ลงเอย ริคุก็เลยต้องมากับนานามิกันสองต่อสองอีกครั้ง โดยนานามิเป็นคนขับรถ ส่วนริคุคอยบอกทางไปเรื่อยๆ ระหว่างขับรถไปด้วยกัน นานามิก็ชวนคุยริคุว่าร้านขนมที่ว่าอยู่ใกล้บ้านริคุเหรอ ถึงได้รู้จักดี ริคุก็ตอบว่าเปล่า อยู่ใกล้โรงเรียนประถมที่เขาเคยเรียนอยู่ต่างหาก เป็นร้านที่ตอนเด็กๆ เขาเคยแวะมาบ่อยๆ
...กับพี่อามาเนะ... เด็กหนุ่มห้ามปากตัวเองไว้ไม่ให้พูดประโยคท้ายได้ทันชนิดฉิวเฉียด แล้วหันกลับไปตั้งสมาธิกับการบอกทางต่อไป
ทว่า เมื่อไปถึงสถานที่จริง ริคุก็ต้องตะลึง เมื่อพบว่าตรงจุดที่น่าจะเป็นที่ตั้งของร้านขนมดังกล่าวกลับมีอพาร์ทเมนท์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่แทน มิหนำซ้ำ ตึกรามบ้านช่องรอบๆ อพาร์ทเมนท์นั้นยังเปลี่ยนแปลงไปแทบจะโดยสิ้นเชิง ไม่หลงเหลือร่องรอยให้จำได้เลยแม้แต่น้อยว่าที่แห่งนั้นเคยเป็นที่ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยแวะผ่านอยู่เสมอมาก่อน
ภาพความเปลี่ยนแปลงของสถานที่คุ้นเคยตั้งแต่วัยเด็ก กระตุ้นให้ริคุนึกขึ้นมาได้ทันที
...ว่าบัดนี้เวลาได้ผ่านไปแล้วแค่ไหน นับจากวันวานในความทรงจำนั้น...
'เกือบ 3 ปีแล้วสินะ ที่พี่อามาเนะหายตัวไป' เด็กหนุ่มพึมพำกับตนเองในใจ ขณะค่อยๆ รับรู้ถึงกระแสแห่งเวลาในอดีตที่ไหลผ่านไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นหลายปี...รวดเร็วเสียจนเด็กหนุ่มแทบปรับตัวไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เวลานำพามา
...รวมทั้งภาพความทรงจำเกี่ยวกับหญิงสาวคนสำคัญ...ที่นับวันมีแต่จะค่อยๆ เลือนลางลงทุกที...พร้อมๆ กับเวลาที่ผันผ่านไป...
คิดได้ดังนั้น ริคุก็ไม่อาจทนตีสีหน้าวางเฉยเป็นปกติอยู่ได้ ต้องปล่อยให้ความหดหู่ที่เก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของจิตใจเล็ดลอดออกมาทางสีหน้าและท่าทาง ฝ่ายนานามิเห็นริคุอยู่ๆ ก็ทำท่าสลดขึ้นมาแบบนั้นก็เข้าไปถามอย่างเป็นห่วงว่าเป็นอะไรหรือเปล่า พร้อมกับพยายามฝืนปั้นยิ้มอย่างร่าเริงที่สุดให้ริคุ แล้วถามว่ามีเรื่องทุกข์ใจอะไรเหรอ ริคุทีแรกก็ทำท่านิ่งไม่พูดอะไรเพราะไม่อยากให้นานามิกลุ้มใจไปมากกว่านี้ แต่เมื่อเห็นทีท่าฝืนยิ้มจนปากเบ้...ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีเรื่องกังวลใจจนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ...ของนานามิก็ใจอ่อน ยอมเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด ทั้งเรื่องความจริงเกี่ยวกับตัวอามาเนะที่ตนเองเกือบคว้าเบาะแสเอาไว้ได้ แต่ไม่อาจไปถึง เพราะอาจทำให้ชิซึรุต้องกลายเป็นคนเสียสติจากอาการลอสต์รีบาวด์ ทั้งความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะปล่อยมือจากความจริงที่อยู่แค่สุดปลายเอื้อมก็ไม่ได้ จะถอนตัวออกมาเฉยๆ ก็ไม่กล้า ได้แต่หยุดนิ่งอยู่กับที่อย่างนั้นไม่อาจแม้แต่จะขยับไปไหนได้
...รวมถึงความหวาดกลัวว่าความทรงจำที่เคยมีร่วมกับอามาเนะจะเลือนหายไปไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก...
นานามิยังคงสวมบทผู้ฟังและผู้ให้คำปรึกษาที่ดีเช่นที่ผ่านมา เธอพาริคุมายังม้านั่งบนเนินสูงที่เงียบสงบไม่ค่อยมีคนเดินผ่านแห่งหนึ่ง แล้วปล่อยให้ริคุระบายความรู้สึกทั้งหลายที่อัดอั้นอยู่ในหัวอกออกมา จนกระทั่งริคุเริ่มหยุดแล้วก้มหน้านิ่งอันเป็นสัญญาณว่าหมดเรื่องจะพูดแล้ว นานามิจึงค่อยเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยปาก
"ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ" น้ำเสียงของนานามิยังคงนุ่มนวลเช่นเดิม ทั้งๆ ที่เนื้อหานั้นบาดหูริคุเหลือแสน "เมื่อเติบโตขึ้น ก็จะเรียนรู้ไปเองนั่นแหละ ว่าต่อให้ไขว่คว้าแค่ไหน ก็ยังมีสิ่งที่ไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึงอยู่...นั่นละคือการเติบโตเป็นผู้ใหญ่..."
ได้ฟังนานามิพูดดังนั้น ริคุก็อดรนทนไม่ไหว เขาลุกพรวดขึ้นจากม้านั่ง แล้วแผดเสียงดังลั่นจนแทบเป็นคำรามว่า
"แต่ผมไล่ตามมาตลอดเลยนะ!! ถ้ามาหยุดเอาป่านนี้ ผมก็ไม่เหลืออะไร! ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว..."
"ไม่เหลืออะไรที่ไหนกัน!!"
เสียงตะโกนแทบเป็นตวาดของนานามิดังแทรกขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำเอาริคุถึงกับชะงัก ด้วยนึกไม่ถึงว่าคนอารมณ์ดีนิสัยอ่อนโยนอย่างนานามิจะขึ้นเสียงใส่ใครแบบนี้ได้
"ตัวตนของริคคุงในตอนนี้เป็นสิ่งที่ริคคุงฝ่าฟันจนได้มาไม่ใช่เหรอ!" หญิงสาวร้อง แล้วลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับริคุ ดวงตาที่เคยสงบนิ่งฉายแววขี้เล่นเป็นนิจ บัดนี้กลับเป็นประกายวาววับจนริคุได้แต่ยืนตะลึงพูดอะไรไม่ออก "ไม่จำเป็นต้องผูกมัดตัวเองกับคนที่จากไปแล้วไปตลอดเลยนี่"
ว่าถึงตรงนี้ หญิงสาวก็ลดท่าทีแข็งกร้าวลง แววตาทอประกายวาววับเปลี่ยนกลับเป็นแววตาอ่อนโยนใสกระจ่าย มุมปากสองข้างเผยอออกเป็นรอยยิ้มนุ่มนวลที่แฝงด้วยความเศร้าบางอย่าง ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า
"เก็บความทรงจำพวกนั้นไว้ในใจ" น้ำเสียงของหญิงสาวอ่อนลง ต่างจากน้ำเสียงตะโกนเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง "แล้วให้ความสำคัญกับคนที่ยังอยู่ในตอนนี้เถอะ"
ทีท่าเกรี้ยวกราดแล้วกลับอ่อนโยนของนานามิทำเอาริคุยืนเซ่ออยู่กับที่ นิ่งค้างเป็นเบื้อใบ้อยู่อย่างนั้นชั่วครู่ ก่อนที่สีหน้าและแววตาจะเริ่มค่อยๆ บิดเบี้ยว
แล้วจู่ๆ น้ำตาหยดหนึ่งก็หยดจากหางตาของริคุซึ่งยืนนิ่งตะลึงอยู่ ในดวงตาของเด็กหนุ่มสะท้อนร่างบางของหญิงสาวกับทิวทัศน์สีเข้มของยามสนธยา ก่อนที่ภาพเหล่านั้นจะค่อยๆ พร่าเลือนไปด้วยม่านน้ำตาที่เริ่มเอ่อล้นจนเต็มเบ้าตาทั้งสองข้าง
"เอ๋...อะไร...ทำไม..." เด็กหนุ่มครางตะกุกตะกัก ขณะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาป้อยๆ ด้วยกิริยาไม่ต่างจากเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
...ขอโทษนะ พี่อามาเนะ...
...ขอโทษนะ พี่อามาเนะ...
...ถ้ายังมีชีวิตอยู่ พี่อามาเนะตัวจริง...
...จะพูดแบบนี้เหมือนกันรึเปล่านะ...
-------------------------------------------------
*หมายเหตุ - คอมเมนต์นี้ฝืนยัดเป็นภาพคู่ด้วยความลำเอียงส่วนตัวครับ
