 |
Harry Potter and the Deathly Hallows Part II, ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีจุดเริ่มต้นและจุดจบ (NO SPOIL!!)
|
 |
เพิ่งกลับจากการดู Harry Potter 7.2 รอบสื่อครับ และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้ดูรอบสื่อเป็น IMAX 3D ที่พารากอนซะด้วย ต้องบอกว่านี่อาจเป็นที่สุดของหนังรอบสื่อที่ผมได้ดูมาก็ว่าได้ เหอะๆๆๆ เพราะนอกจากเป็นรอบสื่อครั้งแรกในแบบ IMAX พารากอนของผมแล้ว เรื่องนี้กลายเป็นหนังที่ผมปลื้มสุดๆณ.ตอนนี้ก็ว่าได้เลย (ต้องยอมรับว่า รอวันนี้มานานมากๆ นับตั้งแต่รอบสื่อ TF2: ROTF กับ Inception เลยทีเดียว ที่ไม่ได้ดูรอบสื่อเป็น IMAX)
.... มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ผมต้องยอมรับว่าปีนี้ผมประทับใจหนังซัมเมอร์หลายๆเรื่องมากๆก็ว่าได้ ความประทับใจของหนังซัมเมอร์ปีนี้ ค่อนข้างอยู่ในระดับเดียวกับความประทับใจหนังซัมเมอร์เมื่อปี 2008, 2005, 2004 และ 1999 ที่มีแต่หนังซัมเมอร์โดนใจและคุณภาพให้ได้ชมกันตลอดทั้งฤดูกาลเลย แล้วต้องยอมรับว่าปีนี้ได้เห็นหนังซัมเมอร์ที่หลากหลาย หลากความประทับใจ ที่ไม่ซ้ำความรู้สึกซะด้วย ตั้งแต่ Thor, Fast Five, Kung Fu Panda 2, X-Men: First Class, Super 8, Transformers: Dark of The Moon, The Tree of Life และล่าสุดกับหนังภาคสุดท้ายที่หลายๆคนในทั่วโลกตอนนี้ กำลังรอชมอยากใจจดใจจ่อ Harry Potter and the Deathly Hallows Part II
.... Harry Potter สำหรับผมแล้ว มีความผูกพันธ์กับนิยายชุดนี้ตั้งแต่ผมยังอยู่ ม.2 เกือบๆ 10 ปีได้แล้วก็ว่าได้ ซึ่งนอกจากได้อ่านซึมซับและโตมากับนิยายชุดนี้ไปด้วยแล้ว Harry Potter ถือว่าเป็นฮีโร่ในช่วงวัยมัธยมผม (หรือใครก็ตาม) ก็ว่าได้ เพราะไม่ใช่แค่เป็นนิยายที่ติดในช่วงนั้นจนปล่อยไม่อยู่แล้ว ผมเป็นคนนึงที่เคยเป็นส่วนนึงกับ Harry Potter ฟีเวอร์ในสมัยแรกๆอีกด้วย
แต่สำหรับตัวหนังแล้ว ต้องบอกได้เลยว่า อาจลดความประทับใจลงจากหนังสือไปในระดับนึง เพราะแน่นอนว่าเวลาหนังเรื่องไหนที่ดัดแปลงจากนิยาย มักจะมีปัญหาเรื่องการรัดรวบ หรือการใส่รายละเอียดต่างๆในหนังไปพอสมควรเสมอ ผมจึงเป็นคนนึงที่ไม่ค่อยปลื้มกับหนัง HP ภาคแรกซักเท่าไหร่ เพราะมันตัดองค์ประกอบจากหนังสือที่ผมชอบๆไปเยอะพอสมควร ผมพอใจภาคสองในระดับนึง เพราะมันใส่รายละเอียดเพิ่มขึ้นและทำให้สนุกขึ้นกว่าภาคแรก ผมชื่นชมภาค 3 ในส่วนของการดัดแปลงมาสู่หนัง เพราะตัวนิยายภาคนี้ผมค่อยประทับใจเท่าไหร่นัก แต่ในหนังกลับดัดแปลงได้แหวกแนวกว่า และเริ่มไม่ดูเด็กๆเหมือนกับสองภาคแรก ภาค 4 นี่เรียกได้ว่า อาจไม่สามารถเอาองค์กอบจากในนิยายมาใส่ในหนังได้ครบหมด แต่ครบเครื่องเรื่องความสนุกที่ภาคนี้มีมากกว่าภาคอื่นๆ
ภาค 5 ตัวนิยายน่าเบื่อมากๆ ตัวหนังดัดแปลงได้น่าสนใจนิดๆ แต่ไม่ค่อยสุดนัก ภาค 6 นี่ตัวหนังอาจตัดองค์ประกอบความสนุกจากนิยายไปเยอะ แต่ตัวหนังเรียกได้ว่าดราม่าจ๋าใช้ได้ จนเรียกได้ว่าเป็น "The Empire Strike Back" ของหนังชุด Harry Potter ก็ว่าได้ มาที่ภาค 7.1 ถือว่าเป็นความคิดที่เยี่ยมในการแยกภาคสุดท้ายเป็นหนังสองเรื่อง เพราะตอนอ่านนิยายเล่มสุดท้าย ผมก็นึกไม่ออกว่ามันจะดัดแปลงเป็นหนังยังไง คือรายละเอียดเล่มนี้เยอะกว่าภาคที่ผ่านมามากๆ (เยอะกว่าภาค 4 เสียอีก) ซึ่งก็เป็นลางที่ดีที่ภาค 7 แยกเป็นหนังสองเรื่อง มันจะได้ดูสมเหตุผลและไม่ตัดทอนส่วนสำคัญออกไป เพื่อให้คนที่ไม่ได้อ่านได้เกิดความต่อเนื่อง และครบองค์ประกอบต่างๆที่ในนิยาย ต้องการถ่ายทอดออกมา ตัวหนัง 7.1 เลยดูซื่อตรงกับครึ่งแรกของเล่มสุดท้ายมากๆ ถึงแม้ว่าอาจจะต้องตัดทอนอะไรบางอย่างที่สำคัญจากนิยายไปบ้าง แต่ก็ถือว่าให้ได้เยอะกว่า Harry Potter ในภาคที่ผ่านมา
.... สำหรับภาคสุดท้าย Harry Potter and the Deathly Hallows Part II แน่นอนว่า Harry Potter and the Deathly Hallows Part I นั้น ทำออกมาได้ซื่อตรงกับครึ่งแรกเล่มสุดท้ายแล้ว ภาคนี้จึงถือว่าเป็นการจัดเต็มในครึ่งหลังของเล่มสุดท้ายที่แฟนๆนิยาย Harry Potter จะได้ชมในสิ่งที่อยากชม หรือเคยประทับใจส่วนไหนในครึ่งหลังเล่มสุดท้าย ก็จะได้สมดั่งปรารถนาหมดครับ ผมต้องขอให้คำนิยามว่า "นี่คือ The Dark Knight เจอกับ Return of The Jedi เจอกับ Return of The King ของหนังชุด Harry Potter ก็ว่าได้" เพราะมันไม่ใช่เป็นการปิดฉากที่ยิ่งใหญ่อย่างเดียว แต่นี่คือ Harry Potter ภาคที่ทรงพลัง กินใจ และสร้างความซาบซึ้งสุดที่เคยสร้างเป็นหนังมา ของหนังชุดนี้ครับ
ผมคงต้องสารภาพว่า ผมเป็นคนนึงที่ไม่ค่อยประัทับใจการกำกับของผู้กำกับ เดวิด เยสท์ ในภาค 5 และ 6 ซักเท่าไหร่ เพราะอารมณ์หนัง HP ที่เขาคนนี้กำกับนั้นมันดูไม่ค่อยต่อเนื่องกับสี่ภาคแรกซักเท่าไหร่ และอารมณ์ตัวหนัง ก็ไม่สามารถไปถึงที่สุดได้อย่างที่เคยสัมผัสในตอนที่เป็นนิยายได้ โดยเฉพาะการตายของใครบางคน ในภาค 5 นั้น มันไม่สามารถชวนสะเืทือนอารมณ์ ได้แบบในนิยายได้ ถึงแม้การตายของใครบางคนในหนังภาค 6 เขาจะสามารถสร้างความสะเืทือนอารมณ์ให้กับคนดู แต่กลับตัวหนังทั้งเรื่องนี่สิ มันอ่อนพลังและแห้งแร้งสีสันเหลือเกิน พอในภาค 7.1 เนื่องจากว่าภาคสุดท้ายได้สิทธ์ที่แยกเป็นหนังสองเรื่อง จึงได้ให้โอกาสกับผู้เขียนได้สานธยายรายละเอียดจากฉบับนิยาย มาสู่ฉบับหนังได้อย่างซื่อตรง ทำให้ผู้กำกับ เดวิด เยสท์ ได้ใช้โอกาสนี้ได้อย่างคุ้มค่า ที่ทำให้ภาค 7.1 มีชีวิตชีวาในความตื่นเต้นเร้าใจและดราม่าที่เข้มข้นขึ้นกว่าสองภาคที่เขาเคยกำกับก่อนหน้านี้ได้อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็เกือบไปถึงจุดพีคด้วยเช่นกัน
และพอมาถึงภาค 7.2 มันเลยกลายเป็นการกำกับหนัง HP ของเขา ที่เขาได้ทำสุดความสามารถและเต็มที่สุดกว่าสามภาคแรกที่เขาได้ทำ เขาสามารถนำความประทับใจที่แฟนหนังสือมีต่อ Harry Potter เล่มแรก ซึ่งได้นำความรู้สึกที่ไม่รู้ลืมนี้กลับมาอีกครั้ง ทุกๆอารมณ์ความรู้สึกที่ในครึ่งหลังของเล่มสุดท้ายมี จะมาให้ครบในหนังภาคสุดท้ายนี้เช่นกัน เพราะคุณจะได้เห็นตัวละครต่างๆที่คุณเคยเห็นจากภาคก่อนๆ กลับมาในหนังเรื่องสุดท้ายนี้อยู่เยอะพอสมควร คุณจะเห็นพัฒนาการและมิติของบางตัวละคร ที่คุณได้มองข้ามไปในหนังภาคก่อน แต่กลับจะได้เห็นในหนังภาคนี้ คุณจะได้รู้ว่าเหตุผลอะไรที่ทำไมบางตัวละครนั้น มีพฤติกรรมอันเย็นชากับอีกตัวละครตลอดหลายภาคที่ผ่านมา และไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนหนังชุดนี้ หรือแฟนนิยายชุดนี้ หรือมีความซึมซับกับ HP มาตลอดเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา หรือไม่ได้มีความพิศวาสกับหนังชุดนี้เลย ผมเชื่อมั่นว่านี่จะเป็นหนึ่งในหนังที่คุณจะได้รับครบทุกอารมณ์และเสียน้ำตาให้มากกว่าหนึ่งฉากเลยทีเดียว
.... ยอมรับว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ผมน้ำตาแตกให้กับ The Dark Knight แล้วเมื่อปีก่อน ผมก็ได้น้ำตาแตกให้กับการอำลาซีรี่ส์ที่ผมชอบที่สุดในรอบ 6 ปีเรื่อง Lost และหนัง Toy Story 3 แต่กลับ Harry Potter ภาคนี้ ขนาดในตอนอ่านนิยายนี่ผมน้ำตาแตกไปพอสมควรแล้วนะ พอมาดูหนังจริงๆ เออ .... ผมร้องไห้อย่างกับเด็กผู้หญิงจนอายคนนั่งข้างๆเลยก็ว่าได้ ซึ่งในหนังภาคสุดท้าย มันได้นำองค์ประกอบสำคัญต่างๆจากครึ่งหลังเล่มสุดท้าย นำออกมาถ่ายทอดได้อย่างทรงพลัง, กินใจ, ลึกซึ้ง และ อิ่มเอมใจอย่างไม่รู้ลืม แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจาก Toy Story 3 ที่มีทั้งปนเศร้าปนสุขในเวลาเดียวกัน จนทำเอาเราน้ำตาแตก แต่ด้วยความที่ผมไม่ได้รู้สึกประทับใจกับ Harry Potter เป็นเวลานานมากๆ นับตั้งแต่หนังภาค 4 จึงรู้สึกเหมือนกำลังอำลาเพื่อนเก่าคนนึงที่คงจะไม่ได้เจออีกเลยทั้งชีวิต และทำให้ได้เข้าใจกับอนิจจังอีกครั้งว่า ทุกอย่างมีเกิดขึ้นและดับไป แล้วตอนนี้ก็ถึงเวลาของ Harry Potter ซะแล้ว
.... ต้องยอมรับว่าทุกๆตัวละครภาคนี้มีบทบาทและสำคัญมากกว่าที่เราคุ้นเคยในภาคก่อน จากครึ่งหลังของเล่มสุดท้ายได้รับการถ่ายทอดมาเป็นหนังภาคสุดท้าย ซึ่งบทภาพยนตร์ภาคนี้มีความปราณีตและความละเอียดอ่อนสุดของหนังชุดนี้เลยทีเดียว ผมจึงไม่แปลกใจกับคะแนนในเว๊บมะเขือเน่า ที่ได้ในคะแนนสูงในระดับหนังแบบ The Social Network, The Hurt Locker และ The Dark Knight เพราะมันซื่อสัตย์กับนิยายมากถึงมากที่สุด ที่ตัวผมเองไม่รู้จะหาคำไหนจะนิยามให้่กับภาคนี้ได้มากกว่านี้อีกแล้ว ตั้งแต่หนังเรื่องไหนมีภาคที่จำเป็นต้องถึงเวลาปิดฉาก หนังภาคสุดท้ายที่ผมมองว่าดีที่สุดจริงๆคงนึกได้แค่สองเรื่องคือ Return of The King และ Return of The Jedi เพราะมันเป็นบทสรุปหนังชุด ที่ครบองค์ประกอบ ในแง่การเล่าเรื่อง มิติพัฒนาการตัวละคร และสร้างความรู้สึกผูกพันธุ์จากคนดูที่มีต่อหนังเรื่องนั้นได้จนจบ
.... Harry Potter and the Deathly Hallows Part II จึงต้องขออยู่กับสองเรื่องนั้นด้วย เพราะนี่เป็นบทสรุปของเรื่องราวที่เราคุ้นเคย เป็นการปิดฉากอันทรงพลัง และเมื่อหนังจบแล้วมันตรึงใจผู้ชมจนไม่รู้ลืม เพียงแต่ในความรู้สึกผม เรื่องนี้มันปิดฉากได้ลงตัวกว่า Return of The Jedi เยอะพอสมควร คือตอน Return of The Jedi ผมยอมรับว่ามันปิดฉากได้โอเค และทรงคุณค่าพอๆกับหนัง Star Wars สองเรื่องก่อนหน้านั้น แต่มันไม่ได้กินใจและไม่ค่อยเกิดความรู้สึกรักมันเท่ากับ A New Hope และ Empire Strike Back ที่แน่ๆยอมรับว่าจบดี แต่ยังไม่ดีเท่ากับภาคก่อนๆ และก็ Return of The King ผมยอมรับว่าเป็นหนังปิดฉากที่ดีที่สุดที่เคยได้ดูในชาตินี้ แล้วมันก็ลงตัวกับไตรภาค LOTR ถึงที่สุดด้วย ซึ่งอารมณ์ความซาบซึ้งที่ผมมีต่อ ROTK ก็หวนคืนกลับมาอีกครั้งใน HP 7.2 เช่นกัน
เพราะมันได้ตอบโจษย์ความสงสัยของคนดูหนังชุด HP ภาคที่ผ่านมาอย่างละเอียด และมันลงตัวกับหนังชุดนี้ ที่เริ่มต้นตั้งแต่ความเป็นหนังเด็กในภาคแรก จนมาซีเรียสสุดๆในหนังภาคสุดท้าย ซึ่งทุกๆอย่างก็ล้วนมีเกิดขึ้นและดับไปแหละครับ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ผมคนเดียวที่ร้องไห้กับครึ่งหลังของหนังภาคสุดท้ายนี้ ซึ่งก็เชื่อว่าแฟนๆ HP คนอื่นๆคงจะพากันร่ำไห้ให้หนังภาคนี้ไม่แพ้กับผม ได้อย่่างพร้อมใจและอาจเป็นน้ำตาสุดท้ายที่อุทิศให้กับหนังชุดนี้จริงๆ
.... สำหรับนักแสดงในหนังภาคนี้ ยอมรับว่าทำหน้าที่ได้ดีหมดเกือบทุกๆคน ทั้งตัวละครที่ยังมีชีวิตในหนัง หรือตัวละครที่ไม่ชีวิตในหนังแล้ว ล้วนทำหน้าที่ได้เต็มสิบเกือบหมดทุกๆคน คงหนีไม่พ้นที่จะเอ่ยถึง เดเนียล แรดคลิฟท์ ที่ HP ภาคนี้ ไม่เพียงแต่เป็นบท Harry Potter ที่ดีที่สุดของเขาไปแล้ว ยังกลายเป็นการแสดงที่ดีที่สุดในทั้งชีวิตเขาไปด้วย และแน่นอนว่าเราจะจดจำนักแสดงหนุ่มคนนี้ในบท Harry Potter ตลอดไป
นอกนั้นก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้กัน แต่คงไม่สามารถเอ่ยได้หมดได้ เพราะเดี๋ยวมันจะยาวเกินไป แต่ขอชื่นชมอีกสองคนละกัน ที่ภาคนี้มีพัฒนาการมากกว่าภาคที่ผ่านมา อันได้แก่ อลัน ริคแมน ในบทสเนป หลายๆคนที่ได้อ่านเล่มสุดท้ายคงรู้ว่าบทสเนปในเล่มสุดท้าย มีมิติและความอัศจรรย์อย่างมากมายกว่าในภาคที่ผ่านมา และผมก็ได้คาดหวังว่า ริคแมน คงจะทำหน้าที่ในบทนี้ได้ดี ไม่แพ้กับในฉบับนิยาย และในท้ายที่สุดก็ฝากฝีมือได้อย่างมีพลังจริงๆ ด้วยความที่ ริคแมน รับบทเป็นสเนปในหนังชุดนี้ตลอดเวลา ทำให้เรารู้สึกว่า คงไม่มีใครคนไหนที่จะทำหน้าที่เป็นสเนปได้ดีกว่านักแสดงคนนี้อีกแล้ว หลังจากที่แสดงความเย็นชามาเป็นเวลานาน มาในภาคนี้เราจะได้เห็นด้านอื่นๆ ที่เราไม่ได้เห็นในภาคก่อนๆของตัวละครนี้ จนทำให้เราได้สงสารและพรากน้ำตาให้กับตัวละครนี้อย่างท้ายที่สุด เรียกได้ว่านี่เป็นอีกการแสดงของ อลัน ริคแมน (อาจเว่อร์เกินไป) ที่ผมรู้สึกว่าสมควรและคู่ควรแก่การได้ชิงออสการ์มากๆ
และ แมธธิว เลวิส ในบท เนวิล ลองบอธธัม สำหรับในนิยายลองบอธธัมค่อนข้างมีบทบาทเยอะกว่าในหนังอยู่มากๆ พอมาเป็นในหนังบทลองบอธธัมกลายเป็นตัวประกอบหรือไม่ก็บางภาคได้แต่เป็นผู้ปิดทองหลังพระ แล้วถ้าใครได้อ่านในเล่มสุดท้าย จะพบว่าลองบอธธัมจะเป็นอีกตัวละครนึงในภาคนี้ ที่มีบทบาทอยู่เยอะไม่แพ้กับ แฮร์รี่, รอน และ เฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งค่อนข้างประทับใจที่ในหนังภาคนี้ ผู้สร้างเลือกไม่ตัดบทเขาให้น้อยลงเหมือนภาคที่ผ่านมา และให้ความสำคัญอย่างเต็มที่อย่างที่เคยเล่ากล่าวในฉบับนิยาย เลวิส ก็เป็นอีกคนนึงที่ไม่แพ้กับคนอื่นๆในหนังชุดนี้ ที่รับบทบาทนี้มาตั้งแต่ภาคแรก จนมาถึงภาคสุดท้าย ที่คราวนี้เลวิสทำหน้าที่ได้อย่างสมศักดิ์ศรีและสมดั่งความคาดหมายสำหรับแฟนๆนิยายด้วย ซึ่งชื่นชมว่าในความสำคัญของตัวละครเขาครั้งนี้ ทำให้เป็นอีกตัวละครนึงในหนังภาคนี้ที่เอาผมปลื้มสุดๆ
และก็อีกสิ่งที่ผมปลื้มเป็นพิเศษกับ HP ภาคนี้ นอกจาก การแสดง ตัวละคร บทหนัง การเล่าเรื่อง มิติ และความพัฒนาการของตัวละคร ที่ทำให้ทรงพลังและพาเราซาบซึ้งจนน้ำตาแตกแล้ว สิ่งนั้นที่ผมกำลังจะพูดถึงคือ ดนตรีประกอบของหนัง ผมไม่ได้หมายถึงดนตรีของ อเล็กแซนเดอร์ เดสแพลต ที่เป็นอีกครั้งที่เขาได้ประพันธ์ดนตรีออกมาเยี่ยม ผมกำลังหมายถึงการที่หนังเลือกใช้ธีมดนตรีจากหนัง HP สามภาคแรกที่ประพันธ์โดย จอห์น วิลเลี่ยม ที่นำมาใส่ตอนจบของหนังได้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่นอกจากจะบวิต์อีโมชั่นแนลในฉากนั้นแล้ว จะพาเอาคนดูเตรียมใจที่จะต้องคิดถึงกับหนังชุดนี้หลังจากนี้ตลอดไป และเป็นการอำลาโดยการใช้ดนตรีที่แฟนๆหนัง และแฟนๆนิยายชุดนี้ได้คุ้นเคยเป็นอย่างดี เพื่อให้เป็นการเสียน้ำตาซาบซึ้งที่ปนเศร้าและปนสุข เพื่อให้ทุกๆคนได้จดจำเรื่องราวการผจญภัยของ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ด้วยเพลงธีมนี้ตลอดไป
.... ผมเชื่อมั่นว่าผมเขียนถึงขนาดนี้แล้ว มันก็ยาวเกินไปสำหรับการเขียนสานธยายความรู้สึกที่ผมมีต่อหนัง HP ภาคนี้เยอะพอสมควร โดยรวมผมรู้สึกว่าพวกเขาได้เก็บสิ่งที่ดีที่สุดไว้ในครั้งสุดท้ายได้อย่างลงตัว และเยี่ยมยอดมากๆ ผมเชื่อมั่นว่าสำหรับแฟนๆ HP ที่ไม่ว่าจะผ่านตาทางนิยายและในภาพยนตร์ก็ตาม ก็ต้องมีความผูกพันธุ์กับหนังภาคนี้ และเกิดความรู้สึกเสียดายเมื่อถึงเวลาที่หนังจบ แต่ด้วยความรู้สึกประทับใจเหล่านั้น มันจะคงอยู่ความทรงจำตลอดไป แน่นอนล่ะครับเมื่อหนังจบแล้ว อาจมีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปจากเรา เหมือนที่ผมเคยได้รู้สึกเมื่อถึงตอนจบซีรี่ส์เรื่องโปรดอย่าง Lost ที่หลังจากนั้นผมทำอะไรต่อไม่ถูก และได้แต่ร่ำไห้กับความรู้สึกดีๆที่ซีรี่ส์เรื่องนี้ให้เราไป กับความเศร้าที่ซีรี่ส์ได้จากลาไปแล้ว แต่รู้มั๊ยครับชีวิตต้องก้าวต่อไปแบบหนังอย่างที่หนังต้องจบเพื่อชีวิตตัวละครในเรื่องได้ดำเนินต่อไป และความประทับใจเหล่านั้นจะคงสถิตอยู่ในความทรงใจคนดูไปชั่วนิรันดร์
Harry Potter and the Deathly Hallows Part II ก็เหมือนกับเป็นอนิจจังที่ว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีจุดเริ่มต้นและจุดจบ และไม่มีอะไรจะอยู่ค้ำฟ้าเป็นอมตะตลอดไป" แล้วมันก็ถึงเวลาของนิยายและหนังชุดนี้ที่ได้ถึงเวลาต้องอำลาจากเราไปเสียที สำหรับผมนี่เป็น Harry Potter ฉบับหนังภาคที่ดีที่สุดที่ผมได้ดูมา มันนำพลังและมนต์ขลังต่างๆจากในนิยาย มาสู่ในฉบับหนังอย่างลงตัว พอๆกับ The Lord of The Rings: The Return of The King ที่ไม่รู้ว่าจะมีหนังภาคสุดท้ายเรื่องไหน ทำได้กินใจและตรึงใจแบบนี้ได้เท่ากับ HP7.2 และ ROTK อีกแล้ว ขอบคุณ เจเค โรวลิ่ง ที่แต่งนิยายชุดนี้ให้เราได้อ่านถึง 7 ภาค ขอบคุณผกก. ทั้ง 4 คนที่สร้าง HP ฉบับหนังให้เราได้ชมกันตลอดมา 10 ปีมานี้ และขอบคุณนักแสดงทุกๆคนที่ร่วมแสดงในหนังชุดนี้ เพราะถ้าไม่มีพวกคุณ Harry Potter ก็ไม่มีวันนี้หรอกครับ ขอบคุณจากใจจริง ....
และขอขอบคุณ FOX/WB (Thailand) กับโรงภาพยนตร์ IMAX ณ.ที่นี้ด้วยนะครับ กับโอกาสที่ได้ดูหนังก่อนใครเพื่อนดีๆแบบนี้
ปล. หลายๆคนสงสัยว่า 3D เรื่องนี้คุ้มมั๊ย ? สำหรับผมขอมองว่า เป็นหนัง 3D คอนเวิร์สที่ดีกว่าเรื่องอื่นๆเยอะเลยครับ ถ้าใครเคยคุ้นเคย 3D ในหนัง HP ภาค 5 และ 6 ที่ฉายในโรง IMAX มาก่อน อารมณ์ 3D ภาคนี้ จะคล้ายๆกับสองภาคนั้นน่ะครับ แต่ถ้าถามว่าแนะนำ 3D มั๊ย ???? สำหรับผมเพื่อความปลอดภัย แนะนำให้ไปบริการกันที่ IMAX ทั้งสามสาขาดีกว่าครับ เพราะภาพใหญ่และภาพสวยด้วย แต่ถ้าไม่อยากเสี่ยงก็ดูเป็น 2D ไม่เสียหายอะไรครับ
ปล. 2 อย่างเซ็งไม่มีตัวอย่าง Sherlock Holmes 2, Contagion และทีเซอร์ The Dark Knight Rises อย่างที่เป็นข่าว ก่อนหนังเริ่มเลยอ่ะ เซ็งโคตรๆ แต่โชคดีได้ดูทีเซอร์ The Dark Knight Rises ตอนมาเช็ค FB ที่บ้านแล้ว เหอะๆๆๆๆ แต่กว่าจะได้ดูชัดๆก็วันจันทร์หน้า
http://twitter.com/Matt_McPhee รักเพื่อนบ้านเสมอ
แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 54 04:50:17
แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 54 03:50:34
จากคุณ |
:
Matthew McPhee'Z
|
เขียนเมื่อ |
:
14 ก.ค. 54 03:40:21
|
|
|
|  |