 |
สำหรับผมถ้าเอาตอนนี้ผมชอบดูแบบที่ 5 สุดครับ
แบบที่ 2 สำหรับผมผมว่ายากไปครับ ติดปัญหาเรื่องการฟังภาษาอังกฤษที่เป็นสำเนียงฝรั่งแท้ๆ(จริงๆถ้ามาจากสำเนียงอื่นๆอย่างฝรั่งเศส , เยอรมัน ญี่ปุ่น ฯลฯ ก็มีปัญหาเรื่องการฟังเหมือนกัน) เนื่องจากว่าหูเรามันไม่ชินอะ ส่วนมากหูคนไทยจะชินกับภาษาอังกฤษสำเนียงไทยมากกว่าสำเนียงอื่นๆ ทำให้มีหลายครั้งที่ฟังไม่รู้เรื่องหรือฟังไม่ถนัดว่าเขาพูดอะไร บางครั้งฟังถนัดแต่ดันไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกหรือเปล่าเสียอย่างนั้น เลยทำให้ดูหนังแบบไม่สนุกครับและรู้สึกว่าตัวเองยึดติดกับการจ้องจะฟังหรือจ้องจะทำความเข้าใจมากเกินไป สุดท้ายดูไม่รู้เรื่องจับใจความไม่ค่อยได้เลย ยิ่งถ้าเป็นหนังหรือฉากที่จริงจังมีการพูดร่ายอะไรยาวๆ พุดในแบบวิชาการหรือมีการใช้ศัพท์เฉพาะตายไปเลยครับ ส่วนมากถ้าเป็นการดูหนังในลักษณะแบบนี้หากนักแสดงพูดไม่เร็วหรือรัวหรือพูดเบาอยู่ในลำคอและไม่ได้พูดแบบวิชาการหรือทางการมากๆผมจะโอเคไม่มีปัญหา แต่ในความเป็นจริงมันเป็นแบบนั้นตลอดไม่ได้ไงทุกอย่างต้องออกมาอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดและผมถือว่าโดยปกติที่ฝรั่งเขาพูดกันเองนั้น เป็นการพูดที่ค่อนข้างเร็ว-เร็วเสียโดยส่วนใหญ่นะครับและหลายครั้งก็จะพูดเบาและหรือรัวควบๆด้วยอีกต่างหาก การออกเสียงอะไรก็เป็นไปตามสำเนียงของเขาซึ่งเราไม่ค่อยชินหู สรุปผมเลยคิดว่าการดูหนังแบบนี้ยากมากครับ รู้สึกว่าชั่วโมงบินด้านภาษาอังกฤษของตัวเองยังไม่เจ๋งพอ ยังต้องฝึกอีกมากจริงๆ (เรื่องการอา่นของผมก็เหมือนกัน ถ้าอ่าน text วิชาการภาษาอังกฤษนี่จะแบบเอาละ 555 ต้องนั่งงมนั่งแกะกันนาน โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องที่เราไม่ได้สนใจแล้วด้วยนะยิ่งนาน 555)
ผมว่าที่ดีสุดๆคือแบบที่ 5 ครับ
คือฟังไปด้วย อ่านซับภาษาอังกฤษไปด้วย แบบนี้เวิร์คสุด รู้สึกว่าดูรู้เรื่องขึ้นเยอะอะ คือเอ็งจะพูดเร็วพูดรัวพูดเบาพูดเรื่องวิชาการหรืออะไรที่เป็นทางการมากๆก็เอาเลยไม่หวั่น ยังไงก็มีตัวหนังสือด้านล่างช่วยชีวิตอยู่แล้ว 555 และในแบบที่ 5 นี้ ถ้าดูหนังที่เนื้อหาสบายๆนี่ ยิ่งมีความสุขใหญ่ครับ รู้สึกว่าเข้าใจได้เกือบจะทั้งหมดของหนังเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเอามาดูเองที่บ้านจากแผ่นผมสามารถกด stop แล้วนั่งแปลตรงส่วนที่อ่านไม่ทันได้ด้วยยิ่งทำให้เราดูหนังได้เข้าใจมากขึ้นและได้เป็นการฝึกภาษาจริงๆอีกครับ คือฝึกหมดเลยตั้งแต่ฟัง , อ่าน , คำศัพท์(ทั้งการแปลและการออกเสียงที่ถูกต้อง) , แกรมม่า , ลักษณะของการใช้ภาษา เช่น คำแบบนี้ใช้ได้ในสถานการณ์แบบนี้ทำนองนี้อะ อีกอย่างหนึ่งคือการดูหนังแบบนี้ผมว่ามันจะไม่รู้สึกสะดุดครับ คือ ถึงต่อให้จะนั่งอ่านซับยังไงก็ไม่รู้สึกสะดุดอะ เพราะสิ่งที่ตัวละครพูดหรือที่เราได้ยินมันตรงกับตัวหนังสือที่เรากำลังอ่านอยู่ทำให้ดูแล้วลื่นไหลและไม่รู้สึกว่าซับเป็นส่วนเกิน ถึงแม้เราอาจจะแปลออกมาได้ไม่ได้สวยหรูอะไรอย่างคนที่เขาเก่งภาษามากๆแต่เราก็เข้าใจแบบของเราเองและที่สำคัญคืออารมณ์ของหนังหรือความหมายมันก็จะไม่ค่อยไปคนละทางจากหนังมากนัก มันเหมือนทำให้เราได้เรียนภาษาอังกฤษจากความเข้าใจนะครับ บางครั้งผมพอเข้าใจว่าหมายถึงอะไรแต่แปลออกมาเป็นไทยให้ดีไม่ถูกก็จะแบบช่างแม่มละ เอาเป็นว่าความหมายมันประมาณนี้แล้วกัน 555 สนุกดีครับ
สรุปถ้าจะเอา สนุก , เข้าใจ และได้ฝึกภาษาอังกฤษอย่างแรง ต้องแบบที่ 5 นี่ล่ะในความเห็นของผม ส่วนแบบที่ 2 นี่คือแบบไว้รอให้เก่งกว่านี้มากๆก่อนแล้วผมจะตามไป ฮ่าๆ
สำหรับแบบที่ 3
อันนี้ผมก็ชอบนะครับและคิดว่าข้อดีมี 2 อย่างหลักๆ คือทำให้เราสามารถดูหนังเรื่องนั้นได้แบบเข้าใจอย่างถ่องแท้ทะลุปรุโปร่งโดยไม่เสียอรรถรส ได้รู้ความหมายของคำพูดของตัวละครด้วยภาษาที่มีการแปลมาเป็นไทยอย่างสวยงามเหมาะสมแล้ว ผมว่าข้อดีคือตรงนี้ ถ้าดูแบบนี้บ่อยๆข้อดีอีกข้อ คือผมว่าจะทำให้ได้ไอเดียในการแปลภาษาอังกฤษมาเป็นไทยเพิ่มขึ้นนะครับ ก็ดีไปอย่าง แต่ข้อเสียคือรู้สึกว่าการฝึกภาษาจะไม่ค่อยเต็มที่เท่าที่ควรอะ เพราะการอ่านซับนั้นจะทำให้เราสะดุดครับเนื่องจากมันไม่ตรงกับที่เขาพูดทำให้บางทีเผลออ่านซับจนไม่ได้ฝึกภาษา เพราะมัวแต่ไปทำความเข้าใจกับซับไทยอยู่(แต่ถ้าดูหนังเพื่อความสนุกอย่างเดียวมันก็โอเคนะ) และเหมือนแบบบางทีเขาพูดมาถ้าเราฟังไม่ถนัดเราก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ารูปประโยคหรือคำศัพท์ที่เขาใช้คืออะไร จะได้รู้แค่เพียงความหมายที่เขาแปลมาเป็นซับให้เท่านั้น แต่ถ้าส่วนไหนที่ฟังได้ถนัดก็จะทำให้เรารู้ว่า อ้อ รูปประโยคแบบนี้ ศัพท์แบบนี้ สามารถแปลมาเป็นไทยแบบนี้ได้ไรงี้ ก็จะทำให้ได้ฝึกภาษาเหมือนกัน แต่รวมๆผมว่าการดูแบบนี้จะได้ฝึกภาษาไม่มากครับแต่ก็ได้อยู่ในระดับหนึ่งและผมคิดว่าสำหรับคนไทยโดยทั่วไปๆเช่นผม การจะก้าวไปสู่ข้อสองได้ก็ควรจะต้องเริ่มต้นจากข้อ 3 ก่อนนะครับถึงจะดีและไม่เหนื่อยมาก เพราะถ้าข้ามไปข้อ 2 เลยจะเป็นอะไรที่ยากมากและจะพาลทำให้ดูหนังไม่สนุกครับ
ไงก็ตามต้องพึงระลึกไว้เสมออีกว่าในแบบที่ 3 นี้มีโอกาสที่การแปลซับจะผิดพลาดหรืออาจจะผิดความหมายไปจากที่ตัวละครพูดได้ เช่น จริงๆตัวละครอาจจะไม่ได้พูดแรงแต่ซับแปลซะแรงเชียว ทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครตัวนี้ไม่น่ารักเลย หรือถ้าอย่างแย่ก็คือแปลผิดความหมายไปเลย ดังนั้นแบบที่ 2 ในบางครั้งก็จะดีกว่า ณ จุดๆนี้ด้วยครับ
ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ
แก้ไขเมื่อ 26 พ.ย. 54 15:41:57
แก้ไขเมื่อ 26 พ.ย. 54 15:36:45
จากคุณ |
:
Keichun
|
เขียนเมื่อ |
:
26 พ.ย. 54 15:32:26
|
|
|
|
 |