PANTIP.COM : A11470807 ==บทสัมภาษณ์ Martin Freeman (Bilbo Baggins จาก The Hobbit) อีกแล้ว จากนิตยสาร Total Film ฉบับกุมภา 2555== [ภาพยนตร์ต่างประเทศ]

ความคิดเห็นที่ 5

http://s3.amazonaws.com/data.tumblr.com/tumblr_lwcy8bZY9p1qfhzgyo6_r1_1280.jpg?AWSAccessKeyId=AKIAJ6IHWSU3BX3X7X3Q&Expires=1324236261&Signature=6E4NRLJcIWSvPrAIZOTWeFsOodU%3D

หน้าสุดท้าย
ตัวละครที่อยู่ในมิดเดิลเอิร์ธที่คนดูคุ้นเคยอย่างกอลลัมที่รับบทโดยแอนดี เซอร์คิส ที่มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับด้วย ("พีทจะบอกผมถ้าเค้าไม่ชอบอะไรในฉากนั้นๆ ทำให้ผมได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นเยอะเลย" แอนดีกล่าว) นอกจากนั้นยังมีตัวละครที่ไม่ได้อยู่ในนิยายต้นฉบับอย่างเลโกลัส (ออร์แลนโด บลูม) และกาลาเดรียล (เคท แบลงเชท) อีกด้วย ปีเตอร์อธิบายการปรากฎตัวของสองตัวละครนี้ว่า "ถึงหนังเรื่องนี้จะดัดแปลงมาจากนิยายเดอะฮอบบิทก็จริง แต่เราก็ใช้เนื้อหาอื่นๆ ที่โทลเคียนเสริมเข้าไปในนิยายลอร์ดออฟเดอะริงส์ด้วย ฉะนั้น คนดูจะได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวบิลโบและกลุ่มคนแคระด้วย นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมถึงต้องแบ่งหนังออกเป็นสองภาค"

ปีเตอร์ได้พิสูจน์ความสามารถในการถ่ายหนังภาคต่อแบบติดต่อกันแล้วเมื่อสมัยสิบกว่าปีก่อน แล้วถ้าเป็นความท้าทายอย่างการถ่ายทำแบบสามมิติล่ะ "ออกจะง่าย" ปีเตอร์กล่าว "ผมก็ขยับกล้องตอนถ่ายแบบสองมิติเพื่อให้คนดูเกิดความรู้สึกเหมือนดูหนังสามมิติอยู่แล้ว พอถึงตอนนี้ผมก็ไม่ต้องเปลี่ยนเทคนิคอะไรมาก ก็ถ่ายทำตามปกติ"

การถ่ายทอดบทประพันธ์ของโทลเคียนลงบนจอเงินเป็นเรื่องง่ายขึ้นกว่าการสร้างไตรภาคเมื่อสิบปีก่อน "เทคโนโลยีพัฒนาขึ้นมาก เทคนิคที่เราเพิ่งเริ่มหัดใช้สมัยลอร์ดออฟเดอะริงส์ก็ก้าวไกลไปมาก" หนึ่งในเทคนิคดังกล่าวคือ Digital Acting (Synthesping ซึ่งดิชั้นก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร ขอโทษค่ะ -/\-) "คนที่ผมเอา CGI มาร์ตินไปให้ดูเค้านึกว่าเป็นมาร์ตินตัวจริง" ปีเตอร์กล่าวยิ้มๆ "ขนาดเจ้าตัวยังตกใจเลย"

ถึงกราฟฟิคจะดีแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถมาแทนมนุษย์จริงๆ ได้ ผู้สร้างจึงต้องยอมพักกองชั่วคราวเพื่อรอให้มาร์ตินถ่ายซีรีส์ Sherlock ของช่อง BBC ให้เสร็จก่อนเลยทีเดียว เงื่อนไขนี้ทำให้มาร์ตินรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากหลังจากที่เขาคิดว่าต้องยกบทบิลโบให้คนอื่นเล่นแทนตัวเอง "ผมก็เศร้านะตอนแรก แต่ก็แอบคิดว่า 'ขอเกลียดหน้าคนที่มาเล่นแทนละกัน' " มาร์ตินยิ้มแบบเซ็งๆ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้เซ็งแล้วเนื่องจากเขาได้กลายเป็นบิลโบแบบเต็มตัว "สิ่งที่ยากที่สุดคือการทำตัวให้พร้อมและกระฉับกระเฉงอยู่ตลอด ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงห้วยกันลำบากขนาดไหน เดี๋ยวต้องมีอีกเยอะแน่ๆ" แต่มาร์ตินก็พร้อมที่จะลุยสุดตัว "ตอนนี้ที่ถ่ายไปก็มีแต่ฉากตลกมากกว่าอะไรหนักๆ ผมก็ถามพีทอยู่ตลอดว่า 'ไอ้ที่ว่าหนักน่ะเมื่อไหร่จะได้เห็นล่ะ' พีทก็บอกว่าเดี๋ยวได้เห็นแน่' "

แต่กว่าคนดูจะได้เห็นส่วน "หนัก" ที่ว่าก็อาจจะต้องรอกันถึงภาคสอง (กำหนดฉายช่วงคริสต์มาส 2556) ซึ่งรวมไปถึงฉากสู้รบและมังกรอาละวาด "หลายคนเห็นว่าเดอะฮอบบิทเป็นนิทานเบาๆ" แฟรน วอลช์ ภรรยาของปีเตอร์ ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้เขียนบทร่วมในลอร์ดออฟเดอะริงส์กล่าว "บรรยากาศของเรื่องยังดูสนุกสนานอยู่บ้าง แต่พอไปใกล้ๆ ตอนจบ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่โทลเคียนเริ่มเขียนลอร์ดออฟเดอะริงส์ บรรยากาศของเรื่องจะมืดหม่นลงมาก เพราะว่าเนื้อหาหลักของลอร์ดออฟเดอะริงส์จะออกไปทางแนวนั้น โทลเคียนเองยังกล่าวไว้เลยว่าการเขียนนิยายไตรภาคเรื่องนี้เปรียบได้กับการหลั่งเลือดเลยทีเดียว"

ถึงแม้จะต้องรอให้หนังภาคสองสำเร็จลุล่วงเพื่อเชื่อมโยงหนังเดอะฮอบบิทกับลอร์ดออฟเดอะริงส์เข้าด้วยกัน แต่หนังภาคแรกก็น่าจะเพียงพอที่จะดันปีเตอร์ขึ้้นไปอยู่ในรายชื่อผู้กำกับมากฝีมือระดับโลกแล้ว "ตอนที่ผมเอาโครงการหนังเรื่องนี้มาสานต่อจากกิลเยร์โม ผมก็ต้องทำออกมาให้เหมือนที่ผมคิดไว้ เอกลักษณ์และกลิ่นอายของกิลเยร์โมก็ยังอยู่ในงานนั่นแหละ แต่ผมไม่ได้คิดจะทำให้มันออกมาอย่างที่กิลเยร์โมคิดไว้หรอกนะ ผมก็ถ่ายตามแบบที่ผมคิดว่าใช่ เพราะผมคิดว่าผมต้องกลับไปเป็นผู้กำกับคนเดิมที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเหมือนสมัยที่ทำลอร์ดออฟเดอะริงส์" ปีเตอร์ยิ้มกว้าง
แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 54 16:30:05

จากคุณ : G i f t b o x

เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 02:25:54