นึกภาพเมื่อ 50 ปีที่แล้วนะครับ คุณตาผมบอกว่า ช่วงนั้น เป็นช่วงก่อนที่จะมีการสัมปทานป่าไม้ ต้นไม้ที่โดนสัมปทานนั้น มีตั้งแต่ขนาด 1 คนโอบขึ้นไป จนถึงขนาดใหญ่ ประมาณ 1 ต้น ต่อ 1 รถลากซุง ที่นาที่ทำปัจจุบัน เป้นป่าเสื่อมโทรม(ในสมัยคุณตา) ก็ยังต้องแย่งเก็บเกี่ยว กับช้างป่า กับหมูป่า(มาทีเป็นผูงครับ) บ้าง ช้างป่าจะมีหัวโจกตัวนึง ชื่อ ปู้ปันจืน แปลก็คือ เจ้าผู้มีตะกั่วพันก้อน ตาเล่าว่าอาจจะเป็นช้างศึกเก่า เพราะงาสวย และคนแถว นั้นยึงด้วยปืนแก๊บไม่เข้า(น่าจะคล้ายๆ เจ้าแหว่งน่ะครับ)ก็เลยมีตัวกั่วติดตามเนื้อตามตัวเยอะแยะ พอคนยึงมันก็วิ่งหนี ถ้าเผลอก็ลงมากินข้าวที่ชาวบ้านปลูก(แสบดีมั้ยล่ะครับ)แต่พอหลังๆป่า เริ่มน้อยลง(ป่าที่ว่าเสื่อมโทนมนั่นแหล่ะครับ) เพราะคนเริ่มแผ้วถางทำนามากขึ้น ก็ไม่มี ใครเห็น ปู้ปันจืน อีกเลย หรืออาจจะโดนพวกนายอำเภอหรือคนจากทางการที่มีปืนไรเฟิล ยืงทิ้งไปแล้วก็ได้
---------------------------------------------------------------------------------------- ตอบคำถามดีกว่า สมัยนั้นป่าทึบมากครับ เลยต้องเริ่มจากที่รู้จักและใกล้ๆเสียก่อน ทำไมน่ะเหรอครับ เพราะป่าที่แม้แต่พรานยังไม่รู้จักไม่เคยเข้าไป พอไป มันก็หลงสิครับ อันตรายสารพัด ทั้งจากสัตว์และไข้ป่า ฉะนั้นเริ่มที่ๆรู้จักก้อนดีกว่า อีกอย่างนึงครับ เป็นการตามรอยคุณอนุชาครับ การตามรอยพวกที่ไปก่อนไปทางไหนเราก็ไปทางนั้นแหล่ะครับ แต่อาจจะมีแปลกที่บ้าง เพราะมีแผนที่จากหนังสัตว์อีกแผ่นนึง เป็นตัวกำหนดเส้นทาง ซึ่งจะผิดพลาดจากแผนที่ไม่ได้เพราะอาจจะผิดเพี้ยน ไม่ถึงจุดหมายและถ้าพวกแรก ไปถึงที่หมายจริงๆก็คงต้องอยู่ที่ปลายทางแล้ว ก็เลยต้องตามไปจนถึงปลายทางนั่นแหล่ะครับ ทีนี้ ยังคิดจะเริ่มที่แม่ฮ่องสอนหรือปล่าวครับ
จากคุณ |
:
หน่อย (Noi_oN_Co)
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ธ.ค. 54 08:03:32
|
|
|
|