 |
Cross of Iron ...(แชร์ความรู้สึก)สองเกียรติยศท่ามกลางสมรภูมิรบ
|
 |
หนังสงครามโลกครั้งที่สองจากฮอลลีวู้ดส่วนใหญ่ ถ้าไม่ได้เป็นหนังที่ทำออกมาเพื่อความบันเทิงล้วนๆแบบ The Great Escape, The Dirty Dozen ก็ต้องเป็นหนังที่เชิดชูวีรกรรมของทหารอเมริกันแบบ The Longest Day, Saving Private Ryan
จึงไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นหนังสงครามโลกครั้งที่สองที่มีเนื้อหาออกไปทางต่อต้านสงคราม (Anti-war) และยังแหกคอกออกไปอีกด้วยการเล่าเรื่องราวทั้งหมดผ่านมุมมองของตัวร้ายตลอดกาลของโลกภาพยนตร์อย่างนาซีเยอรมนีแบบ Cross of Iron หนังสงครามระดับมาสเตอร์พีซ(ที่อาจถือได้ว่าเป็นมาสเตอร์พีซชิ้นสุดท้ายในชีวิต)ของผกก. Sam Peckinpah
นี่เป็นอีกครั้งที่ผกก. Peckinpah ผสานสองสิ่งที่ไม่น่าจะเข้ากันได้อย่างความรุนแรงระดับเลือดกระจุย ห่ากระสุนกระจายกับประเด็นที่มีความหมิ่นเหม่ (Controversial) เปราะบาง แต่ก็มีความลึกซึ้งเข้าด้วยกันเหมือนกับที่เขาทำเอาไว้ในผลงานหนังคาวบอยที่สร้างชื่อให้กับเขาอย่าง The Wild Bunch, Pat Garrett and Billy the Kid และที่ไม่ใช่หนังคาวบอยอย่าง Straw Dog, Bring Me the Head of Alfredo Garcia
โดยกรณีของ Cross of Iron ผู้กำกับผู้ขึ้นชื่อเรื่องความไม่ประนีประนอมต่อความรุนแรงในหนังของตัวเองอย่าง Peckinpah ได้ปล่อยของถนัดของตัวเอง ทั้งกระสุนปืน,ระเบิด,และเลือดแบบเต็มที่ในฉากสงครามของหนังที่งดงาม อลังการด้วยงานโปรดักชั่นอันยิ่งใหญ่(ถึงจะมีการบันทึกหลังฉากเอาไว้ว่าทีมงานของหนังเรื่องนี้ต้องหยุดการถ่ายทำเป็นระยะๆเพราะงบหมดระหว่างถ่ายทำ),การตัดต่ออันรวดเร็ว,และการใช้สโลว์โมชั่นอันเหนือชั้น(ที่เป็นลายเซ็นที่แม้แต่ผู้กำกับรุ่นครูในยุคถัดมาอย่าง Martin Scorsese, John Woo ยังต้องเอาเป็นแบบอย่าง)จากฝีมือการกำกับของ Peckinpah
ส่วนประเด็นของหนังที่ว่าด้วยความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างสองตัวเอกของเรื่องที่คนหนึ่ง (James Coburn นักแสดงรุ่นเก๋าคู่บุญของผกก. Peckinpah ในหนึ่งในบทบาทการแสดงที่ดีที่สุดเป็นอันดับต้นๆของเขา)สู้เพื่อเกียรติยศที่แท้จริงของชายชาติทหารโดยมีชีวิตของลูกน้องใต้บังคับบัญชาและชะตากรรมของประเทศชาติเป็นเดิมพัน
ส่วนอีกคนหนึ่ง (Maximilian Schell นักแสดงเชื้อสายเยอรมันผู้เป็นที่โจษจันจากการแสดงที่คว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมาให้กับเขาในหนังเรื่อง Judgment at Nuremberg ที่ในเรื่องนี้เขารับบทเป็นนายทหารนาซีที่พยายามทำทุกวิธีเพื่อให้ได้เหรียญกางเขนเหล็กมาครองเพื่อปกปิดความเป็นรักร่วมเพศของตัวเอง)กลับสู้เพื่อเกียรติยศจอมปลอมของเหรียญตรากางเขนเหล็กอันไร้ค่าก็ช่วยตอกย้ำถึงผลกระทบของสงครามที่มีต่อทุกผู้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง
ผกก. Peckinpah รีดเอาศักยภาพของทุกๆองค์ประกอบของหนัง ไม่ว่าจะภาพ,เสียง,การตัดต่อ,การลำดับภาพ,และเหล่านักแสดงจนถึงขีดสุดจนสามารถจับเอาความโหดเหี้ยมของสงครามมาใส่ในหนังได้อย่างอำมหิตสมจริงเสียจนยากที่คนดูจะไม่รู้สึกหม่นหมองไปกับชะตากรรมของเหล่าทหารหาญที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับสงครามครั้งนี้
ภาพเด็กชายอาสาสมัครชาวรัสเซียถูกทหารกองทัพแดงกราดยิงดับเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นเยอรมัน,ศพทหารบนพื้นโคลนที่ถูกรถรบขับทับผ่านไปมาอย่างไม่แยแส,และ/หรือเสียงหัวเราะสุดท้ายของ James Coburn อาจติดอยู่ในห้วงความทรงจำของคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ไปอีกนาน
สรุป...แม้แต่สุดยอดผู้กำกับอย่าง Orson Welles, Stanley Kubrick ยัน Quentin Tarantino ก็ยังน้อมรับในคุณภาพของหนังสงครามเรื่องนี้ที่เป็นหนังสงครามเรื่องแรกและเรื่องเดียวในชีวิตของผกก. Peckinpah
Cross of Iron คือหนังสงครามที่นำเสนอภาพความโหดเหี้ยมอำมหิตของสงครามได้อย่างซื่อตรงที่สุดเรื่องหนึ่งอย่างแท้จริง
แก้ไขเมื่อ 24 ก.ค. 54 20:02:09
แก้ไขเมื่อ 24 ก.ค. 54 15:34:06
จากคุณ |
:
Apple101
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ก.ค. 54 14:20:40
|
|
|
|  |