แคทลีนไม่เคยชอบป่าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เลย
นางเกิดมาในตระกูลทัลลีแห่งริเวอร์รัน ไกลออกไปทางใต้ บนง่ามแดงของหอกสามง่าม ป่าศักดิ์สิทธิ์ของที่นั่นเป็นสวนที่สว่างและปลอดโปร่ง ที่ซึ่งต้นสนแดงสูงใหญ่ทอดเงาลงบนธารน้ำ เต็มไปด้วยเสียงนกร้องและกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิด
แต่ป่าศักดิ์สิทธิ์ของวินเทอร์เฟลเต็มไปด้วยต้นไม้ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่นี่มืดและโบราณมาก มีพื้นที่ราวสามเอเคอร์ (ประมาณ 7.5 ไร่) มันไม่ได้ถูกแตะต้องมาเป็นหมื่นปี บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นดินเปียกและใบไม้ที่เน่าเปื่อย ที่นี่ไม่มีต้นสนแดง แต่เต็มไปด้วยต้นไม้โบราณที่ปกคลุมไปด้วยหนามสีเทาเขียว ต้นโอ้คใหญ่ และต้นตะเคียน ทุกๆ ต้นล้วนแต่มีอายุเก่าแก่เทียบเท่ากับอาณาจักรแห่งนี้เลยทีเดียว กิ่งก้านสีเข้มของพวกมันอัดยู่เหนือหัวกันอย่างหนาแน่น ลำต้นบิดเข้าพันกันยุ่งเหยิง และรากไม้ที่บิดเบี้ยวก็แย่งคดกันไปมาอยู่ใต้พื้นดิน ที่แห่งนี้มีแต่ความเงียบสงัด และเทพเจ้าที่อยู่ที่นี่เป็นเทพเจ้าที่ไร้นาม
แต่นางรู้ว่าสามีของนางจะต้องอยู่ที่นี่ในค่ำคืนนี้ เมื่อใดก็ตามที่เขาปลิดชีวิตคน เขาจะต้องการความเงียบสงบของป่าศักดิ์สิทธิ์
(ชาวริเวอร์รัน จะร้องเพลงสรรสริญพระเจ้าทั้ง 7 ในวิหาร ส่วนป่าศักดิ์สิทธิ์ ชาวริเวอร์รันเพียงใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจเท่านั้น เอดดาร์ดได้สร้างวิหารเล็กๆ สำหรับให้แคทลีนร้องเพลงต่อพระเจ้าทั้ง 7 ให้นางด้วย)
(ทุกๆ ปราสาทที่อยู่ทางเหนือมีป่าศักดิ์สิทธิ์ และทุกๆ ป่าศักดิ์สิทธิ์จะมีต้นไม้ที่เป็นประธานอยู่ เอดดาร์ดเรียกมันว่า heart tree ต้นฮาร์ททรี มักเป็นต้น weirwood ที่มีลำต้นและกิ่งก้านสีขาว มีใบสีแดงเข้มเหมือนเลือด และมีสลักหน้าคนเอาไว้ที่ลำต้น)
แคทลีนพบสามีของนางนั่งอยู่บนก้อนหินที่ปกคลุมด้วยมอสอยู่ได้ต้นแวร์วูด ดาบเล่มมหึมา ไอซ์ วางอยู่บนตัก เขากำลังล้างมันในน้ำที่มีสีดำราวกับกลางคืน ใบไม้ที่เน่าเปื่อยทับถมกันมาเป็นพันปีกลายเป็นปุ๋ยที่ดูดซับเสียงเดินของนางไปจนหมด แต่นางรู้สึกเหมือนดวงตาสีแดงของ ฮาร์ททรี กำลังจับจ้องมาที่นาง “เน็ด” เธอเรียกเบาๆ
เขาเงยหน้าขึ้นมองนาง “แคทลิน” น้ำเสียงเขาดูห่างไกล “เด็กๆ ล่ะ?”
เขาถามนางอย่างนี้ทุกครั้ง “อยู่ในครัว กำลังตั้งชื่อลูกสุนัขกันอยู่” เธอกางผ้าคลุมลงกับพื้นแล้วนั่งลงข้างๆ สระ นางหันหลังให้กับต้น แวร์วูด แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนมันกำลังจับจ้องมองนางอยู่เหมือนเดิม นางพยายามทำเป็นไม่สนใจ “อาร์ยาตกหลุมรักพวกมันเข้าแล้ว ซันซาก็ดูจะนุ่มนวลกับมัน แต่ริคคอน ข้ายังไม่แน่ใจ”
“เขากลัวหรือ”
“นิดหน่อยมัง” นางตอบ “เขาเพิ่งสามขวบเอง”
เน็ดขมวดคิ้ว “เขาต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับความกลัว เขาจะไม่อายุสามขวบไปอีกนานนัก และฤดูหนาวกำลังจะมาถึง”
“ก็จริง” แคทลีนเห็นด้วย คำพูดนี้ทำให้เธอรู้สึกหนาวสันหลังทุกครั้งที่ได้ยิน คำของสตาร์ค ทุกๆ ตระกูลมีคำพูดประจำของมัน บ้างก็เป็นคำขวัญ บ้างเป็นคำปลุกใจ บ้างเป็นคำที่แสดงความจงรักภักดี ความกล้า หรือคำสวดอธิษฐาน มีแต่สตาร์คนี่แหละ ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง คือคำของสตาร์ค และทุกๆ ครั้งที่ได้ยิน นางจะรู้สึกว่าคนเหนือเหล่านี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน
“อย่างน้อยชายคนนั้นก็ตายดี” เน็ดพูด เขาถือแผ่นหนังชุบน้ำมันไว้ในมือ แล้วถูกมันเบาๆ กับดาบเกรทซอร์ด จนดาบส่องประกายสีดำ “ข้าโล่งใจเรื่องแบรน เจ้าต้องภูมิใจในตัวเขาแน่”
“ข้าภูมิใจในตัวแบรนเสมอ” แคทลินตอบพลางมองดูดาบที่เขากำลังเช็ด นางเห็นลวดลายขยับไปมาอยู่ในเนื้อดาบที่ตีจากเหล็กกล้าพับซ้อนบนตัวมันเองนับร้อยๆ ครั้ง แคทลินไม่เคยชอบอาวุธดาบเลย แต่นางก็ยังยอมรับในความสวยงามเฉพาะตัวของดาบไอซ์ มันถูกตีขึ้นมาในอาณาจัก วาเลเรีย ซึ่งล่มสลายไปแล้ว ในสมัยที่ช่างตีเหล็กยังใช้พลังเวทย์มนต์ควบคู่ไปกับค้อนตีเหล็ก สี่ร้อยปีมาแล้วดาบเล่มนี้ยังคงความคมกริบไม่ต่างจากวันที่มันเพิ่งตีเสร็จออกจากเตา ชื่อของมันถูกตั้งจากตำนานที่เก่าแก่กว่านั้นไปอีกมาก ตั้งแต่ยุคสมัยของวีรบุรุษ ในยุคที่สตาร์คยังคงเป็นกษัตริย์แห่งทิศเหนือ
“นี่เป็นคนที่สี่แล้วในปีนี้” เน็ดพูดด้วยความกังวล “เขาแทบจะเสียสติ อะไรบางอย่างได้ฝังความกลัวลึกลงในจิตใจเขาอย่างรุนแรง จนคำพูดของข้าไม่สามารถเข้าถึงเขาได้เลย” เขาถอนใจ “เบนส่งจตหมายมาว่ากำลังของหน่วยพิทักษ์ราตรีเหลือไม่ถึงพันแล้ว มันไม่ใช่แค่คนหนีศึก แต่พวกเขาเสียคนไปในการลาดตระเวณด้วย”
“จากพวกคนเถื่อนน่ะหรือ?” นางถาม
“จะอะไรซะอีกล่ะ?” เน็ดยกไอซ์ขึ้นแล้วมองไปตามคมดาบ “สถานการณ์มีแต่ละเลวร้ายลง ในไม่นานนี้หรอก ข้าคงต้องชูธงระดมกำลังพล เพื่อยกไปจัดการกับ ‘ราชานอกกำแพง’ นี่ให้เด็ดขาดกันเสียที”
(พวกเขาคุยกันเรื่องสิ่งมีชีวิตลี้ลับนอกกำแพงอยู่สักพัก เน็ดเชื่อว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าและนิยายปรำปราเท่านั้น)
เน็ดเก็บไอซ์กลับเข้าฝัก “เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อคุยเรื่องนิยายปรำปราสินะ ข้ารู้ดี ว่าเจ้าไม่มีความรักให้กับป่าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เลย มีอะไรเหรอ คุณผู้หญิงของข้า”
แคทลีนกุมมือสามี “มีข่าวร้ายมาถึงวันนี้ ท่านลอร์ด แต่ข้าไม่อยากรบกวนท่านจนกว่าท่านจะชำระล้างจิตใจเสร็จแล้ว” มันคงไม่มีทางพูดอย่างถนอมน้ำใจแน่ นางจึงตัดสินพูดตรงๆ “ข้าเสียใจด้วย ที่รัก จอน แอริน เสียแล้ว”
ตาของเน็ดหันมาสบตาของนาง นางเห็นได้ทันทีว่าข่าวนี้ทำร้ายจิตใจเขามาก ตามที่นางคาดไว้ ตอนที่เอดดาร์ดถูกส่งไปฝึกฝนที่ อายรี่ ลอร์ดจอนแอรินที่ไม่มีลูกได้เลี้ยงดูเอดดาร์ดกับโรเบิร์ตราวกับลูกแท้ๆ ของตัวเอง ตอนที่พระราชาผู้เสียสติ แอริส ทาร์แกเรียน สั่งให้จอนแอรินส่งศีรษะของเอดดาร์ดและโรเบิร์ตไปให้ จอนแอรินเลือกที่จะชูธงระดมพลขึ้นต่อต้านแทนที่จะยอมทำร้ายเอดดาร์ด
ต่อมา จอน แอริน ได้แต่งงานกับไลซ่า น้องสาวของแคทลิน ทำให้ทั้งคู่มีฐานะเหมือนเป็นพี่น้องกันพ่วงไปอีกด้วย
(เน็ดอยากจะส่งแคทลีนและลูกๆ ไปอยู่กับไลซ่า เพื่อช่วยเพิ่มเสียงหัวเราะและความครื้นเครงให้กับไลซ่าที่กำลังเสียใจ แต่แคทลีนบอกว่าเขาไปไม่ได้ เพราะมีภาระหน้าที่อย่างอื่นรออยู่อีก คือการเตรียมต้อนรับพระราชา การจะได้พบเพื่อนเก่าอย่างพระราชาโรเบิร์ตทำให้เอดดาร์ดอดยิ้มไม่ได้ แต่เขาก็ดีใจได้ไม่เต็มที่เมื่อรู้ว่าเจมี แลนนิสเตอร์ก็จะมาด้วยเช่นกัน)
(แต่เหตุการณ์เรื่องสุนัขป่าโลกันตร์ที่โดนเขากวางแทงตาย ทำให้แคทลินไม่สบายใจเลย)
แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 23:02:43
แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 22:17:08
แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 22:11:28
แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 22:04:06