|
หลังจากเปิดคอนเสิร์ตครั้งแรก เก็บค่าผ่านประตูผู้เข้าชมคนละ 5 บาท โดยยอดรวมทั้งหมดเก็บได้ 6,000 บาท นับว่าประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อ ''แม่เล็ก'' เล่าถึงลูกสาวต่อไปว่า ช่วงนั้นพุ่มพวงและธีรพลมีกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไปอย่างมาก คิดที่จะออกเดินสายวงดนตรี เพื่อทำให้ชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม แต่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกครั้งไป
การตัดสินใจนำวงดนตรีออกเดินสายเกิดอุปสรรคได้เกิดขึ้น เพราะใช่ว่าจะเก็บค่าบัตรผ่านประตูได้ดีเหมือนกับคอนเสิร์ตครั้งแรก เพียงไม่กี่วันที่ออกเดินสายตาม ''คารม คมคาย'' เคยทำไว้ ทำให้สมาชิกของวงดนตรีแทบจะอดตายทั้งคณะ ต้องยกวงกลับเข้ากรุงเทพฯ อีกครั้ง เพื่อหาลู่ทางที่จะทำให้ประสบความสำเร็จดั่งที่เคยพบมา
''แม่เล็ก'' เล่าถึงลูกสาวไปเรื่อยๆ ว่า ถึงสถานภาพวงดนตรีจะลุ่มๆ ดอนๆ แต่ลูกสาวของตนไม่เคยท้อ เมื่อชีวิตไม่สิ้นหวัง ''พุ่มพวง'' ก็ได้พบกับแสงสว่าง ในที่สุดดวงจันทร์ก็ได้ทอแสงเรืองรอง เมื่อ ''เสกสรรเทป'' ได้ติดต่อของให้พุ่มพวงไปเป็นนักร้องในสังกัดค่ายเทป ซึ่งมี ''เอื้ออารีย์'' และ ''ประจวบ จำปาทอง'' เป็นประธานบริษัท มี ''ปรีชา (เสี่ยงู) อัศวฤกษ์นันท์ เป็นกรรมการผู้จัดการ
เมื่อลูกสาวของตนเข้ามาอยู่ค่ายเทปนี้แล้ว ผลงานเพลงใหม่ๆ ได้เกิดขึ้นมากมาย และได้รับความนิยมจากผู้ฟัง ไม่ว่าเพลงไหนถูกเปิดออกอากาศ เพลงนั้นต้องดัง ขายได้ ทำให้มีโอกาสตั้งวงดนตรีขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โดยบริษัทเทปเป็นผู้ลงทุนให้ ซึ่งทำวงร่วมกับ ''เสรีย์ รุ่งสว่าง''
ทว่าเมื่อเสกสรรเทปได้หยุดกิจการลง เท่ากับว่าวงดนตรีวงเก่าต้องล้มไปด้วยโดยปริยาย ไม่มีวงอีกแล้ว จึงเป็นโอกาสให้ธีรพลสามีของพุ่มพวง ลงมาทำวงเอง แต่โชคก็ไม่เข้าข้าง เพราะอยู่ไปไม่เท่าไหร่ ก็ต้องยุบวงไปอีก
''แม่เล็ก'' เล่าไปอีกว่า ตอนนั้นลูกสาวของตนทำท่าจะล้มจนท้อหลายครั้ง แต่เหมือนว่าบุญเก่าที่สร้างสมมาจะช่วยเหลือ เมื่อ ''อโซน่า'' ค่ายเทปใหม่ที่เกิดขึ้น ดึงเอา พุ่มพวง ดวงจันทร์ มาร้องอัดเสียง ด้วยทีมงานมือฉมัง และการโปรโมตแบบไม่อั้น เพียงไม่นานงานเพลงของลูกสาวตน ก็ดังระเบิดขึ้นมาอีก ทั้งมีแรงหนุนจาก ''ไชยันต์ ชูตระกูล''
คนมันจะดังยังไงก็ฉุดไม่อยู่ ''แม่เล็ก'' เล่าว่า เมื่อ ''ประจวบ จำปาทอง'' ได้จัดรายการทีวี ''ชุมทางคนเด่น'' ด้วยการประกวดร้องเพลง ซึ่งรายการนี้เอาเพลงพุ่มพวง มาเป็นแม่แบบเพลงให้กับนักร้องหญิงที่เข้ามาประกวดจากทั่วประเทศผ่านทางช่อง 7 สี ทุกวันอาทิตย์
เพลงเศร้าๆ หลายเพลงของพุ่มพวงถูกนำมาให้นักร้องใหม่ขับร้องประกวดบนเวที ไม่ว่าจะเป็นเพลง บทเรียนราคาแพง, หัวใจถวายวัด, นางบังเงา, ดาวเรืองดาวโรย สร้างความภาคภูมิใจให้กับพุ่มพวงอย่างมาก
''ตอนที่บันทึกแผ่นเสียงใหม่ กับเพลง สาวนาสั่งแฟน, แฟนพุ่มพวง, หัวใจถวายวัด คนดังลืมหลังควาย, บทเรียนราคาแพงล ทีเด็ดพุ่มพวง, นัดพบหน้าอำเภอ, กระแซะเข้ามาซิ และ ห่างหน่อยถอยนิด เขาก็ดังมาเลยนะ จากความสำเร็จครั้งนี้ทำให้ผึ้งกับธีรพลมีเงินซื้อบ้านหลังแรกเป็นของตัวเอง ตอนนั้นชื่อว่าหมู่บ้านเก้าไร่ (หมู่บ้านโกสุมนิเวศในปัจจุบัน) ที่หลักสี่ บางเขน กรุงเทพฯ ตอนนั้นผึ้งเริ่มเป็นนักร้องที่ได้รับความนิยมสูงสุด ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ และต่างประเทศ แล้วไม่นานผึ้งก็ได้ถูกดึงไปเล่นหนัง หนังที่เล่นก็จะมีเพลงสอดแทรกเข้าไป เพื่อเป็นกำไรกับผู้ชม แล้วเป็นการโปรโมตเพลงของผึ้งด้วย ผลงานที่สร้างชื่อเมื่อมาโลดแล่นอยู่บนจอเงิน ก็มี สงครามเพลง, หลงเสียงนาง, ผ่าโลกบันเทิง และ สาวนาสั่งแฟน ตอน พ.ศ. 2520 พ่อกับแม่ก็พาลูกๆ มาอยู่ที่กำแพงเพชร และก็อยู่จนถึงวันนี้นี่แหละ ตอนมาอยู่แรกๆ ลำบากนะ ไฟฟ้าไม่มี ถนนหนทางก็ยังเป็นป่าอยู่เลย น้ำไม่มีต้องรองน้ำฝนเอาไว้กินไว้ใช้'' แม่เล็กกล่าวถึงลูก
หลังเดินชมศาลาทรงไทยหลังแรกแล้ว ''แม่เล็ก'' พาไปชมศาลาทรงไทยหลังที่สอง ซึ่งเป็นที่รวบรวมผลงาน และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของลูกสาวตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ พร้อมกับเล่าถึงเรื่องในอดีตให้ฟังไปด้วยว่า พอโด่งดังแล้วพุ่มพวงก็เหมือนกับโดนสวรรค์กลั่นแกล้ง เพราะขณะที่งานกำลังรุ่งโรจน์ ความรักระหว่างลูกสาวตนกับธีรพลต้องมาพังไม่เป็นท่า
เพราะธีรพลไปชอบพอกับ นางเอกหนังชื่อดังของเมืองไทย ซึ่งทุกวันนี้ยังมีงานบันเทิงล้นมือ โดยที่พุ่มพวงสามารถจับได้แบบคาหนังคาเขา และมีเรื่องระหองระแหงกัน จนกลายเป็นมีปากเสียงกันรุนแรง ตอนนั้น ลูกสาวตนจึงของแยกออกไปพักกับพี่ชาย
แม้ว่าแม่เล็กกับพ่อสำราญช่วยเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองคนคืนดีกัน แต่ก็ไม่เป็นผล ช่วงนั้นธีรพลได้พาน้องเข้ามาทำวงดนตรี และนำเงินไปซื้อที่ดินปลูกบ้านให้กับพ่อแม่ของเขา และเป็นช่วงเดียวกับที่ตนเอา ''ไก่'' จันทร์จวง ดวงจันทร์ ลูกสาวอีกคน ซึ่งเป็นน้องสาวของพุ่มพวง ไปอยู่ในวงดนตรีด้วย
''ตอนนั้นผึ้งแยกไปอยู่ที่บ้านพงษ์ธรรมกับพี่ๆ น้องๆ ตั้งชื่อบ้านหลังนั้นว่ากระท่อมผึ้งน้อย อยู่ตรงข้ามกับเมืองทองธานี ผึ้งซื้อบ้านหลังนี้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ตอนนั้นแม่เห็นผึ้งแยกกันอยู่กับธีรพล กลัวเรื่องจะบานปลาย ถ้าเกิดผึ้งกับธีรพลเลิกราทิ้งกันจริงๆ ครอบครัวคงจะลำบาก เพราะว่าธีรพลทำวงดนตรีเอง ลงทุนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นชุดเต้น หรือว่าเครื่องเสียง เครื่องมิกซ์อุปกรณ์ทุกอย่างก็เป็นเงินของผึ้งกับธีรพล โดยตกลงกันอย่างสันติผึ้งไม่เอาอะไร นอกจากรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู โดยยกบ้านเก้าไร่ให้ธีรพลไป ทุกคนในครอบครัวยกวงให้ธีรพล วงดนตรีตอนนั้นรายได้มากนะ ทุกคนในบ้านทำงานกันในวงทุกคน ไก่ จันทร์จวง, จิ๋ม, โอ่ง, นเรศ ก็ต้องมีหน้าที่ร้องเพลงมีรายได้จากค่าตัว โดยผึ้งจะขอค่าตัวขาดเลยคือคืนละ 2 หมื่นบาท ผึ้งกับธีรพลไม่มีที่ท่าว่าจะคืนดีกันได้เลย แม่กลัวว่าท่าเป็นแบบนี้ทุกอย่างจะสูญไปหมด และเพื่อป้องกันไม่ให้ธีรพลไปยุ่งกับผึ้งอีก ก็เลยตัดสินใจยกลูกสาวให้ธีรพลอีกคน โดยเลือกเอาว่าจะเลือกใครระหว่าง "จิ๋ม" ดวงใจ ดวงจันทร์ กับ "โอ่ง" สลักจิต ดวงจันทร์ เพราะว่าขืนปล่อยไปแบบนี้ไม่ดีแน่ ตอนนั้นผึ้งก็มีดาราและนักร้องมาติดพัน แม่จึงกลัวว่าหากธีรพลยังไม่ได้หย่าขาดจากผึ้ง ทำเรื่องฟ้องร้องขอหย่าขึ้นมาก็จะเป็นเรื่องใหญ่โตไปอีก จนวันหนึ่งธีรพลบอกแม่ว่าเขาเลือกโอ่ง เพราะร้องเพลงดีกว่าคนอื่นและมีรูปร่างอวบ ส่วนจิ๋มร้องแต่เพลงหวานและมีรูปร่างผอม โอ่งมีแววมากกว่าใครที่จะขึ้นมาแทนพุ่มพวงได้ ตอนแรกโอ่งก็ไม่ยอมนะ เพราะอายุเพิ่ง 14 ปี แล้วก็มีแฟนอยู่แล้วด้วย แต่ด้วยเหตุผลของแม่ ถ้าโอ่งไม่แต่งงานกับพี่เขย ทุกคนในครอบครัวก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตที่กำแพงเพชร หรือถ้าธีรพลไปแต่งงานกับคนอื่น จะไม่มีสิ่งของผูกพันเราเลย รถบัสของแม่ที่มีอยู่ตอนนั้นสองคนก็ต้องเอาไปวิ่งอย่างอื่น ตอนหลังโอ่งก็ยอมแต่งงานกับธีรพลแต่โดยดี นี่คือเรื่องที่แม่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน และเป็นเรื่องที่สังคมเข้าใจผิดโอ่งมันมาตลอดว่า มันเป็นคนไปแย่งผัวพี่สาว ความจริงแล้วไม่ใช่เลย มันไม่เต็มใจด้วยซ้ำ เพราะโอ่งรักธีรพลแบบพี่เขยเท่านั้น ที่ไม่ได้ออกมาบอกก่อนหน้านี้ เพราะว่าโอ่งบอกว่า แม่ไม่ต้องไปพูดหรอก ช่างมันเถอะใครอยากพูดอะไรก็ให้เขาพูดกันไป แต่วันนี้แม่ขอยืนยันนะว่า โอ่งไม่เคยแย่งผัวพี่สาวตัวเอง'' แม่เล็กลบครหาให้ลูกสาว
จากคุณ |
:
ปราการด่านสุดท้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ก.ค. 54 01:59:55
|
|
|
|
|