ความคิดเห็นที่ 1 หน้า 1 ค่ะ จากคุณ : kwanrapee เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:17:53

ความคิดเห็นที่ 2 โพสในนี้ขนาดมันจะเล็กลงอ้ะ ต้องขออภัย ถ้าอยากอ่านแบบเต็มๆ เข้าบล็อกเรานะคะ จากคุณ : kwanrapee เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:19:17

ความคิดเห็นที่ 3 ^^ จากคุณ : kwanrapee เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:20:23

ความคิดเห็นที่ 4 -- จากคุณ : kwanrapee เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:21:43

ความคิดเห็นที่ 5 -- จากคุณ : kwanrapee เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:22:39

ความคิดเห็นที่ 6 -- จากคุณ : kwanrapee เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:24:04

ความคิดเห็นที่ 7 -- จากคุณ : kwanrapee เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:24:59

ความคิดเห็นที่ 8 -- จากคุณ : kwanrapee เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:25:59

ความคิดเห็นที่ 9 -- จากคุณ : kwanrapee เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:26:42

ความคิดเห็นที่ 10 -- จากคุณ : kwanrapee เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:28:45

ความคิดเห็นที่ 11 -- จากคุณ : kwanrapee เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:29:11

ความคิดเห็นที่ 12 สรุปนะคะ จากคุณ : kwanrapee เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 18:31:26

ความคิดเห็นที่ 13 โอ้ว น้องขวัญ จากคุณ : GrooVe_(t -_-)t เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 19:01:41

ความคิดเห็นที่ 14 ผมพึ่งได้เข้าไปอ่านบทความ " เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีวัฒนธรรม" หลังจากเห็นกระทู้นี้แหละ พูดตามตรงครับ โครตขำเลย เหมือนกับคนเขียนไม่คิดมั่งเลยว่าสังคมสมัยนี้เป็นยังไง ตามบ้านมีทีวีมีอินเตอร์เน็ตกันแล้วนะครับ จะให้สอนเด็กเรื่องพวกนี้นะสอนได้แต่ผมว่ามันยัดเยียดมากเกินไป ถ้าจะทำให้ได้แบบที่เขาเขียนเนี่ย คงต้องเลี้ยงแบบพอลูกเกิดมาก็จับใส่ห้องแล้วให้เรียนแต่เรื่องที่เขาเขียนนั่นแหละถึงจะทำได้ เด็กสมัยนี้อยู่โรงเรียนก็คุยเล่นกันทั้งเรื่องการ์ตูนเกมส์หรือกีฬา คงไม่มีเด็กคนไหนชวนเพื่อนไปเล่นม้าก้านกล้วยหรอกมั๊ง ผมก็เรียนทางสังคมมาก็เห็นด้วยเกี่ยวกับการที่วัฒนธรรมมันจะเปลี่ยนไปตามสังคมตามยุคสมัย การไปหยุดเอาไว้ก็เท่ากับการทำให้สังคมไม่เติบโต ไม่อย่างนั้นสมันรัชกาลที่ 5 จะมีการเลิกทาสหรือ วัฒนธรรมหลายอย่างที่หายไปในสมัยนี้เพราะว่ามันไม่สามารถคงอยู่ในยุคนี้ได้มันไม่เข้ากับการใช้ชีวิตของคนส่วนมาก จากคุณ : Zaikimaru เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 19:41:03

ความคิดเห็นที่ 15 อยากให้เป็นกระทู้แนะนำในสัปดาห์หน้า ช่วยดันให้ จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 20:32:52

ความคิดเห็นที่ 16 ชอบมาก ทำให้เข้าใจธรรมชาติของสังคมมนุษย์ได้ดีเลย หวังว่าเหล่าไดโนเสาร์คงจะอ่านรู้เรื่องนะ!! จากคุณ : Kitadang เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 20:55:00

ความคิดเห็นที่ 17 เอาโหวตผมไปเลยครับกระทู้นี้ ขอเอาไปให้นักเรียนอ่านด้วยนะครับ จากคุณ : peTOUCHso เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 21:25:07

ความคิดเห็นที่ 18 อ่านจบแล้ว  เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าโหวตให้นะครับ จากคุณ : เพื่อนคาคาชิ เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 21:34:05

ความคิดเห็นที่ 19 อย่างนี้ต้องโหวตครับ จากคุณ : ton_ck เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 21:37:22

ความคิดเห็นที่ 20 ชอบมากครับ จากคุณ : aretit2533 เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:07:06

ความคิดเห็นที่ 21 จริงแท้และแน่นอนที่สุด จากคุณ : มีนาไร้รัก เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:08:04

ความคิดเห็นที่ 22 บทความที่อ้างอิงถึง เค้าต้องการ หยุดห้วงเวลาไว้ที่ช่วง มาลานำไทยมั้งฮะ จากคุณ : GSP1 เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:08:49

ความคิดเห็นที่ 23 โหวตค่ะ :) อ่านของกระทรวงแล้วเพลียมาก เข้าใจว่ากระทรวงนี้คงมีไว้อนุรักษ์ความคิดโบราณคนในกระทรวงซะมากกว่า :P จากคุณ : zilchat เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:11:26

ความคิดเห็นที่ 24 ว้าว !! จากคุณ : Moon_Shadow เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:13:15

ความคิดเห็นที่ 25 อยากจะเชิญไปเป็นหัวหน้ากระทรวงวัฒนธรรมจริงๆ จะได้ไม่ต้องมาอ่านบทความตลกๆอีก แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 54 22:22:59 จากคุณ : ข้าวซอยเนื้อ เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:22:12

ความคิดเห็นที่ 26 กระทรวง(แช่แข็ง)วัฒนธรรม จากคุณ : zodom-sai เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:38:43

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณกระทรวงวัฒนธรรมจากใจ... ที่ทำให้เรามีกระทู้ดีๆแบบนี้ จากคุณ : tuwannu เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:43:44

ความคิดเห็นที่ 28 แล้วกระทรวงใช้คอมพิวเตอร์ทำไม มันเป็นผลของการพัฒนานะ น่าจะใช้พิมพ์ดีด แล้วก็สงม้าเร็ว ไม่ก็ผูกขานกพิราบ เพื่อส่งข่าวมาถึงกัน *ปัญญาอ่อนมาก จากคุณ : Resonate เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:50:56

ความคิดเห็นที่ 29 อยากได้ดู"เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีวัฒนธรรม" ฉบับหลวง ไม่ทราบ มี linkมั้ยครับ จากคุณ : Cha-LeaF เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:51:29

ความคิดเห็นที่ 30 ^^ ^^ เข้าอากู๋ หาชื่อกระทรวงเลยครับ บทความอยู่หน้าแรกนั่นแหละ ผมอ่านแล้วฮาก๊ากเลย 555+ จากคุณ : เพื่อนคาคาชิ เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:55:31

ความคิดเห็นที่ 31 http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=3030 อ่านเพื่อความบันเทิงครับ อิอิ... จากคุณ : new kid in town เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:56:41

ความคิดเห็นที่ 32 ขอให้กีบไป 3 ที ถือว่า เป็นกระทู้ที่ดีที่สุด ในรอบสัปดาห์ครึ่ง หลังจากเหตุการณ์คัน.... จากคุณ : SixaM เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 23:08:25

ความคิดเห็นที่ 33 เราเข้าใจว่าที่กระทรวงวัฒนธรรมนำเสนอนั้นน่าจะเป็นส่วนที่ต้องการให้อนุรักษ์วัฒนธรรมไทยค่ะ เหมือนให้สอดแทรกเข้าไปให้เด็กบ้าง ส่วนเรื่องที่ จขก นำเสนอนั้น อย่างเช่น การรู้จักกาลเทศะ เราว่ามันเรื่องที่เด็กๆควรจะได้รับการสั่งสอนอยู่แล้วไม่ว่าจากผู้ปกครอง หรือสถานศึกษา กระทรวงจึงไม่ได้พูดถึง เพราะเค้าต้องการจะพูดถึงแค่ในแง่ของการรักษาศิลปะวัฒนธรรมไทย เราคิดว่าวัฒนธรรมของแต่ละชาตินั้น เป็นเอกลักษณ์ของชาติจริงๆนะคะ อย่างตอนนี้เราอยู่ต่างประเทศ เวลามีงานแสดงนานาชาติ แต่ละชาติก็จะแสดงศิลปะวัฒนะธรรมประจำชาติของตนเอง แล้วต่างชาติก็ดูจะชื่นชม และยินดีที่ได้เรียนรู้ศิลปะประจำชาติของชาติอื่น ทำให้เราเข้าใจว่าสิ่งเล็กๆพวกนี้ ก็ยังคงเป็นเสน่ห์ และยังคงเป็นเอกลักษณ์ที่ยังคงใช้ได้ในทุกที่ ทุกเวลา ของแบบนี้รู้ไว้บ้างก็เป็นประโยชน์ดีนะคะ กระทรวงก็แค่เสนอแนวทางปฏิบัติ ถ้าเราไม่ปฏิบัติตาม ก็ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ :) จากคุณ : breakaway เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 23:15:37

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณค่ะคุณ breakaway ^^ ถามว่าอยากให้อนุรักษ์ส่วนที่เป็นการละเล่น การแสดงของไทยๆ มั้ย เราโคตรอยากอะค่ะ เป็นสุดยอดปรารถนาเลย T_T โดยส่วนตัวเราก็เป็นโอตาคุลิเก (โอตาคุจริงๆ ค่ะ บ้ามาก บ้าถึงที่สุด) คลุกคลีอยู่กับการแสดงพื้นบ้าน เคยกรี๊ดพระเอกกรมศิลป์ บ้ารายการศรีสุขนาฏกรรม เป็นแฟนประจำโรงละครแห่งชาติ แล้วก็เรียนเอกภาษาไทยมาด้วย พอจะเข้าใจภูมิปัญญา องค์ความรู้ และของดีเมืองไทยพอสมควร จริงๆ ใจนี่อยากมาก แต่อาจจะต้องไปวางกลยุทธ์หรือสเต็ปขั้นต่อไปเป็นการเฉพาะ งานนี้เลยเขียนออกมาทั่วไปไว้ก่อนค่ะ เรายังจำแววตาของศิลปินแห่งชาติท่านหนึ่งได้เลย ตอนนั้นเราไปขอความรู้ท่าน ท่านเล่าด้วยแววตาวิ้งๆ ชนิดที่กล้องถ่ายรูปหรือเทคโนโลยีก็บันทึกไม่ได้ เราอยากจริงๆ นะคะ ตอนนี้ก็พยายามตามล่าตามเก็บศิลปะพื้นบ้านที่เราสนใจอยู่อย่างค่อยเป็นค่อยไปค่ะ ^^ จากคุณ : kwanrapee เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 23:31:08

ความคิดเห็นที่ 35 โหวตโลด จากคุณ : LigerZero เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 23:33:02

ความคิดเห็นที่ 36 คุณ kwanrapee รู้เยอะกว่าเราเยอะเลยค่ะ เรารำไทย เล่นดนตรีไทยอะไรไม่ค่อยเป็นเลย อยู่ที่นี่บางทีเวลามีงานแสดง ก็นึกเสียดายว่าเราน่าจะมีวิชาอะไรติดตัวมาบ้าง แต่พอดีมีเพื่อนๆรำเป็น เลยได้เพื่อนๆแสดงแทน :) คุณ จขกท วาดรูปเก่งนะคะ น่ารักดีค่ะ ^___^ จากคุณ : breakaway เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 23:45:46

ความคิดเห็นที่ 37 ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้อง "ยัดเยียด" แต่ทำให้แทรกซึมเข้าเส้นเลือดโดยตรงไม่เป็นเหรอ ? แล้ววัฒนธรรมนี่อีก ทำไมถึงต้องเป็นวัฒนธรรมแท้และดั้งเดิมด้วย ทำไมประยุกต์ให้เข้ากับสมัยไม่ได้ ? พูดตามตรงวัฒนธรรมไทนที่ทางกระทรวงต้องการน่ะ เป็นของสูง เป็น Niche แถมเข้าถึงยาก จะยัดเยียดบังคับให้ชอบกันอย่างกระโชกโฮกฮากมันเป็นไปไม่ได้หรอก ถึงจะชอบในสิ่งที่ประยุกต์ แต่หากรับรู้ว่ามันเป็นวัฒนธรรมไทย ยังไงก็ต้องกลับไปสนที่รากเหงาได้อยู่ดี ทว่าหากจะยัดเยียดที่รากเหง้าโดยไม่สนนำเสนอวัฒนธรรมประยุกต์ สุดท้ายทั้งรากเหง้าและประยุกต์ก็จะโดนรังเกียจและต่อต้าน อยากรู้จริงว่ากระทรวงนี้ทำอะไรบ้างนอกจาก"ห้าม"และ"ยัดเยียด"วัฒนธรรมไทย ? ถ้าหากจะให้เห็นการส่งเสริมและสืบต่อวัฒนธรรมที่แนบเนียน ให้ดูได้เลยที่การ์ตูนญี่ปุ่น ลองสังเกตให้ดี ทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ล้วนแต่มีวัฒนธรรมของเขานำเสนออยู่ทั้งนั้น ถึงจะไซไฟหรือแฟนตาซีแค่ไหน แต่หลายครั้งมันก็ดันมี "ห้องอาบน้ำรวม" หรือ "ออนเซน" อยู่ตลอด เวลามีกิจกรรมเทศกาล ก็จะมีการพูดถึง "งานวัด" หรือ "ชุดยูกาตะ" อยู่เสมอ แม้แต่สถานีโทรทัศน์ในตัวหนังสือการ์ตูน หลายครั้งก็ยังเห็นรายการที่สื่อถึงเทศกาลประจำชาติของเขาอยู่เสมอ เราไม่คิดว่าคนเขียนจะจงใจยัดเยียดมาหรอก แต่การที่มันมีแปลว่ามันฝังลึกอยู่ในสายเลือดของเขาแล้วต่างหาก ส่วนคนไทยล่ะ มีอะไรบ้าง ? ชุดประจำชาติ ก็มีเอาไว้ให้รู้ว่าแค่มี แต่ไม่เคยเอามาใช้สวมใส่กันอย่างจริงจัง ทำไมล่ะ กระทรวงวัฒนธรรมไทย ถึงไม่ทำอย่างอื่นนอกจาก "ห้าม" และ "ยัดเยียด" ให้ทำบ้าง ? ทำไมไม่ลองทำโปรเจ็กต์ดี ๆ ที่สามารถนำเสนอให้วัฒนธรรมไทยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันได้ล่ะ ? เช่นเรื่องของเทศกาล เวลามีวันหยุดนักขัตฤกษ์  ก็จัดงานให้ยิ่งใหญ่ไปเลย เช่นงานวัดทุกศาลาว่าการจังหวัด ทุกหน่วยงานราชการ รวมทั้งโรงเรียน ก็จัดให้มีงานนี้ขึ้นมาเลย ไม่ต้องหรูหรา แต่เป็นงานวัดธรรมดา ให้คนทั่วไปรู้จักและมาเข้าร่วมงานวัดอย่างงานวัดของญี่ปุ่นกันบ้าง นอกจากนี้ก็มีการประกวดชุดประจำชาติไทยแบบประยุกต์ ในทุกที่ซึ่งมีการจัดงาน รวมถึงตั้งบูธถามคำที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญวันนั้น โดยมีของรางวัลราคางาม เพียงแค่ใส่ชุดประจำชาติมาเข้าร่วมเท่านั้น ชักจูงให้คนอยากสวมชุดประจำชาติไทย และกล้าที่จะสวมมันเดินเข้ามาในงานวัดเช่นนี้ ส่วนทางทีวีก็เช่นกัน ช่วยการขอความร่วมมือให้รายการโทรทัศน์นำเสนองานวัดเหล่านี้ตั้งแต่เช้าจดเย็นไปเลย เห็นรายการพิเศษช่วงเช้าหลายรายการแล้วเพลียใจ มันเกี่ยวอะไรกับเทศกาลของวันนั้นกันฟะ ! เงิน ? ยังไงถ้าเปิดพื้นที่ให้คนมาเช่าขายของก็ได้เงินอยู่แล้ว แทนที่จะให้เข้ากระเป๋าแค่คนบางคน ก็เอาส่วนนี้นั่นแหละมาทำเป็นรางวัลสำหรับคนเข้าร่วมกิจกรรมทั้งหลาย สถานที่จัดงานเองก็เช่นกันลองตั้งรางวัลไว้เลยว่าที่ไหนจัดแล้วสามารถสื่อความเป็นไทยได้ตรงตามคอนเซปต์ รวมถึงมีผู้เข้าร่วมงานมากที่สุดในย่านนั้น ๆ ทางกระทรงวัฒนธรรมก็จะตบรางวัลให้ คราวนี้แหละทุกที่ทุกงานย่อมที่จะแข่งขันกันนำเสนอความเป็นไทยมาให้คนเข้าร่วมได้เห็นกันแน่ รับรองว่าหากมีให้บ่อยมีให้ตลอด รวมถึงมีของล่อตาล่อใจสนับสนุนคนก้อยากทำก็อยากเข้าร่วมเองแหละ และสุดท้ายหากทำบ่อยเข้า เข้าร่วมบ่อยเข้า คนส่วนใหญ่ก็จะไม่เคอะเขิน คิดว่าสิ่งเหล่านี้คือเรื่องปรกติของคนไทย แล้ววัฒนธรรมไทยก็จะซึมเข้าสายเลือดคนไทย โดยไม่ต้องห้ามหรือยัดเยียดเอง แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 54 00:19:35 แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 54 00:17:30 จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 00:15:40

ความคิดเห็นที่ 38 "วิธีการง่ายๆ โดยเริ่มต้นตั้งแต่ลูกอยู่ในวัย ๓-๔ ขวบ ให้หัดร้องรำทำเพลงแบบไทยๆ เช่น สอนให้รำวง ให้ดูสมุดภาพนาฏศิลป์ไทย ให้ฟังเพลงไทย ใส่เสื้อผ้าลายดอกคอกลม" เจอใส่เสื้อลายดอกคอกลม ผมไปไม่เป็นเลย คือไม่ใช่กระแดะเห่อของนอกนะครับ พาหลานใส่เสื้อคอกระเช้า เดินเล่นเซนทรัลเวิร์ลก็เคยมาแล้ว แต่ไอ้ประเภท นั่งนึกเอาว่าอะไรคือ ความเป็นไทยๆๆๆ ก็จับใส่ๆให้เต็มพารากราฟ จะได้มีส่งหัวหน้า โดยที่ไม่มีการปลูกฝังแนวคิด มองปัญหาไม่ทะลุ ละเมอเพ้อพกว่า จับยัดเยียดตามขั้นตอนตั้งแต่เล็กแต่น้อย โตขึ้นมันคงได้รับ "ความเป็นไทย" ตามที่กระทรวงต้องการ สุดท้ายก็จะได้แต่หุ่นยนต์ "ไทยๆ" กิริยา มารยาทงดงาม แต่ไร้แก่น ไร้ราก ถามว่าทำไปทำไมก็ตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ท่านสั่งให้ทำ ไม่งั้นหลังลาย จากคุณ : Papercut เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 02:18:36

ความคิดเห็นที่ 39 เราอยู่ญี่ปุ่น เลี้ยงลูกที่ญี่ปุ่น อยากเล่าให้ฟังมากๆว่าเค้าเลี้ยงเด็ก อบรมเด็กยังไง คนญี่ปุ่นถึงได้ออกมามีคุณภาพคับแก้วขนาดนี้ เท่าที่เห็นนี่นะคะ สื่อเค้าดีมากๆ ผู้คนในสังคมก็มีระเบียบ เป็นกันมาตั้งแต่รุ่นคนแก่ เค้าก็สั่งสอนไล่ๆกันลงมา ยิ่งเรื่องวัฒนธรรมนี่ยิ่งสุดๆไปเลย จากคุณ : คุณนายปลาดิบ เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 06:23:54

ความคิดเห็นที่ 40 อ่านของกระทรวงวัฒนธรรมแล้วสะดุด สอนเด็กผู้หญิงให้รักนวลสงวนตัว สอนเด็กผู้ชายให้ให้เกียรติผู้หญิง ทำไมต้องรอตอนอายุ 16 ปี? กระทรวงปิดตาข้างนึงทำเป็นมองไม่เห็นปัญหาท้องก่อนวัยเรียนสินะ จากคุณ : sleeper_j เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 06:36:53

ความคิดเห็นที่ 41 เห็นผลงานกระทรวงนี้แต่ละอย่าง ตูล่ะหน่าย เปลืองภาษี จากคุณ : SamuDi Knight เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 06:57:11

ความคิดเห็นที่ 42 หึๆ อ่านบทความนั้นแล้ว นึกถึงใบประกาศสมัยจอมพล ป. ทันที ปล. ก.วัฒนธรรมนี่อยู่แถวไหนครับ ภูเวียงหรืือภูกุ้มข้าว เผื่อจะต้องไปติดต่อราชการ จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 07:27:01

ความคิดเห็นที่ 43 รู้สึกเหนื่อยใจ......แต่ชิน? จากคุณ : กระแตตาโต เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 07:44:07

ความคิดเห็นที่ 44 ของมันอยู่ที่สำนึก ครอบครัวต้องปลูกฝัง ไม่ใช่หน้าที่ใครอื่น พ่อแม่นั่นแหละสำคัญที่สุด เพราะเด็กสมัยนี้ส่วนมาก ไม่เข้าใจคำว่ามารยาท โลกก้าวไกล เด็กรุ่นใหม่ก้าวทัน แต่ไม่นำสิ่งที่ควรมีติดตัวไปด้วย จากคุณ : Ryu_jin_maru เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 08:09:21

ความคิดเห็นที่ 45 กระทรวงวัฒนธรรม มันเข้าใจคำว่าวัฒนธรรมหรือเปล่านะ? จากคุณ : ชีริว เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 08:40:17

ความคิดเห็นที่ 46 แหม.... ในบทความของกระทรวงฯ นั่นน่ะ มันไม่มีช่องให้ใส่คอมเม้นท์ เนาะ  หึหึหึห จากคุณ : เหมียวน้อยไร้เวทย์ (NonMagicKitty) เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 08:48:02

ความคิดเห็นที่ 47 ถ้าคนไทยทำตามทุกอย่างที่กระทรวงได้เขียนมาทั้งหมด แบบ 100%   ประเทศไทยได้เป็นประเทศมรดกโลกประเทศแรกเลยครับ  ผมว่านะ หรือกระทรวงต้องการแบบนั้นจริงๆ  อิอิ เริ่มต้นที่กระทรวงก่อนเลยมั้ย? อย่าใาส่สูทมาทำงาน ใส่เสื้อลายดอกคอกลมไปทำงานทุกวัน และขี่ม้าก้านกล้วยในการเดินทางนะครับ ^^ จากคุณ : ข้างหลังบ้าน เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 08:50:20

ความคิดเห็นที่ 48 กระทรวงวัฒนธรรมที่เคารพรัก ถ้าท่านจะรักวัฒนธรรมไทย อุตส่าห์ใช้เลขไทยในบทความแล้วไซร้ ไยท่านถึงพิมพ์ภาษาอังกฤษไว้มากมาย เช่นนี้ การเขียนไทยคำ อังกฤษคำ จักนับเป็นวัฒนธรรมอันดีงามของไทยที่ท่านต้องการสื่อเช่นนั้นฤา จากคุณ : กรมพระยาน้ำพริกแกงไก่มัสมั่นฯ (ตวงสิทธิ์) เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 08:51:05

ความคิดเห็นที่ 49 #46 ถ้ามีให้คอมเม้นสงสัยจะได้ลงเวปจ่าแทนน่ะสิ จากคุณ : Houdini เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 08:57:12

ความคิดเห็นที่ 50 เห็นด้วยกับ คุณ จขกท นะคะ เราว่าเดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใจกว้าง แล้วก็ไม่ค่อยยอมรับความคิดต่างด้วยค่ะ อยากให้คนไทยมีส่วนนี้มากๆ อีกเรื่องที่อยากให้มีกันเยอะๆ ก็คือทำถูกต้อง แต่อย่าทำถูกใจค่ะ คงจะดีมากๆเลย โดยส่วนตัวอีกอย่าง เราอยากเห็นคนไทยใส่ชุดไทยค่ะ 555 เป็นความชอบส่วนตัว เราว่าชุดไทยสวยดีนะ ใส่ตามช่วงงานเทศกาล หรือโอกาสพิเศษอะไรอย่างนี้อ่ะค่ะ จากคุณ : เม่นน้อยขนพริ้ว เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 09:24:22

ความคิดเห็นที่ 51 นี่เป็นคำชี้แจงจากผู้เขียนครับ http://news.voicetv.co.th/thailand/17924.html จริงๆแล้วมันเป็นบทความเก่าตีพิมพ์ในวารสารวัฒนธรรมไทย ตั้งแต่ปี 51 เพราะงั้นถึงใช้วีซีดีอยู่ ส่วนตัว ผมก็ยังไม่ค่อยเคลียร์กับคำว่าวัฒนธรรมเท่าไหร่ บทความนี้อยากให้มีวัฒนธรรม รึให้มีวัฒนธรรมไทยกันแน่ จากคุณ : Avalance7 เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 10:09:21

ความคิดเห็นที่ 52 อ่านแล้วงง ตั้งแต่ด่านแรกที่ว่า สมัยนี้มีลูกคนนึงเป็นหนี้อย่างนั้นอย่างนี้ ดังนั้นมาสอนให้เด็กรู้จักวัฒนธรรมไทยกันเถอะ เอ่อ คือว่า ถ้าเรียนรู้วัฒนธรรมไทยตามที่ท่านว่าแล้วจะลดภาวะการเป็นหนี้เหราะครับ ? ไม่เข้าใจ อ่านฉบับหลวงแล้วก็เศร้าใจ  เมื่อไร่พวกนี้จะเข้าใจกันซักทีนะ ว่าการอนุรักษ์วัฒนธรรมน่ะ มันไม่ใช่การกีดกันวัฒนธรรมของคนอื่น แต่เป็นการจดจำความเป็นตัวเราต่างหาก เอาแค่ว่าไม่ลืมตัวเราก็พอแล้วมั้งครับ เห็นด้วยกับคุณ จขกท ว่าห้ามปิดกั้นวัฒนธรรม เพราะทุกชาติ ทุกชนเผ่าล้วนมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง เราไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี แต่สิ่งที่ต้องทำคือ การเปิดใจยอมรับความแตกต่างของกันและกันน่ะครับ จากคุณ : Sith Lord Nindle เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 10:59:09

ความคิดเห็นที่ 53 เคยตั้งปณิธานเล่นๆ ก่อนเลือกตั้งไว้ค่ะ ว่าพรรคการเมืองไหนมีนโยบายยุบกระทรวงวัฒนธรรม จะเลือกพรรคนั้น จากคุณ : ชีนะ เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 12:01:40

ความคิดเห็นที่ 54 หากใครยังจำได้ กระทรวงวัฒนธรรมนั้น ตั้งขึ้นมาด้วยเหตุผลเดียว นั่นก็คือ ใช้ต่อรองตำแหน่งเก้าอี้รัฐมนตรี เพราะมันเป็นกระทรวงที่ 1. ขอบเขตความรับผิดชอบคลุมเครือ (พูดง่ายๆก็คือ ไม่ต้องทำงานก็ได้) 2. การบริหารหรือนโยบายที่ผิดพลาด ไม่ส่งผลใดๆ กับสังคม (ทำงานพลาดก็ไม่มีใครเดือดร้อน) ดังนั้นเราจึงเห็น กระทรวงนี้มีผลงานแปลกๆ ออกมาเป็นพักๆ ซึ่งก็เป็นเพียงการทำงานแก้เก้อ เพื่อให้ผู้คนเห็นว่า ไม่ได้นอนกินภาษีพรีๆ และตึกกระทรวงก็ไม่ได้ใช้ทำพาสปอร์ตเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็จงอย่าคาดหวังให้มากนัก แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 54 12:25:58 จากคุณ : Tama2kun เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 12:23:56

ความคิดเห็นที่ 55 ตรงใจ โหวตจ้า :) จากคุณ : Jingjork เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 12:57:10

ความคิดเห็นที่ 56 ชอบจัง จากคุณ : pwp_kung เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 13:21:30

ความคิดเห็นที่ 57 “วัฒนธรรมไทย ถ้าหากคนไทยไม่ปฏิบัติ ไม่สืบทอดแล้วใครจะทำให้วัฒนธรรมไทยอยู่คู่กับชาติไทยได้ถ้าไม่ใช่คุณ” ที่มา : กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ผมว่ามันก็น่าคิดนะ... กระกรวงวัฒนธรรมไม่ได้ผิด เพียงแต่ทำไม่ครอบคลุม จากคุณ : Tailogy เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 13:30:18

ความคิดเห็นที่ 58 ฉบับหลวงกล่าวไว้ว่า: 3-4 ขวบ ดูรำไทย 6-7 ขวบ เล่นดนตรีไทย 8-10 ขวบ พาไปรู้จักวัดกับช่อฟ้า 11-15 ขวบ สอนให้พูดจาไพเราะ 16-18 ขวบ สอนให้รู้จักคบเพื่อน เด็กไทยต้องรู้จักรำไทยก่อนจริยธรรมและมารยาทสังคม? บ้ารึไงครับ? จากคุณ : Vladimir Putan เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 13:44:54

ความคิดเห็นที่ 59 วิธีทำเค้าดูเป็นทฤษฎีบทมากเลย ทำจริงคงไม่ไหว จากคุณ : Kimmery เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 15:14:25

ความคิดเห็นที่ 60 สงสัยเราจะแก่แล้ว เพราะอ่านแล้วเราก็ว่าคำแนะนำส่วนใหญ่นั้นก็ดูปกติดีหนิ โอเคว่าบางจุดมันก็เรียบเรียงยังไม่ดี ดูไม่เข้าท่า แต่โดยรวมแล้วเราว่าก็โอเคอยู่ และถ้าลองไปถามห้องชานเรือน เราว่าพ่อๆแม่ๆห้องนั้นเค้าก็ทำแบบนี้อยู่แล้ว เรื่องการสอดแทรกวิถีโบราณได้ตรงไหนบ้างก็ทำไป ก็ถูกแล้วหนิ บทความเค้าก็แนะนำสิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่พอจะทำได้ ให้ลูกให้หลานรู้ว่าคนสมัยก่อนเค้าทำอะไร แต่งตัวยังไงกันบ้าง ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยนะ คนเขียนเค้าก็รู้อยู่แล้วว่าวิถีชีวิตปัจจุบันมันทำไม่ได้ทุกวัน แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ทำได้บ่อยๆก็ดี เราว่าที่เค้าเสนอมานั้นดีออก ในห้องศาสนาก็มีครอบครัวคุณหมอท่านนึงเลี้ยงลูกได้ดีน่ารักมาก ก็พอลูกไปวัดตั้งแต่เด็ก ทำบุญทำทาน ก็ไม่เห็นน้องเค้าจะไม่เข้ากับยุคสมัยนี้ตรงไหนเลยนะ ออกจะฉลาด จากคุณ : ยุ้ยหัดเขียน เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 15:55:51

ความคิดเห็นที่ 61 คือ แนวคิดที่จะรักษาวัฒนธรรมไว้ มันดีค่ะ แต่วิธีปฏิบัติ มันไม่ใช่ค่ะ อ่านไปก็ขำ (เพิ่งได้อ่านฉบับของกระทรวงฯ ก็เพราะกระทู้นี้แหละค่ะ) เช่น ใส่เสื้อผ้าลายดอกคอกลม อันนี้ฮาสุดค่ะ อ่านแล้วอึ้ง ให้เขามีโอกาสเล่นดนตรีไทยอย่างน้อยก็เป่าขลุ่ยได้ ตีระนาดได้ ตีขิมได้ คุณกระทรวงคะ พ่อแม่แต่ละคนไม่ได้มีเวลาว่างมาก หรืออารมณ์ศิลปินกันถึงขนาดให้ลูกเล่นดนตรีไทย ตีระนาด ตีขิมได้นะคะ เดี๋ยวนี้แค่มีเวลาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว ก็ดีถมแล้วค่ะ อีกอย่างมันอยู่ที่รสนิยม ความชอบค่ะ บังคับกันไม่ได้หรอก หรือ ให้เป็นสมาชิกชมรมภาษาไทยในโรงเรียน ชมรมดนตรีไทย ชมรมนาฏศิลป์ไทย นี่ไม่ใช่แค่รักษาวัฒนธรรมแล้ว กะให้เป็นเด็กสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เลยทีเดียว มันไม่ใช่วิธีของคนสมัยนี้อ่ะค่ะ มันเป็นวิธีของคนสมัยก่อน ที่ไม่มีทีวี ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีสื่อทันสมัยอะไรต่างๆ สอนให้รู้จักการแต่งกายแบบไทย สอนให้รู้จักการเลือกแบบสีเสื้อผ้า นี่ก็ขำ สมัยนี้แล้ว นี่ต้องนุ่งโจงกระเบน ห่มสไบ ไปเดินห้างเลยมั๊ยเนี่ย แล้วสีแบบไหนเหรอคะ สีแบบไทย เค้าน่าจะหาวิธีที่สามารถใช้ได้กับสมัยนี้จริงๆ นะคะ อะไรที่มันดูเข้าท่าอ่ะค่ะ เขียนมาแบบนี้ให้คนอ่านเค้าขำกันเปล่าๆ ยกเว้นเรื่องเข้าวัดเข้าวา นี่แหละที่ยังพอทำกันได้ แล้วอีกอย่างมันเกี่ยวอะไรกับพ่อแม่มีหนี้ อะไรไม่ทราบ คนละเรื่องกันเลย รู้จักวัฒธรรม เล่นดนตรีไทยได้ รู้จักยักษ์วัดแจ้ง มีมารยาทดีงาม อนาคตจะไม่มีหนี้สิน ไม่จน เหรอ? มันจะจนเอากับค่าส่งลูกไปเข้าชมรมนั่นนู่นนี่ ไปเรียนดนตรีนี่แหละ ปล.อยากรู้จริงๆ ว่าลูกหลานของคนใหญ่โตในกระทรวงฯ เล่นดนตรีไทยเป็นมั๊ย เค้าแต่งตัว รสนิยมกันยังไง ได้ปฎิบัติเป็นขั้นตอนตามบทความกันหรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 54 16:15:56 จากคุณ : พอตตี้ กับ วีเซิล เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 16:12:25

ความคิดเห็นที่ 62 เริ่มต้นมาเหมือนจะพูดเรื่องเศรฐกิจ เรื่องเป็นหนี้ ก็นึกว่าจะเขียนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แต่ทำไมกลายเป็นให้เล่นดนตรีไทย เข้าวัดเข้าว่า คือจะบอกให้เด็กไทยไม่ยึดติดวัตถุนิยมอย่างนั้นหรือเปล่า แต่สิ่งที่คุณพูดมาเหมือนคนเพ้อๆฝันๆ หรือว่าคุณโตมากับสิ่งเหล่านั้นแล้วมันเป็นสิ่งดีที่สุด แต่คุณอย่าลืมว่าแต่ละครอบครัวนั้นเขาก็ไม่เหมือนกัน คุณคนเขียนก็ยังไม่เหมือนใครบนโลกนี้เลย คุณอยู่ที่ไหนเนี่ย ทะลุกระจกจากทวิเพี้ยนมาหรือเปล่า จากคุณ : Moment Sweet เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 17:10:55

ความคิดเห็นที่ 63 ไปกดไลค์ FB ของกระทรวงวัฒนธรรมมา แต่ไม่มีส่วนที่ให้ คนทั่วไปโพสลงบน wall ได้ ก็เลย unlike ไปแล้ว ไม่งั้นอยากจะเอา link กระทู้นี้ไปแปะค่ะ จากคุณ : SICKHEART เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 17:48:12

ความคิดเห็นที่ 64 เราว่ากระทรวงวัฒนธรรมไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายนักหรอกจ้า กลายเป็นผลดีในทางอ้อมด้วยซ้ำที่ทำให้เราได้มาถก มาขบคิดกันในประเด็นนี้ กระทู้นี้ดีมากๆ อย่าเพิ่งให้มันกลายเป็นกระทู้ด่ากระทรวงวัฒนธรรมเลย ถือซะว่า เคารพความแ่ตกต่าง เคารพวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนอื่น กันนะคะ จากคุณ : nearlymorning เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 18:44:26

ความคิดเห็นที่ 65 ตั้งแต่ลูกดิฉันเริ่มหัดพูดดิฉันก็สอนให้พูดคำว่า สวัสดีค่ะ ขอบคุณค่ะ และขอโทษค่ะให้เป็นคำพูดติดปากเสมอ แต่นี่กระทรวงบอกให้สอนพูดให้ไพเราะตอน 11 ขวบ..... ช้าไปไหมคะ จากคุณ : จนใจจริงจ้า เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 20:38:49

ความคิดเห็นที่ 66 เราว่าฉบับหลวงก็ไม่ถึงกับผิด แต่อาจจะดู "ไม่ค่อยเข้าท่า" ในสายตาเราๆ ท่านๆ เราคิดว่า จริงๆ เค้าคงอยากให้เราสอดแทรกความเป็นไทยเข้าไปในชีวิตประจำวันบ้าง อย่างพาไปดูศิลปะ / นาฏศิลป์ไทยบ้าง ให้เค้าพอชินๆ เพราะถ้าโตมาก เค้าจะเริ่มรู้สึกว่า สิ่งเหล่านี้ดูไม่เท่ ไม่คูล ดูน่าเบื่อ เหมาะกับคนแก่เท่านั้น อันนี้เราเห็นจากคนรุ่นราวคราวเดียวกับเรา เราว่า จะเรียนบัลเลต์ เต้นแจ๊ส ดีดกีตาร์ เล่นเปียโน หรือจะกรี๊ดบอยแบนด์จีน เกาหลี ญี่ปุ่นมันก็เป็นวัฒนธรรมทั้งนั้นแหละ แต่ไม่รู้สึกกันบ้างเหรอว่าคนรุ่นใหม่ๆ หลายๆ คนเริ่มหลงลืมวัฒนธรรมที่เป็นไทยจริงๆ ไปแล้ว เห็นด้วยกับบาง คห ว่า กระทรวงเสนอทางมา ถ้าเราเห็นว่าไม่เหมาะ ก็ปรับใช้กันให้เหมาะกับที่เราเห็นต่างกันไปละกัน เพิ่มเติม : เราเรียนทั้งรำและดนตรีไทยตั้งแต่เด็กๆ ตอนแรกๆ ก็ใช่ว่าจะชอบ ส่วนตอนนี้รักและภูมิใจมากที่สามารถโชว์ให้ชาวต่างชาติได้เห็นศิลปะของชาติเรา แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 04:58:06 จากคุณ : เป็นแค่เพียงเม็ดทรายบนชายหาด เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 20:52:05

ความคิดเห็นที่ 67 ขออณุญาต โพสห้อง ชานเรือนนะคะ อ่านแล้วชอบมากเลยคะ จากคุณ : หนูน้อยAเซอร์ เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 21:31:01

ความคิดเห็นที่ 68 เราว่ากระทรวงเค้าเจตนาดีนะ อย่างเราก็ส่งเสริมให้เด็กเล่นดนตรีไทย พาไปดูหุ่นกระบอกโจหลุยส์ พาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ พาเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์ และสอนให้อ่านประวัติ พาไปทำบุญที่วัด สอนสวดมนต์ สอนให้ช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่า ฯลฯ เราว่ามันช่วยให้เด็กมีความสนใจใฝ่รู้และมีความภาคภูมิใจ ในความเป็นคนไทย และรักวัฒนธรรมไทยได้ระดับหนึ่งทีเดียว ขึ้นต้นให้เค้าแล้ว เค้าก็สามารถไปต่อเองได้ ส่วนเด็กเค้าจะเลือกเดินทางไหนก็แล้วแต่เค้า จากคุณ : น้องเหมียวสีสวาด เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 22:00:49

ความคิดเห็นที่ 69 อยากฟังกระทรวงวัฒนธรรมบ้าง ว่ากระทรวงคิดยังไง มีเหตุผลอะไร ถึงมีผลงานออกมาเช่นนี้ หลายๆครั้งเราอยากรู้ว่ารมต. หรือผู้ใหญ่ท่านคิดอะไรอยู่ เนื่องจากเราไม่ได้อยู่สถานการณ์ หรือนังเก้าอี้ตัวเดียวกัน แต่เราก็อยากจะคุยกันว่าทำไมถึงคิดแบบนี้ จากคุณ : embrassez mes pieds เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 23:02:21

ความคิดเห็นที่ 70 เรามีปัญหามากๆตรงเรื่อง การเคารพความแตกต่าง เนี่ยละครับ จากคุณ : รถม้า-ปาแอ่ว เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 02:38:16

ความคิดเห็นที่ 71 ให้เห็นมากๆใช่ว่าจะรัก ขอเพียงรักสักอย่างก็จะอยากเห็นต่อเอง อันศิลปะนั้น ความรักไม่ใช่เกิดจากมีและหวงแหน ทำตามนั้นจะได้แต่อนุรัก(ษ์) ได้แต่เปลือก เรียกได้ว่าเอาไว้อวดคนอื่นว่าบ้านฉันมีของลายครามนะ มันแพงมากเลย แต่มันสวยอย่างไรฉันไม่รู้หรอก ความรักที่เกิดจากการเข้าถึงความงามต่างหากที่จะพาไปถึงแก่นของวัฒนธรรม วิธีที่ครูบาอาจารย์สอนเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ทำให้ดู ทำให้เป็นแบบอย่าง เป็นผู้เชี่ยวชาญเพียงแบบอย่างเดียวก็พอจะเป็นแรงบันดาลใจให้อนุชนหรือคนร่วมสมัยค้นหาความงามด้วยตัวเองแล้ว จากคุณ : numnumnum1 เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 08:35:13

ความคิดเห็นที่ 72 ผมว่าปัญหาของฉบับหลวง คือการตีขลุม "วัฒนธรรม" ให้จำกัดอยู่ที่ "วัฒนธรรมไทย" นะ อย่างบ้านผมเอง ก็เป็นลูกไทยเชื้อสายจีนธรรมดาๆ ที่ห่างไกลจากการใส่เสื้อคอกระเช้า เล่นดนตรีไทยอยู่หลายปีแสง จะใกล้ก็แค่เติ้งลี่จวินเท่านั้นเอง (ฮา) ถ้าถามว่าผมมีวัฒนธรรมมั้ย ผมว่าผมก็มีนะ แต่เป็นวัฒนธรรมอีกวัฒนธรรมนึงเท่านั้นเองแหละ จากคุณ : new kid in town เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 09:00:51

ความคิดเห็นที่ 73 ฉบับนั้นอยากจะเรียกว่า "ฉบับจริตที่ถูกดัด" จากคุณ : le monde เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 10:00:53

ความคิดเห็นที่ 74 ฮ่าๆๆ ต้องเข้าใจนะว่า เดี๋ยวนี้งานราชการเค้ามีสิ่งที่เรียกว่า " ตัวชี้วัด " แปลว่า ทุกหน่วยงานต้องทำ " ผลงาน " ออกมาให้ได้ตามเป้าหมาย ทีนี้ กระทรวงวัฒนธรรมเนี่ย ก็คงมี " ตัวชี้วัด " เป็นเรื่องของการจัดทำข้อมูล กิจกรรมรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ฯลฯ อะไรแบบนี้อ่ะ โดยเวลาเค้ากำหนดแผนงาน เค้าจะกำหนดอะไรที่มันง่ายๆหน่อย จะได้ทำงานผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ( จัดทำแผนงานง่ายๆ เพื่อจะได้ทำงานผ่านง่ายๆ ) กระทรวงวัฒนธรรม คงกำหนดมาแหละมั้งว่า " ต้องจัดทำบทความเกี่ยวกับวัฒนธรรม ให้ได้ XXX ชิ้น แล้วเผยแพร่ " ฯลฯ ก็เลยเกิดบทความพวกนี้มา ซึ่งบางทีก็นักวิชาการภายในหน่วยงานก็เขียนออกมา ( ภาษาที่ใช้เลยเป็นภาษาแบบนั้น ) หรือไม่ก็...จ้างคนอื่นเขียน หร้อมทั้งทำเว็บไซต์ให้ด้วย ขอบอกว่า เรื่องไร้สาระแบบนี้ ใช้งบประมาณมากกว่าที่คิดนะเออ...ภาษีของเราๆท่านๆ ทั้งนั้น อิอิอิ เห็นเค้าจะจัดตั้ง " สำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม " โดยทำให้หน่วยงานเล็กๆ ขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็มีประโยชน์ในแง่ที่ว่า ทำให้คนที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงาน ปรับประดับจาก ซี 8 เป็น ซี 9 ( แต่ทำงานแย่เท่าเดิม ) ไม่ว่าจะปรับองค์กรยังไง ก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะตัวผู้ปฏิบัติมันยังเป็นคนกลุ่มเดิม ทำงานด้วยวัฒนธรรมองค์กรเดิมๆ จริงๆแล้ว จะยุบมันไปเลยก็ได้นะ กระทรวงนี้ -*- ไหนๆ ก็ไม่ได้ทำอะไรอันเป็นสาระสำคัญอยู่แล้ว ...... เห็นมีก็ สร้างการ์ตูนเรื่องพระพุทธเจ้า ที่ใช้งบประมาณเป็นร้อยล้าน-พันล้าน นั่นแหละ ในด้านความดีงาม ก็มี " ตัวชี้วัด " เป็นการเกณฑ์ข้าราชการไปเข้าโครงการทำบุญตักบาตร จัดพิมพ์หนังสือสวดมนต์  หรือเกณฑ์เด็กไปสอบนักธรรม  ( ซึ่งโรงเรียนเฉลยข้อสอบก่อน เพราะอยากให้เด็กสอบผ่านทุกคน ถ้าสอบไม่ผ่านเดี๋ยว ผ.อ. ถูกด่า ฮ่าๆๆๆ ) ยุบมันไปเลยก็ได้นะ กระทรวงนี้ -*-  (อยากให้ยุบ) จากคุณ : จำฉันได้ไหม เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 14:06:30

ความคิดเห็นที่ 75 (– –'') จากคุณ : 0vvaynar0 เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 22:14:38

ความคิดเห็นที่ 76 ชอบมากเลยค่ะ รู้จักรากเหง้า และเคารพความแตกต่าง จากคุณ : MiKi (Sichon) เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 09:53:56

ความคิดเห็นที่ 77 พูดง่าย ๆ บทความของกระทรวง ต้องการให้ผู้ปกครองปลูกฝังวัฒนธรรมแบบไทยๆ เพราะเราเป็นคนไทย และปลูกฝังให้ลูกหลานตั้งแต่ยังเด็ก ไม่รวมถึงวัฒนธรรมอื่นๆ แบบที่ จขกท.ว่าไว้ ซึ่งบางอย่างมันไม่ใช่ของไทย คล้ายๆ กับคู่มือเลี้ยงเด็กอ่อน ว่าอายุเท่านี้ควรให้กินอาหารประเภทนี้ อายุมากขึ้นก็เปลี่ยนกินอาหารได้หลากหลายขึ้น ทำนองนี้  สิ่งที่เขาเขียนมันอาจทำไม่ได้ตามความเป็นจริงหรอก แต่ก็พอเป็นแนวทางให้พ่อแม่ที่ต้องการปลูกฝังความเป็นไทยให้กับลูก อยากหากิจกรรมแบบไทยๆ ให้ลูกได้เรียนรู้ำ เพื่ออนุรักษ์ความเป็นไทย แต่เทคโนโลยีสมัยนี้มันแรง ขับเคลื่อนชีวิตคนให้เปลี่ยนแปลง ให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว  มีได้โอกาสเห็น รับรู้วัฒนธรรมอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น มากขึ้น จนเห็นดีเห็นงามและอาจลืมเลือนวัฒนธรรมเก่าแก่อันมีเอกลักษณ์ของไทยไป   ถามเด็กสมัยนี้ รู้จักกระต่ายขูดมะพร้าวรึเปล่า มีเด็กกี่คนที่มีโอกาสได้แต่งชุดไทย แบบสาวญี่ปุ่นแต่งกิโมโนกันเดินถนนในงานเทศกาลต่างๆ หรือเวลาไปวัด มีกี่คนที่รู้จักภาพศิลปะ รู้จักชื่อส่วนประกอบโบราณสถานในวัด ว่าเรียกว่าอะไร (แม้แต่พ่อแม่อาจจะยังเรียกไม่ถูกเลยก็ได้ ฮ่วย!) แต่จะให้สอนรุ่นพ่อแม่มันก็แก่เกินแกงแล้ว กระทรวงเลยฝากความหวังไว้ที่เด็กรุ่นใหม่ๆ นี่ล่ะ กลัวไทยโดนกลืนวัฒนธรรม อีกหน่อยเด็กไทยอาจรู้จักเพลงเกาหลีมากกว่าเพลงไทยเดิม จากคุณ : tormay เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 10:32:10

ความคิดเห็นที่ 78 เพิ่งเข้ามาอ่าน อยากจะบอกว่า ลูกเราเพิ่ง 3 ขวบก็ให้เรียนรำไทยค่ะ เนื่องจากอยากให้เรียนรู้ศิลปะไทยบ้าง อย่าโกรธนะถ้าจะบอกว่าเราเห็นด้วยกับบทความ และไม่เห็นขำตรงไหน ส่งเสริมบ้างก็ดี ไม่ได้ให้ยัดเยียดนี่คะ แพลนต่อไปของเราก็พาไปวัดทุกอาทิตย์ ตั้งใจมาตั้งแต่ต้น ว่าลูกขึ้น ป1 ก็จะเข้า รร พุทธศาสนาวันอาทิตย์ จะได้เรียนสวดมนต์ นั่งสมาธิ ศิลปะ เรื่องเหล่านี้ น่าขันตรงไหนคะ ทุกวันนี้สื่อต่างชาติมากมาย เด็กก็ซึมซับแบบไม่ต้องสอน แต่สิ่งที่หายไปเราก็ควรส่งเสริมใช่มั้ยคะ จากคุณ : not defendant เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 10:51:16

ความคิดเห็นที่ 79 เจ้าของกระทู้สุดยอดมากๆ เป็นคนที่มี EQ สูงทะลุฟ้า ยิ่งกว่านักการเมืองบางคนอีกนะเนี่ย จากคุณ : yinnerella เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 11:09:10

ความคิดเห็นที่ 80 ผมขอเป็นคนแก่อีกคนละกันครับ       พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ถูกผลักดันมาจากความอยากมาก่อน  เหตุผลและความถูกต้องมาทีหลัง   เมื่อความอยากนำหน้าแล้ว เหตุผลที่ตามมาจึงเป็นเหตุผลที่สนับสนุนความอยากของตัวเองว่าเป็นความถูกต้อง  และด้วยเหตุที่คนสมัยนี้มีความรู้มากสามารถยกเหตุผลให้มันดูซับซ้อนเพื่ออ้างความชอบธรรมให้กับความอยากของตัวเอง  คนสมัยนี้เลยทำอะไรตามใจตัวเองกันมากขึ้น  แต่ความอยากของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด  และไม่ตรงกันทุกคน  สังคมสมัยนี้จึงวุ่นวาย  ขัดแย้ง และสับสน  ขอยกตัวอย่างความขัดแย้งทางวัฒนธรรมไทยสมัยก่อนและปัจจุบัน 1. ความเกรงใจ  คนสมัยก่อนเวลาแสดงความคิดเห็น หรือ ถกเถียงปัญหา จะถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นไปแบบสุภาพนิ่มนวลและให้เกียรติกัน  ด้วยการแสดงความแตกต่างทางความคิดอย่างนี้ คนไทยจึงไม่ค่อยมีการทะเลาะเบาะแว้งกันรุนแรงเพราะคนไทยได้ชื่อว่าเป็นคนรักสงบ  แต่ปัจจุบัน การถกเถียงความคิดเห็นที่แตกต่างค่อนข้างรุนแรง  ใช้ถ้อยคำไปในทางดูถูกคนที่ความคิดต่างกับเรา  ไม่ให้เกียรติความคิดอีกฝ่าย  การแสดงท่าทีเช่นนี้ มันทำให้คนไม่รู้จักกันแต่มีความคิดต่างกัน  กลายเป็นศัตรูกันไปเลยก็มีจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง  เพราะฉะนั้นการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างควรคำนึงถึงคำโบราณว่า “ความเกรงใจ (ไม่ใช่ความรู้) เป็นสมบัติของผู้ดี” 2. การรักนวลสงวนตัว  คนสมัยก่อนไม่มีถุงยาง  ไม่มียาคุมกำเนิด  ไม่มีความรู้เรื่องเพศศึกษาเรื่อง การหลั่งนอก หลั่งใน ผู้หญิงสมัยก่อนจึงต้องประพฤติตัวดี  รักนวลสงวนตัว  เพื่อให้ผู้ชายแน่ใจว่าลูกที่เกิดในท้องของผู้หญิงคนนี้เป็นลูกของเขาจริงๆ  เพราะถ้าเป็นผู้หญิงสำส่อนเกิดท้องขึ้นมา  สมัยก่อนมันยังพิสูจน์ดีเอ็นเอไม่ได้ว่าเป็นลูกใคร  ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนรับเป็นพ่อ  ผลเสียก็ตกเป็นของผู้หญิงและเด็กที่เกิดมา  เพราะฉะนั้นวัฒนธรรมการรักนวลสงวนตัวของคนสมัยก่อนเป็นการปกป้องผู้หญิงนะไม่ใช่การกดขี่ไม่ให้เท่าเทียมผู้ชาย  แต่ผู้หญิงก็มีความต้องการทางเพศไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ชาย(บางทีอาจมากกว่าด้วยซ้ำ) ผู้หญิงก็ต้องเก็บกดเอาไว้  แต่ปัจจุบันคนมีความรู้มากขึ้น เทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นคนก็เลยทำตามใจอยากได้มากขึ้นไม่ต้องเก็บกดมาก  พอทำกันมากเข้าก็กลายเป็นว่าการรักนวลสงวนตัวเป็นเรื่องล้าสมัย  แต่จะสำส่อนมากๆอย่างที่ใจปรารถนานักก็ไม่ได้ เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก็ร้ายแรงและรักษายากกว่าเดิม ก็ต้องชั่งใจกันหน่อย 3. การแต่งกาย การละเล่น กิริยามารยาทของคนสมัยก่อน คนสมัยนี้อาจมองว่าเชย อันนี้เป็นความชอบส่วนตัวนะ  คนญี่ปุ่นเค้ามีความภูมิใจกับของเก่าแก่ของเขา  เค้าทำแล้วภูมิใจ เค้าก็สอนให้ทำต่อๆมาเป็นรุ่นๆ  ส่วนคนไทยไม่ภูมิใจไม่อยากทำก็ไม่มีใครไปบังคับขึ้นอยู่กับความสมัครใจ  ส่วนคนที่ชอบเค้าอยากทำก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ผมเห็นด้วยกับประโยคสุดท้ายว่า “วัฒนธรรมไทย ถ้าหากคนไทยไม่ปฏิบัติ ไม่สืบทอดแล้วใครจะทำให้วัฒนธรรมไทยอยู่คู่กับชาติไทยได้ถ้าไม่ใช่คุณ”  หรือต้องรอฝรั่งเค้ามานิยมวัฒนธรรมไทย  ผ้าไทย กิริยามารยาทแบบไทยๆก่อน  คนไทยถึงจะนิยมตามฝรั่งเค้าอีกทีครับ      สุดท้ายทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกรับสิ่งต่างๆมาประพฤติปฏิบัติตามความชอบของตน  เมื่อเลือกแล้วก็ต้องรับผลที่ตามมาด้วยตนเอง  ไม่มีใครตัดสินได้ว่าเราเลือกถูกหรือเลือกผิดนอกจากตัวเราเอง  ถ้าชีวิตเรามีความสุขปกติดีและไม่เบียดเบียนใครก็ทำไปเถิดครับ  แต่ถ้ามันเกิดปัญหาขึ้นมากับชีวิตเมื่อไหร่ ก็ต้องย้อนกลับมาดูที่ตัวเราว่าทำอะไรผิดไปรึเปล่า  "มนุษย์ย่อมเป็นไปตามกรรม(การกระทำ)ครับ" จากคุณ : อินทร์ธนู เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 11:37:16

ความคิดเห็นที่ 81 เข้าไปอ่านแล้ว งงกับท่อนแรกพูดเรื่องครอบครัวเป็นหนี้ ลูกเรียนก็เป็นหนี้ทบไปเรื่อยๆ แล้วลากมาเลี้ยงลูกให้มีวัฒนธรรม เอามาโยงกันแบบงงๆ ได้ไงหว่า อ่านแล้วงงมากๆ เลย จากคุณ : Zeve เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 15:09:33

ความคิดเห็นที่ 82 เห็นด้วยกับ คห.81  ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับหนี้เลยเนอะ 55 โยงเข้าไปได้ จากคุณ : tormay เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 18:02:14

ความคิดเห็นที่ 83 กระทรวงวัฒนธรรม ตั้งขึ้นมาในยุคของนายกผู้หนึ่งครับ มีวัตถุประสงค์เพื่อ "ตอบแทน" ผู้สนับสนุน พูดง่ายๆว่า มันไม่ใช่กระทรวงทรงอำนาจเหมือน มหาไทย กลาโหม ต่างประเทศ ยุติธรรม คมนาคม ฯลฯ แต่เอาไว้ปลอบใจสปอนเซอร์นักการเมือง จากคุณ : กำเนิดจากน้ำที่หน้าห้องน้ำ เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 22:37:24

ความคิดเห็นที่ 84 ฟังคำชี้แจงของผู้เขียนแล้วก็พอเข้าใจ .. เค้าแค่เขียนไม่ดีพอ และต้องการความมั่นคงในชีวิตมาก แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 54 00:31:43 จากคุณ : ปอปลานั้นหายาก (ปอปลานั้นหายาก) เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 00:30:50

ความคิดเห็นที่ 85 วัฒนธรรมดีๆเราก็ควรรักษาไว้ครับ แต่วัฒนธรรมแย่ๆเราควรจะปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงครับ ไม่ใช่เก็บไว้ทั้งหมด หรือมีอะไรที่ดีกว่าของเดิมก็ควรนำมาแทนที่ ไม่ควรให้มันตายตัวครับ สำหรับผู้ที่ยกตัวอย่างญี่ปุ่นว่าเค้าอนุรักษ์วัฒนธรรม เค้าก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดนะครับ เช่นละครโนห์(ละครโบราณที่ใส่หน้ากาก) เค้าปรับมาเล่นเรื่องหน้ากากแก้ว ซึ่งเป็นการ์ตูนยุคปัจุบัน หรือนำเครื่องดนตรีโบราณ มาเล่นเพลงสมัยใหม่ เป็นต้น เค้ามีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยตลอดครับไม่ได้เก็บเข้ากรุ หรือเอาไปขึ้นหิ้งแบบไทยขอให้เข้าใจไว้ด้วย จากคุณ : xhai เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 02:13:55

ความคิดเห็นที่ 86 ให้เรียนดนตรีไทย รำไทย ฟังเพลงไทยแล้วมันขำตรงไหนเหรอ??? เห็นบางคนแสดงความเห็นได้มาก คือส่วนตัวที่เราอ่านก็ไม่ได้รู้สึกต่อตานอย่างร้ายแรงขนาดนั้น มันก็มีที่ไม่เข้ายุคบ้าง แต่ที่เข้าท่าก็มีนะ เห็น ๆ อยู่ทุกวันนี้ว่าพ่อแม่ บังคับ หรืออยากให้ลูกเรียนดนตรีสากล เปียโน ไวโอลิน แจ๊สแดนซ์ บัลเล่ต์ อะไรก็ได้ ต้องเป็น เห็นพาไปเรียนพิเศษกันเป็นแถว แล้วรำไทย หรือดนตรีไทยนี้มันก็ดนตรีเหมือนกัน ก็น่าเรียนนี่ แล้วน่าขำตรงไหน??? เครื่องดนตรีสากลช่วยให้เด็กฉลาด ผ่อนคลายสมอง แล้วดนตรีไทยไม่ช่วยหรือ??? หรือว่าต้องเป็นวัฒนธรรมต่างประเทศเท่านั้นถึงจะทำให้ดูทันสมัย ทันโลก ฉลาดล้ำเลิศ น่าชื่นชม??? ปล. ส่วนของที่ จขกท. ว่ามา ก็เห็นด้วยนะคะ จากคุณ : saturn_eyes เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 13:05:51

ความคิดเห็นที่ 87 "พออายุได้ ๑๖-๑๘ สอนลูกชายให้เป็นสุภาพบุรุษสอนลูกสาวให้เป็นสุภาพสตรี" ไม่ทันแน่นอนค่ะ อันนี้ต้องตั้งแต่เิกิดเลย จากคุณ : Fuangfu เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 13:42:47

ความคิดเห็นที่ 88 ผมอ่านที่กระทรวงเขาแนะนำ ผมว่ามันไม่ได้แปลกเลย หลายคนอคติเกินไป จากคุณ : มอสคุงอะครับ เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 14:05:21