เห้ย คุณหนูน้อยมาตอบด้วย
สำหรับบางคน การซื้อแอร์เมส ถือว่าเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งคะ
เพราะราคากระเป๋ารุ่นที่ดังอย่าง berkin ที่คุณชมพู่อยากได้หรือรุ่น Kelly นั้น ไม่มีวันตกคะ ยิ่งมีรอยยับที่กระเป๋า หรือใช้มานานเท่าไหร่
ราคาของกระเป๋าจะเพิ่มขึ้นไปด้วย หากนำไปขายต่อดังที่คุณหนูน้อยบอก
ก็จะได้กำไรไปด้วย และ ยิ่งที่เป็นรุ่นที่หายากแล้ว
เรียกได้ว่า ให้มาเท่าไหร่ก็ไม่ขายคะ ไม่งั้นถ้ากระเป๋าไม่เป็นที่ต้องการแบบนี้แล้วในโลกนี้คงไม่มีอาชีพ BirkinHunter
อีกอย่างถ้าพูดถึง การสร้างแบนด์นั้น
คนที่มีเงินทุกคนไม่ใช่ว่าใครikinก็จะเดินเข้าไปใน shop แอร์เมสแล้วขอซื้อเบอร์กิ้นได้ทุกคน ทุกคนนั้นต้องลงชื่อ waiting listคะ
หรือถ้าไม่อยากรอ ก็ต้องไปหา Birkin hunter ขนาดคุณนาย Victoria
เธอยังต้องรอ นอกจากนี้ ว่ากันว่า การซื้อ Birkinนั้นไม่ใช่เราเป็นผู้เลือกกระเป๋า แต่หากว่ามันคือ การที่กระเป๋าเลือกคน
ดังที่กล่าวข้างต้น บางคนเดินเข้าไปในร้านพนักงานเสนอขาย Birkinให้เลยก็มีทั้งๆที่แต่วตัวธรรมดามที่สุด Chill ที่สุด แต่ในขณะที่Hiso บางคน
ต้องซื้อของเป็นสิบยี่สิบอย่างกว่าSALE จะเสนอขาย Birkinให้
อีกอย่าง ในแต่ละปีบริษัท แอร์เมสจะมีนโยบายไว้เลยว่า
ปีนี้จะปล่อยกระเป๋าออกมากี่ใบ
เราขอเถียงคะ ที่มีความเห็นหนึ่งบอกว่า
ราคาจริงไม่เท่าไหร่ แต่ที่แพงคือราคาแบรนด์
ใช่คะมีHI END แบรนด์ใช่วิธีการนี้ แต่สำหรับ แอร์เมส BIRKIN แล้ว
ทุกใบเป็นกระเป๋าทำมือ และตามที่คุณหนูน้อยว่ากระเป๋าหนังจระเข้นั้น
เป็นหนังที่มีราคาต้อใบสูงมากทีเดียว
ในระดับFashion Hi end นั้น
กระบวนการผลิต ซับซ้อนมาก ตั้งแต่การเลือกหนัง การขึ้นลาย ทำ Pattern
วัสดุ การใช้ IDEA ซึ่งทุกขั้นตอนของแบรนด์นั้นมีการวางแผนมาเป็นปีซึ่งที่เราเห็นในปีนี้นั้นล้วนแต่เป็นผลตกผลึกมากจากความคิดรวบยอดในปีก่อนทั้งสิ้น
อย่าไปว่าเธอเลยคะ จากที่ติดตามมา คุณชมพู่เธอก็ฉลาดลงทุนหลายอย่างนะคะไม่ใช่แค่BIRKIN เธอยังเก็งกระเป๋า จูดิธ ลิเบอร์ รุ่นแปลกๆไว้อีกหลายรุ่นซึ่งรุ่นเหล่านั้นเป็นรุ่นที่ราคาไม่เคยตกมีแต่ขึ้นๆและเธอยังซื้ออสังหาไว้อีกหลายแห่งเช่นกัน
คนเราลงทุนได้่หลายแบบคะ ตามกำลังทรัพย์ และความถนัด
ทางการเก็บออม ซึ่งถ้าว่าตามหลักแล้ว นั่นถือเป็นการกระจายความเสี่ยงแบบหนึ่งเช่นกันนอกเหนือจากการเก็บเงินสดคะ
ใครพอใจสิ่งไหนที่เหมาะสมกับตัวเราก็ทำไปเถอะคะ
และมันไม่ใช่เรื่องของความรวย ความจน
คนจนก็มีสิทธิลงทุนได้คะ แต่ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคนจะลงทุนแบบไหน
อาจจะเก็บเงินสดก็ได้ แต่สำหรับบางคนก็เลือกที่จะลงทุนด้วยวิธีอื่น
ความสุขของคนเรามันต่างกันขอให้ความสุขของเราอย่าไปเบียดเบียนใครเป็นพอ
ปล บางความเห็นบอกว่ามันจะซับซ้อนถึงขนาดล้านนึงเลยหรอ
งั้นดิฉันจะอธิบายเพิ่มนะคะ เพราะมีความรู้ด้านนี้ในระดับหนึ่ง
ดิฉันอธิบายไว้ข้างบนแล้วนะคะ ถึงกระเป๋าใบนี้จะไม่ได้สร้างมา
จากเหล็กเหมือนรถยนต์แต่กรรมวิธีซับซ้อนมากดังที่กล่าวมาในข้างต้น โดยเฉพาะช่างทำกระเป๋าBIKIN ช่างทำนั้นต้องได้รับการฝึกฝนมาเป็นแรมปี ในการขึ้นรูปกระเป๋าและการทำตัว Paternกระเป๋าซึ่งเป็นการทำมือทั้งหมด เอาง่ายๆ
ก็เหมือนกับการซื้อรถยนต์ทั่วไปกับการซื้อ โรสสรอยด์
อยากถามว่าแล้วทำไมบางคนที่มีเงินในระดับหนึ่ง ถึง ซื้อ โรสรอยด์คะ
การทำมือของ Birkin เปรียบได้กับการทำศิลปะบนกระเป๋ารูปแบบหนึ่ง
บางคนนั้นมองว่ามันเป็นการเสพ ศิลปะแบบหนึ่ง เหมือนที่หลายคนชอบซื้องานศิลปะของศิลปินดัง หรือ ชอบสะสมวัตุโบราณ เป็นต้น
ถ้าคุณไม่รู้จริงและไม่ได้มีข้อมูล หรือเป็นคนที่เล่นกระเป๋าและรุ้จักอุตสาหกรรมแฟชั่นแล้ว อย่ามาพูดเปรียบเทียบแบบนี้เลยคะ
เพราะลักษณะสินค้าก็คนละอุตสาหกรรมแล้ว
ที่กล้าพูดเพราะว่าที่บ้านเล่นกระเป๋าเราศึกษาข้อมูลกันมานานพอสมควรและเมื่อถึงเวลาที่เราจะขายเพื่อกำไรนั้น เราได้คินมาทุกครั้งคะ
บอกแล้ว คนเรามันลงทุนได้หลายแบบ ถ้าคุณไม่ชอบก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่ชอบนะคะ คนเรานานาจิตตัง
คนเราลงทุนได้หลายแบบ ต่างกันที่วิธีการ
+++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อกี้ไปอ่านเม้นนึงข้างล่าง เขียนประมาณว่า
ถ้าให้นักธุรกิจเลือกลงทุน BIRKINแทนทองและหุ้น
นักธุรกิจคงต้องเอาเงินไปลงกับหุ้นและทอง
ขอตอบเลยนะคะว่าไม่จริง
ยังมีการลงทุนด้านอื่นๆอีกนอกเหนือจากการกล่าวข้างต้นนะคะ
นักธุรกิจแต่ละคนมีวิธีการกระจายความเสี่ยงและมองการลงทุนต่างกันคะแต่
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีคือ การเก็งกำไร จากสิ่งนั้น
เราทำงานเป็๋นผู้ตรวจสอบัญชีคะขนาดเราทำงานสายนี้
เราเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ กระจายความเสี่ยงด้านเงินออมแค่ หุ้น กับ ทอง
ไม่ใช่แค่เรา เพื่อนที่ีทำงานอีกหลายคน รวมถึงครอบครัวเราก็มีวิธีการกระจายความเสี่ยงด้านอื่นด้วยเช่นกัน อย่าคิดว่าไม่มีนะคะ คนที่ลงทุนด้านอื่นๆ
เราจะบอกให้นะคะ เบอร์กิ้นบางใบ มูลค่ามันแถบจะไม่ตกเลยคะ
ความผันผวนของราคาแถบจะไม่มี ยิ่งถือไว้ราคายิ่งขึ้น เหมือนถือเงินอยู่ในมือตลอด ยิ่งรุ่น LIMITED EDITION ไม่ต้องพูดถึงเลยคะ
บางคนมีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ เพราะเจ้าของเก่าก็ยึดไว้มั่น
ไม่ยอมขายเช่นเดียวกัน เป็นสินค้าที่ไม่ต้องดูมูลค่าจากตลาดทุน
ไม่ต้องอ้างอิงจากเอกสารทางการเงินใดๆ หรือ แถบไม่ต้องดูราคาตลาด
ว่ามูลค่าจะผันผวนตกลงไปตามกาลเวลาหรือไม่
เพราะมันมีมูลค่ามาตราฐานในตัวมันเองอยู่แล้ว
ในขณะที่หุ้น ต้องดูตลาดหุ้นทุกวัน ทองก็ต้องวิเคาะห์ตลาด
รอวันซื้อวันขายตามราคาที่ผันผวนขึ้นลงอีก
ถ้าคุณไม่ได้ลุงทุนดังกล่าวข้างต้นก็ไม่ผิดนะคะ
แต่จะบอกว่า บางคนก็ไม่ได้คิดเหมือนคุณเช่นกัน
ยอมรับตามตรงนะ
เคยเจ๊งจากหุ้น แต่ยังไม่เคยเจ๊งจากการเก็งกำไรของBRANDNAME
แก้ไขเมื่อ 02 ก.ค. 54 17:03:03
แก้ไขเมื่อ 02 ก.ค. 54 16:59:20
แก้ไขเมื่อ 02 ก.ค. 54 16:49:43
แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 54 16:38:46
แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 54 16:14:08
แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 54 15:52:43
แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 54 15:44:28
แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 54 12:50:02
แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 54 11:43:57