ความคิดเห็นที่ 1 ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ... 1. เหมือนกับว่าเฮียแกกำลังสะสางปมปัญหาต่างๆในวัยเด็กของตัวเอง ไม่ว่าจะความรู้สึกรักแม่แต่เกลียดพ่อ(ปมโอดิปุส),ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้องชาย,และคำถามต่างๆมากมายที่เขามีต่อ"พ่อ"(ไม่ว่า"พ่อ"ในที่นี้จะหมายถึงพ่อแท้ๆของเขา(ตัวละครของ Brad Pitt) หรือพระเจ้าก็ตาม) ก่อนจะ"ละสังขาร"แล้วเดินทางไปหาพระเจ้าน่ะครับ 2. ใช่แล้วครับ คนพวกนั้นตายกันไปหมดแล้ว(หรือถ้าจะพูดให้ตรงตามความเชื่อของชาวคริสต์ก็คือ...คนพวกนั้นกำลังได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์) เนื้อหาของหนังเรื่องนี้เป็นการนำเสนอจุดกำเนิดและจุดจบของโลก (Alpha และ Omega ...ปฐมกาลและอวสาน)ไปคู่ขนานกับจุดกำเนิดและจุดจบของครอบครัวของตัวละครของ Sean Penn ฉะนั้นเราก็พอจะได้ข้อสรุปว่าฉากในตอนจบของหนังนั้นเป็นวันพิพากษา (Judgement day) ตามความเชื่อของชาวคริสต์ และผู้คนเหล่านั้น(รวมถึงตัวละครของ Sean Penn และครอบครัว)กำลังเดินทางไปหาพระเจ้าครับ 3. เหมือนกับกำลังจะสื่อว่าโลกและจักรวาลกำลังถึงคราวสิ้นสุดแล้วน่ะครับ(ดวงอาทิตย์ที่แลดูริบหรี่แต่ความจริงแล้วร้อนรุ่มขึ้นเรื่อยๆ,โลกที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมของมนุษย์ แต่ไร้ซึ่งพฤกษาของพระเจ้า ฯลฯ) แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 54 07:46:36 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 54 06:26:39 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 54 23:17:52 จากคุณ : Apple101 เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 22:25:25

ความคิดเห็นที่ 2 อ่อ พอเกทแล้วขึ้นมาหน่อย ขอบคุณครับ.. มีตีความเรื่อง apocalypse ด้วยแฮะ = =" จากคุณ : ArM-KunG เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 22:28:51

ความคิดเห็นที่ 3 เพิ่มเติมข้อ 2 ด้านบนนิดหน่อยครับ เห็นเหมือนกันเรื่องวันพิพากษาที่ทุกคนจะเจอกันอีกครั้ง แต่หนังก็ตีความกลับได้อีกทีว่า ช่วงเวลาที่เราได้อยู่กับครอบครัวหรือคนที่เรารัก นั้นก็เป็นสัมผัสแห่งพระเจ้าเช่นกัน ประมาณว่าเราเข้าถึงพระเจ้าได้ทุกวันโดยไม่ต้องรอวันพิพากษา แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 54 22:40:32 จากคุณ : beerled เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 22:39:32

ความคิดเห็นที่ 4 ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อ 3 ด้วยครับ หนังช่วงที่กล่าวถึง Sean Penn นอกจากจะแนะนำอาชีพของตัวละครแล้ว (ที่ส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพ่อซึ่งเป็นนักประดิษฐ์และบางส่วนจากน้องชายซึ่งเป็นศิลปิน) หนังยังให้ความสำคัญกับสิ่งมหัศจรรย์ซึ่งถูกสร้างสรรค์โดยมนุษย์ ผ่านสถาปัตยกรรมที่ดูทรงพลัง โอ่อ่า และศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต่างไปจากการสร้างสรรค์ของพระเจ้าในช่วงกำเนิดโลก เพื่อแสดงความจริงว่าบางส่วนของพระเจ้านั้นดำรงอยู่ในตัวเรา (ความสร้างสรรค์) ส่วนการถ่ายย้อนแสงอาทิตย์ถูกใช้ตลอดทั้งเรื่อง ตีความได้หลากหลาย เช่น ปัญญา แสงสว่าง ความอบอุ่น (แม่) ความรุ่มร้อน (พ่อ) และในฐานะของเพลิงบรรลัยกัลป์ นอกจากนั้นยังเป็นการเล่นคำในเชิงกวี คือ sun ดวงอาทิตย์ กับ son ลูกชาย (ยังมี child กับ shine และ light กับ life เป็นต้น) ที่สอดคล้องสัมพันธ์กันในหลายๆ ฉาก โดยเฉพาะฉากจบที่แม่กล่าวมอบลูกชายให้พระเจ้า (แสดงถึงการปล่อยวาง) หนังตัดภาพมายังดอกทานตะวัน (sunflower) ที่สวยงาม ไม่ต่างไปจากการสร้างสรรค์ศิลปะของลูกชายคนนั้นที่ ณ วันนี้ได้แต่งแต้มความงดงามให้แก่โลก จากคุณ : beerled เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 23:03:29

ความคิดเห็นที่ 5 โอ้ว ลึกซึ้ง ตอนนั่งดูยังไมไ่ด้ขนาดนี้เลย จากคุณ : moshita เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 54 13:45:30

ความคิดเห็นที่ 6 พอจะเข้าใจบ้างแต่ไม่ลึกซึ้งขนาดนี้อ่ะ ขอคารวะ จากคุณ : Sith Lord Nindle เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 54 17:21:51

ความคิดเห็นที่ 7 ตีความกันได้ลึกซึ้งทุกคนเลยครับ แล้วก็รู้ว่า มีคนยังไม่เข้าใจแบบตัวเองอีกเยอะแหงมๆ >< จากคุณ : ArM-KunG เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 54 20:23:41

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณค่ะ สัญลักษณ์เยอะมากเรื่องนี้ ถ้าไม่ค่อยรู้เรื่องศาสนาคริสต์ดูแล้วรู้เรื่องไม่สุดจริงๆเพราะตีความไม่ถูก ได้อ่านกระทู้นี้แล้วคลี่คลายเลย จากคุณ : YUKIss เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 54 02:17:07