้วย ครั้งแรกที่โซเฟียไปงานแสดงเพชรที่นั่น โซเฟียสวมสร้อยเพชรเม็ดเล็ก ๆ ไปงานตอนนั้นโซเฟียไม่รู้ว่าต้องสวมเพชรเม็ดใหญ่ ๆ ไปงาน จนผ่านไปปีกว่า ๆ วันหนึ่งที่โรงแรมดุสิตธานีจัดงานแสดงเพชรอีกเช่นเคย วันนั้นโซเฟียไปแวะที่บ้านท่าน จะไปงานพร้อมกันโซเฟียไม่ได้ใส่เครื่องเพชรอะไรไปเลย
ท่านบอกว่า ท่านไม่ให้ใครยืมเครื่องเพชรใส่ง่าย ๆ แต่สำหรับโซเฟียนี้ท่านรู้ว่าโซเฟียนิสัยอย่างไรและท่านก็ได้ไปเที่ยวบ้าน โซเฟียเป็นประจำ ท่านรู้สึกถูกชะตาและเชื่อใจ สุดท้ายตกลงว่าวันนั้นโซเฟียไม่ได้ใส่เครื่องเพชรไปงาน เพราะโซเฟียบอกท่านว่าหากบังคับให้ใส่จะไม่ไปงาน ถ้าโซเฟียขายหน้าก็ไม่เป็นไร เรื่อง นี้ถือว่าเป็นความทรงจำที่ดี ๆ ที่โซเฟียมีให้ท่าน และช่วงนั้นเมื่อมีงานแสดงเพชรโซเฟียจะไปงานแบบเชย ๆ โดยตลอด หากในงานใครใส่เครื่องเพชรสวยโซเฟียก็จะมองอย่างชื่นชม
จนกระทั้งวันหนึ่ง ท่านได้พูดกับโซเฟียว่า "พี่อุตส่าห์แนะนำคนนั้นคนนี้ให้รู้จักทำไมไม่สนใจเลย โซเฟียนี่ดื้อจัง เธอต้องหัดคบคนไว้นะ ไม่ใช่จะมาตามแต่พี่คนเดียว” ท่านต่อว่าโซเฟียอะไรประมาณนี้ทุกครั้งที่เจอกัน โซเฟียตอบท่านไปว่าคงเป็นเพราะอยู่แบบโดดเดี่ยวมานานกว่า 30 ปีทำให้ชีวิตเคยชิน การจะคบใครใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนทำให้โซเฟียรู้สึกกลัว ท่านก็ยังเพียรพยายามแนะนำเพื่อนใหม่ให้เป็น 10 ครั้ง ผลก็คือโซเฟียนั่งเฉย จนท่านเข้าใจธรรมชาติของโซเฟียไม่คะยั้นคะยอ และรอจนกว่าโซเฟียจะเปิดใจรับเอง
ทำให้ท่านหยิบเครื่องเพชรล้อมทับทิมมาทั้งชุด ราคาล้านกว่าบาท มาให้โซเฟียใส่ โซเฟียบอกท่านว่าไม่เคยเห็นเพชรอะไรใหญ่ขนาดนี้ ทับทิมก็เม็ดโตมาก ๆ ท่านหัวเราะก่อนจะบอกโซเฟียว่าให้ใส่ชุดนี้ไปงาน โซเฟียตกใจปฏิเสธเสียงแข็ง แถมพูดติดตลกว่าหากทำหายสักเม็ดจะทำอย่างไร “มี เงินก็เอาออกมาใช้สิ มาหาความสุขใส่ตัวเอง หัดแต่งตัวบ้าง ไม่ต้องไปห่วงลูกแล้ว อายุเราก็มากแล้ว มีธุรกิจทำ ผัวก็ไม่ต้องสนใจแล้ว จะเก็บเงินไปทำไม” โซเฟียกลับมานั่งคิด ...เออ ก็จริงนะ สามีจะให้เงินใช้เป็นเดือนๆ เราก็เก็บไว้ทุกเดือน เราก็ไม่ได้ใช้อะไรเลย ใช้แค่ค่ากับข้าวก็ไม่เท่าไหร่ เก็บๆมากว่า 30 ปีก็เป็นเงินจำนวนมาก...ความจริงแล้วเงินที่โซเฟียเก็บไว้นี้ทีแรกตั้งใจไว้ ว่า จะเก็บเอาไว้ตอนแก่ตัว พอสามีไม่ได้ทำงานแล้ว เราก็จะไปเที่ยวกันสองคนตายาย เมื่อคิดมาถึงตอนนี้โซเฟียก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์แล้ว โซเฟียจึงตัดสินใจให้ท่านพาไปซื้อเพชรที่เพนนินซูลา พลาซา เป็นที่ซึ่งมีร้านเพชรตั้งอยู่หลายร้าน และวันนั้นเองแทบไม่น่าเชื่อ
โซเฟียลงทุนซื้อเครื่องเพชรไปทั้งหมดครั้งนั้นประมาณ 20 ล้านบาท
ถาม ว่าเงินเหล่านี้โซเฟียเอามาจากไหน มันเป็นเงินที่สามีให้ในแต่ละเดือนและโซเฟียสะสมมากว่า 30 ปี สมัยก่อนนอกจากซื้อกับข้าวให้สามีและลูกแล้วโซเฟียก็ไม่เคยนำเงินพวกนี้ไป ใช้อะไร เพราะโซเฟียไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม เรียกว่าใช้เงินไม่เป็นเลยทีเดียว แม้วันนี้โซเฟียแยกกันอยู่กับสามีแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า สามีก็ยังคงให้เงินใช้เป็นประจำทุกเดือน ลูกชายโซเฟียบอกว่า หลัง จากที่ลงทุนซื้อเพชรไป 20 ล้านบาทพร้อมทั้งหาซื้อเสื้อผ้าใหม่เพื่อออกงานสังคม ได้กลายเป็นที่ฮือฮาเพราะคราวนี้ผู้จัดงานทุกคนจะเอาการ์ดเชิญมาเชิญโซเฟีย ด้วยตัวเอง นับว่าเป็นการออกงานสังคมโดยลำพังที่ไม่มีท่านอยู่ข้าง ๆ
ช่วง แรก ๆ โซเฟียจะไปงานสังคมประมาณ 5-6 งานต่อวัน ดังนั้นจึงมีการวางแผนเตรียมตัวจัดเสื้อผ้าใส่ไว้ในรถ โซเฟียให้ความสำคัญกับการออกงานทุก ๆ งานที่เชิญมา ดังนั้นการแต่งตัวให้สวยงามถูกต้องตามกาละเทสะจึงเป็นสิ่งสำคัญ เรื่อง เทคนิคการแต่งตัวนั้นโซเฟียเรียนรู้มาจากการออกงานแต่ละงาน โซเฟียจะคอยสังเกตว่าใครแต่งตัวอย่างไร และไปงานแบบนี้ต้องแต่งตัวอย่างไร ประมาณไหนถึงจะดูดี เป็นเรื่องบังเอิญอีกเหมือนกันที่โซเฟียได้ไปรู้จักกับคนคนหนึ่งที่สมาคม ฝรั่งเศส เขาเป็นดีไซเนอร์ เขาเห็นโซเฟียแต่งตัวไม่เป็นเลยมาแนะนำการแต่งตัวให้รวมทั้งการแต่งหน้า ทำผมให้เข้ากับเสื้อผ้า และสอนเรื่องการใส่เครื่องประดับอะไรให้มีสไตล์เป็นของตัวเอง
เขาสอนโซเฟียอยู่ครึ่งปี โดยการออกงานปีแรกๆ ก็ยังไม่มีใครรู้จักโซเฟีย แต่ต่อมาประมาณปีที่ 2 และ 3 เริ่มมีคนรู้จัก เพราะแต่งตัวโดดเด่นมีสไตล์เป็นของตัวเอง โซเฟียพัฒนาการแต่งตัวให้ดูสวยขึ้นกว่าเดิมมากๆ ทุก ๆ ครั้งที่มีงานโซเฟียสนุกกับการแต่งตัว เห็นใครใส่เพชรเม็ดโตๆ โซเฟียก็จะซื้อมาใส่บ้าง แบบว่าโซเฟียสู้ตายเลยหากว่าประชาสัมพันธ์บอกว่า
“แม่ ต้องสู้ แม่ต้องเข้มแข็ง เพราะว่าผู้หญิงใหม่ของพ่อก็ได้ทุกอย่างไปหมดแล้ว ซึ่งสิ่งที่เขาอยากได้อีกอย่างก็คือการได้แต่งงานกับพ่อ เพื่อที่ว่าเขาจะได้เป็นเมียท่านประธาน ผมจะไม่ยอมให้มันสมหวัง แม่ต้องเข้มแข็ง และต้องสู้ ถ้าแม่ยอมแพ้เขาก็จะแต่งงานกันทันทีเลย” เมื่อชีวิตเป็นแบบนี้ทำให้โซเฟียไม่คิดที่จะอย่ากับสามี อีก ทั้งพนักงานในบริษัทก็ยังให้ความเคารพนับถือว่าโซเฟียเป็นเจ้านายคนหนึ่ง โซเฟียคิดว่าอาจเป็นเพราะโซเฟียเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายก็ได้ ตลอด 2 ปีที่โซเฟียออกงานตามลำพัง บางครั้งคิดถึงท่านก็แวะเวียนไปเยี่ยมและชวนท่านออกงานด้วย แต่ว่าท่านสุขภาพไม่แข็งแรงมีปัญหาเรื่องการเดินทำให้ต้องอยู่บ้านไม่ค่อย ได้ออกงานด้วยกันหลังจากนั้นโซเฟียก็ไม่ได้เจอท่านอีกเลย โซเฟีย ยังออกงานสังคมตามปกติ จวบจนผ่านไป 4 ปี วันหนึ่งคิดถึงจึงโทรศัพท์ไปหาท่านที่บ้าน คนที่บ้านบอกว่า เธอเสียชีวิตแล้ว โซเฟียตกใจ นั่งร้องไห้ไม่คิดว่าท่านจะจากไปเร็วขนาดนี้ โซเฟีย อยากให้ท่านรู้ว่าโซเฟียจะจดจำท่านไปตลอด ท่านเป็นคนปลดปล่อยชีวิตที่ถูกจองจำของโซเฟีย ท่านสอนให้โซเฟียไม่จมอยู่กับความทุกข์ หากว่าวันนั้นไม่เจอท่านที่สวนลุม โซเฟียคงไม่มีชีวิตเช่นวันนี้ โซเฟียอาจฆ่าตัวตายไปแล้วก็เป็นได้ เพราะว่าชีวิตโซเฟียไม่มีใครเลย ชีวิตที่โดดเดี่ยวในเมืองไทยทำให้ท่านจึงเป็นเสมือนเพื่อนคนแรก
จากคุณ |
:
ปราการด่านสุดท้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
27 มิ.ย. 54 16:38:44
|
|
|
|
 |