ตัดฉากไปทางฝั่งโจที่บาดเจ็บหนักจากการต่อสู้กับคังชุดำจนต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลโดยมีคลาร่าคอยดูแลอยู่ สึคิชิโระ สึซึ กับโทโงก็แวะมาเยี่ยมพร้อมกับสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น โจกับคลาร่าก็เล่าเรื่องที่ตัวเองพบเห็นให้พวกสึคิชิโระฟังจนหมด ทั้งเรื่องของคังชุดำที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมาและเรื่องของทาคาโอะกับเอนเด คำบอกเล่าของโจกับคลาร่าทำให้พวกสึคิชิโระทั้งตกใจและประหลาดใจเป็นอย่างมาก ด้วยนึกไม่ถึงว่าคังชุดำตนนั้นต่างหากที่คอยไล่ล่าแก่นจิงกิอยู่ในตอนนี้ ไม่ใช่ทาคาโอะ มิหนำซ้ำ ทาคาโอะกับเอนเดซึ่งเดิมทีควรจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันยังมาจับมือกันออกไล่ล่าคังชุดำตนนั้นเสียอีก ซึ่งเมื่อดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ทั้งสึคิชิโระและโทโงก็อนุมานได้อย่างเดียวว่าเจ้าคังชุดำรูปร่างคล้ายสุนัขป่าที่ออกล่าผู้ใช้จิงกิอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่พวกเดียวกับเอนเดแน่ๆ แต่ทำงานภายใต้คำสั่งของใครบางคนซึ่งยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริง โทโงถึงกับเอามือกุมขมับด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้าที่ได้รู้ว่านอกจากเอนเดกับทาคาโอะแล้ว ยังจะมีศัตรูที่ไหนไม่รู้เพิ่มมาอีก สึคิชิโระก็บอกว่าแม้ตอนนี้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าศัตรูใหม่ที่ว่านั้นเป็นใคร แต่ตัวเขาก็สังหรณ์ใจว่าตัวจริงของศัตรูใหม่นั้นจะเปิดเผยออกมาเองในอีกไม่ช้า
คุยกันเสร็จแล้ว โจกับคลาร่าก็วางมาดกร่าง โบกมือไล่พวกสึคิชิโระให้กลับไป แต่พอพวกสึคิชิโระออกจากห้องไปแล้วก็จิตตกตีหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเจ็บใจต่อความไร้พลังของตนเองยามอยู่ต่อหน้าคังชุดำและคิวกิ (แน่ละ ตอนเจอกับคังชุดำในตอนนั้น สองคนนี้ร่วมมือกันยังแทบเอาตัวไม่รอด แต่พอทาคาโอะกับเอนเดปรากฏตัวออกมาเท่านั้น เจ้าคังชุดำถึงกับเผ่นหางจุกก้นไปเลย แถมพวกเอนเดกับทาคาโอะยังสนใจแต่เจ้าคังชุดำนั่น ไม่เห็นโจกับคลาร่าอยู่ในสายตาเลยซักนิด เจอแบบนี้เข้าไปเป็นใครก็ต้องเจ็บใจเพราะรู้สึกเหมือนถูกหยามน้ำหน้าอยู่แล้ว) ซึ่งจากการเผชิญหน้าในครั้งที่ผ่านมา ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าคังชุดำกับคิวกินั้นมีพลังเหนือกว่าผู้ใช้จิงกิมาก ชนิดที่เรียกได้ว่าหากจับมาชนกันตรงๆ ก็เหมือนเอาฝูงมดไปให้ช้างกระทืบเล่นดีๆ นี่เอง
"ไม่มีทางไหนที่ผู้ใช้จิงกิจะสามารถต่อกรกับพวกนั้นได้เลยรึไง" สึคิชิโระนึกสบถอยู่ในใจ "ไม่ใช่...ต้องมีหนทางอยู่แน่ๆ!"
คิดได้ดังนั้น สึคิชิโระก็ต่อสายโทรหาซาโกมิซึ หัวหน้าฝ่ายวิจัย แล้วถามถึงการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดในคลังเก็บความทรงจำของร่างเปล่า บอกว่าหากได้เงื่อนงำอะไรแม้เพียงเล็กน้อยในข้อมูลจำนวนมหาศาลเหล่านั้น ก็ไม่ต้องลังเล รีบแจ้งให้เขารู้ทันที
-----------------------------------------------------------------
ฉากตัดอีกครั้งมายังความฝันของริคุ
เป็นภาพทิวทัศน์โล่งๆ ไม่มีอะไรอยู่เลย นอกจากทางรถไฟสองสายทอดยาวอยู่ต่อหน้า มีถนนสายหนึ่งตัดข้ามผ่านรางรถไฟทั้งสอง ไฟสัญญาณบอกเวลารถไฟมา กับไม้กั้นรางรถไฟแบบเลื่อนขึ้นเลื่อนลงสองอันเท่านั้น
และร่างบอบบางของซาสะโมริ อามาเนะ หญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจกำลังยืนอยู่อีกฟากของรางรถไฟ...
เด็กหนุ่มจำได้ทันทีว่านี่คือภาพความฝันที่เขาได้เห็นเมื่อครั้งที่เนเน่ใช้พลังในฐานะคิวกิต่อหน้าเขาเป็นครั้งแรก (ตอนจบของเล่ม 3) จำได้ว่าครั้งนั้นเขาพยายามกู่ร้องตะโกนเรียกอามาเนะจากอีกฟากหนึ่งของไม้กั้นรางรถไฟ พยายามอย่างเอาเป็นเอาตายที่จะให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงของเขา ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอ ก่อนที่ขบวนรถไฟจะแล่นวูบผ่านมา บดบังทั้งภาพและเสียงที่เขาได้สัมผัสอยู่ต่อหน้าไปจนหมดสิ้น
ทว่าครั้งนี้ไม่มีขบวนรถไฟมาขวางกลางระหว่างพวกเขาอีกต่อไปแล้ว...
เสียงระฆังสัญญาณกระหน่ำรัวจนแสบแก้วหู ขณะที่ไม้กั้นทางรถไฟทั้งสองฟากที่ขวางกลางระหว่างเขากับเธอมาโดยตลอดค่อยๆ ยกตัวขึ้นอย่างช้าๆ เปิดทางให้เขาได้มุ่งหน้าไปหาเธอ
หากเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน ริคุคงวิ่งข้ามทางรถไฟโผเข้าไปหาอามาเนะ โอบกอดอีกฝ่ายไว้แนบอกพร้อมกับร่ำไห้ด้วยความยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง และพร่ำขอร้องไม่ให้เธอจากเขาไปไหนอีก
ทั้งๆ ที่หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงทำแบบนั้นได้โดยไม่ลังเลแท้ๆ...
แต่เขากลับไม่ทำเช่นนั้น
เด็กหนุ่มเพียงยืนนิ่งอยู่ข้างทางรถไฟแห่งนั้น ทำท่าละล้าละลังเหมือนอยากจะข้ามไปหา แต่ก็กลับไม่ยอมข้ามไป ทำท่าเหมือนมีอะไรอยากจะพูด แต่ก็กลับพูดไม่ออก ได้แต่ยืนเบื้อใบ้ จ้องมองหญิงสาวในชุดเรียบๆ แบบผู้ใหญ่ซึ่งยืนมองตอบกลับมาด้วยสายตาเศร้าสร้อยเท่านั้น
ความเงียบอันน่าอึดอัดดำเนินไประหว่างทั้งคู่อยู่ชั่วครู่หนึ่ง อามาเนะก็เป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยปากพูดก่อน
"...ไม่ข้ามมา...อย่างนั้นสินะ..." น้ำเสียงของหญิงสาวเรียบเฉยราวกับกำลังพูดคุยกันตามปกติ แต่หากฟังดูดีๆ จะรู้สึกได้ถึงแววเสียใจบางประการอยู่ในน้ำเสียงนั้น "เรื่องนั้น...ก็คงช่วยไม่ได้..."
"...แต่ว่า"
"จะปล่อยเด็กคนนี้ไว้แบบนี้อย่างนั้นเหรอ?"
สิ้นคำพูดนั้น ร่างเงาเล็กๆ ร่างหนึ่งก็พลันปรากฏตัวยืนอยู่ต่อหน้าอามาเนะอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย...ร่างเงาที่ทำให้ริคุแทบจะล้มพับลงอยู่กันที่ด้วยความตกตะลึง
เพราะร่างเงานั้นคือ "เนเน่" ที่ควรจะหายไปตั้งแต่ครั้งเผชิญหน้ากับเอนเดเมื่อ 3 เดือนก่อน เด็กหญิงตัวน้อยยังคงอยู่ในชุดเดิมที่เขาเห็นใส่เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อก่อนจะจากกันไม่มีผิด กำลังยืนก้มหน้ามองพื้นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยอย่างคนที่กำลังเจ็บปวดต่อบางสิ่งบางอย่าง
เมื่อนั้นเองที่ความเยือกเย็นหายไปจากใจของริคุจนหมดสิ้น เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องเรียกชื่อเนเน่ออกไป สีหน้าอึดอัดแกมลังเลเปลี่ยนไปเป็นร้อนรนทันควัน
ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้คิดทำอะไรต่อไป ภาพทั้งหมดก็พลันหายวับไปจากคลองสายตาอย่างรวดเร็วพอๆ กับที่มันปรากฏให้เห็น
...ความฝันของเด็กหนุ่มจบลงเพียงแค่นั้น...