 |
จากนั้นเธอก็สอดมือเข้าไปที่ท้องน้อยผ่านชุดของเธอก่อนจะล้วงมือเข้าไปลึกจนสุดข้ออย่างง่ายดาย เหมือนกับตอนที่ล้วงเข้าไปในสมองไม่มีผิด... และในตอนที่ผมกำลังตะลึงอยู่คิสช็อตก็ดึงมือขวาของเธอออกมาจากท้องและในมือขวานั้นก็กำบางสิ่งที่ดูคล้ายๆด้ามดาบ ด้ามของมันดูคล้ายกับด้ามดาบญี่ปุ่น และการเดาของผมก็ถูกต้อง ดาบที่คิสช็อตดึงออกมาจากท้องเป็นดาบใหญ่ที่มีความยาวรวมกว่า 2 เมตร "ดาบมาร'โคโคโระวาตาริ' ดาบชั้นหนึ่งจากช่างตีไร้สังกัด แต่ดูเหมือนว่าคนตีจะมีชื่ออยู่พอสมควร แต่สำหรับเรา ขอเพียงมันใช้สะบั้นได้ก็เกินพอ" "เอ๋..." บาดแผลตรงช่องท้องของคิสช็อตหายไปแล้ว ผมได้แต่มองดาบเล่มนั้น...มันยาวพอๆกับดาบยาวของรามาเทอจี้ แม้ว่าเฟลมเบิร์กของดรามาเทอจี้จะมีรูปร่างตรึงใจแต่ดาบญี่ปุ่นก็มีความงามแบบเฉพาะของมันเหมือนกัน ถึงผมอยากจะบอกกับคิสช็อตว่าผมทองกับชุดของเธอมันไม่เข้ากันกับดาฐญี่ปุ่นเลยก้เถอะ แต่ทางที่ดีควรถามก่อนดีกว่าว่าอาวุธทั่วไปจะทนพลังของแวมไพร์ได้รึเปล่า "อย่าขยับ" หลังคำพูดนั้นเธอก็สะบัดดาบโคโคโระวาตาริทันที จริงๆมันดูราวกับการขยับเบาๆมากกว่าเพราะไม่มีแม้แต่คราบติดใบดาบ...ว่าแต่ เมื่อกี๊มันอะไรน่ะ "นี่..." "อย่าขยับ...เราฟันเจ้าไปแล้ว" "ฮะ...หา?" "รู้สึกเจ็บรึไม่?" "อ่า...เปล่า" "หืม...หมายความว่าฝีมือของเรายังไม่ตกสินะ...เอาล่ะขยับได้แล้ว ร่างกายเจ้าน่าจะรักษาตัวเองเสร็จแล้ว" "อะ...อะไรอีกเล่า...มุกที่สองต่อจาก'ไปรอบโลกมาแล้วเจ็ดรอบครึ่ง'รึไงกัน อีกอย่างเธอบอกว่าฟื้นฟูแล้ว แต่เสื้อผ้าของผมไม่น่าจะคืนสภาพตามนี่นา...แล้วตกลงเธอฟันที่ใหนกันเนี่ย?" "ร่างกายท่อนบนในแนวระนาบ...เรายังไม่สามารถตัดทุกอย่างโดยไม่ต้องยืนไม่ได้" "ไม่ต้องยืน" "ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อผ้า...ความคมของโคโคโระวาตาริเป็นของจริง แม้จะสะบั้นสิ่งใดไปหากทิ้งใว้ชั่วระยะเวลาหนึ่งมันก็จะเชื่อมต่อกันเอง แน่นอนว่าที่เป็นแบบนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะฝีดาบของเราล่ะนะ" ".................." ดูท่าจะจริงแฮะ "แต่ว่านะ การที่ดาบเล่มนั้นทนความสามารถ...เอ่อ ความแข็งแกร่งได้นี่ วัตถุดิบที่เอามาทำคงไม่ใช่ของธรรมดาสินะ?" "เป็นอย่างที่เจ้าพูด นี่ไม่ใช่ต้นฉบับ...โดยการใช้ต้นฉบับเป็นแม่แบบ ผู้ติดตามคนแรกของเราสร้างมันขึ้นมาจากเลือดเนื้อของเขาเราเพียงสืบทอดมันมา อีกอย่าง...ความคมของดาบเล่มนี้มีมากเกินไป ไม่ว่าเราจะฟันอะไรก็ตามตัวดาบก็จะยังคงความ
คมใว้เช่นเดิม จนสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าดาบเล่มนี้เหมาะจะต่อกรกับสิ่งแปลกประหลาดมาก" "สะบั้นสิ่งแปลกประหลาดงั้นเหรอ" "ถูกต้อง...โคโคโระวาตาริถูกเรียกด้วยชื่อนั้น ฉายานักฆ่าไคอิไม่ใช่ของเราแต่เป็นของดาบเล่มนี้" ระหว่างที่พูด...คิสช็อตก็เก็บดาบลงในท้องของเธอ มันดูราวกับกำลังคว้านท้อง...และอีกครั้งที่สามารถพิสูจน์ถึงความอมตะของเธอ แต่ถ้าดาบเล่มนั้น...เป็นของดูต่างหน้าของผู้ติดตามคนแรกที่เป็นอมตะเหมือนกัน...แต่คิสช็อตกลับบอกว่า ผู้ติดตามคนแรก...ได้ตายไปแล้ว "ถ้าแวมไพร์ที่เป็นอมตะตายลง ในอีกนัยนึง...นั่นคือเขาถูกกำจัดสินะ?" ดรามาเทอจี้ เอพพิโซด กิโยตินคัตเตอร์....เหล่าคนที่เหมือนสามคนนี้ไล่ล่าแวมไพร์มากว่า 400 ปี...ถ้างั้น... "ไม่ใช่" "เขาไม่ใช่ชายที่จะถูกฆ่าโดยคนอื่น" "งั้นเพราะอะไรล่ะ?" ทั้งๆที่เป็นอมตะ แต่ทำไมเขาถึงตายล่ะ "ฆ่าตัวตาย" คิสช็อตพูดอย่างไม่แยแส จากนั้นจึงทอดสายตาที่เย็นชาลงไปยังเมืองด้านล่าง "กาลเวลาเป็นสาเหตุที่ทำให้แวมไพร์ตายกว่า 90%" "............." "อีก 10% ที่เหลือเป็นการตายจากนักล่าและเหตุไม่คาดฝัน" "ฆ่าตัวตาย...ทำไมล่ะ?" "ความเบื่อหน่ายมันฆ่าคนได้...ไม่เคยได้ยินคำนี้หรือ?" ความเบื่อหน่าย...ฆ่าคน เคยได้ยินว่าความรู้สึกผิดฆ่าคนได้อยู่หรอกนะ แต่ความเบื่อก็ด้วยเหรอ "แม้ว่าจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และยุคสมัย แต่ในหลายๆกรณีไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์เลือดแท้หรือมาจากมนุษย์ก็ตาม...หลังจากอยู่มาได้ 200 ปีพวกเขาก็อยากจะตาย" "แต่...แล้วแวมไพร์ฆ่าตัวตายได้ยังไงล่ะ ไม่ใช่ว่าเป็นอมตะหรอกเหรอ?" "ก็ทำดังเช่นที่เจ้าทำในวันแรก...การพาตัวเองไปข้างใต้แสงอาทิตย์เป้นวิธีที่เร็วใช้ได้...หากจะเทียบก็คงเหมือนการกระโดดลงหน้าผากระมัง" "ขนาดนั้นเชียว" แต่ก็คงใช่ มันคงจะเป็นแบบนั้น เขาต้องการที่จะตาย...เหมือนกับที่คิสช็อตบอกกับผม คิสช็อตบ่นเล็กน้อย "นับแต่นั้นเราก็ไม่ได้สร้างผู้รับใช้อีกเลยจนกระทั่งได้พบเจ้า" "...แล้วเธอไม่เบื่อเหรอ" ผมถาม...แต่บางทีนี่อาจไม่ใช่เรื่องที่ควรจะถามก็ได้ "เราไม่ได้อยู่มา 200 ปี...แต่เราอยู่มากว่า 500 ปี" "ไม่มีทางที่เราจะเบื่อ" คิสช็อตตอบมาแบบไม่มีข้อยืนยัน "ก็แค่ว่า...มีเวลาว่างมากไปเท่านั้น" "..................." "มันว่าง...เพราะว่าไม่มีอะไรทำ ถ้าหากว่าเราหาอะไรทำล่ะก็พวกนักล่าแวมไพร์ก็จะตามเรามา....เหมือนที่เจ้าสามคนนั้นตามเรามาในระหว่างการท่องเที่ยวนั่นแหละ" "ท่องเที่ยว..." ทีแรกผมคิดว่าเธอโกหก...แต่คิดอีกทีบางทีมันคงเป็นเรื่องจริง ก่อนหน้านี้ ณ ประเทศนี้ ...เธอสร้างผู้ติดตามคนแรกขึ้น "...ยังไงซะสิ่งที่ทำให้เราไม่เบื่ออย่างหนึ่งก็คือการกระทำบ้าๆของเจ้านั่นแหละ" บางทีเจ้าคงเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ยื่นคอของตัวเองให้แวมไพร์...คิสช็อตหัวเราะเมื่อพูดจบ หากจะเทียบอายุจริงๆของเธอแล้ว...เธอหัวเราะได้ไร้เดียงสาจริงๆ "ไม่ก็อย่างการที่จู่ๆก็เรียกเราว่าคิสช็อต" "อา...เรื่องนั้นน่ะ มันไม่ค่อยมีเวลาเลยไม่ได้ถาม แต่ดูเหมือนทุกคนจะแปลกใจทั้งนั้นไม่เว้นแม้แต่โอชิโนะ...มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำงั้นเหรอ?" "ไม่มีใครโง่พอจะเรียกแวมไพร์ด้วยชื่อจริงหรอก" "ชื่อจริง?...มันทำนองเดียวกับชื่อต้นรึเปล่า?" "...เปล่าประโยชน์ที่จะอธิบาย อาเป็นว่าโลกนี้....ไม่สิยุคสมัยย่อมต่างกัน ไม่ใช่แค่เรา แต่รวมถึงสามนักล่านั้นด้วย บางทีการแต่งตัวของเราอาจจะตกยุคไปแล้วหากว่าเราต้องการที่จะตามสมัยนิยมบางทีคงต้องดูการแต่งตัวของเจ้าหนูนั่นเป็นแบบ" "ถ้าจะดูโอชิโนะเป็นแบบไอ้เสื้อสีฉูดฉาดนั่นผมว่ามันคงไม่เหมาะนะ" "มากกว่าความเหมาะสมคือความเป็นจริงนะ" แต่จะยังไงก็ช่างเถอะ...คิสช็อตว่างั้น "เรื่องที่เราอยากจะพูดก็พูดไปแล้ว เอาล่ะเราอยากจะฟังเรื่องของเจ้าบ้าง เจ้ามีชีวิตอยู่มา 17 ปีแล้วใช่ใหม? คงไม่ได้มีชีวิตไปวันๆหรอกนะ ลองเร่องอะไรที่น่าสนใจมาหน่อยสิ" "หวาว..." ท่าทางจะเอาจริงแฮะ แต่จู่ๆจะให้พูดถึงเรื่องที่น่าสนใจนี่มันก็ยากอยู่นา "เอ่อ...งั้นก็เอาเป็นเรื่องสั้นๆก็แล้วกัน...คือมีผู้ชายคนนึง เขาเป็นคนดีมากเสียแต่ว่าเขามีนิสัยชอบดื่มแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่อยู่มาวันนึงเขาขับรถกลับบ้านหลังจากที่พึ่งดื่มมาและชนใส่เด็กผู้หญิงที่ข้ามทางในระหว่างที่ไฟยังเป็นสีเขียวตอนนั้นเขา
ไม่รู้เลยว่าเขาขับรถชนเด็กผู้หญิงคนนั้นแต่ในวันรุ่งขึ้นในตอนที่เขาไปที่รถเขาพบว่ามีคราบเลือดติดอยู่บนกันชนของเขาเขาจึงได้รู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และในหนังสือพิมพ์เขาได้รู้ชื่อของเด็กผู้หญิงคนนั้น เธอชื่อริกะจัง ตามปกติเขาควรจะมอบตัวแต่ว่าเขาไม่
อยากติดคุกเขาคิดว่าใหนๆมันก็ไม่มีพยานดังนั้นเขาควรจะเงียบใว้และในคืนนั้นเขาก็ได้รับโทรศัพท์ว่า'หนูคือริกะจัง ตอนนี้หนูอยู่ที่หน้าอาพาร์ทเมนท์ของคุณ'จากนั้นเธอก็วางหู เขาตัวสั่น...ริกะจัง เป็นไปไม่ได้ แต่นั่นก็เป็นเสียงของเด็กสาวจริงๆ หรือว่า
เด็กที่เขาขับรถชนนั้นตายไปแล้ว จากนั้นชายหนุ่มก็ได้รับโทรศัพท์ครั้งที่สอง 'หนูคือริกะจัง ตอนนี้หนูอยู่ที่ชั้น 1 แล้ว' ห้องพักของเขาอยู่ชั้น 5 เด็กสาวคนนั้นต้องมาหาเขาแน่ๆ และนั่นยิ่งทำให้เขาสั่นมากขึ้นแล้วจู่ๆโทรศัพท์ก็ดังอีกครั้ง เมื่อเขารับแล้ว
เสียงที่พูดออกมานั้นคือ'หนูคือริกะจัง ตอนนี้หนูอยู่ในลิฟท์แล้ว'อย่าคิดไม่ซื่อล่ะ..." "..........." ไร้ซึ่งการตอบรับโดยสิ้นเชิง ผมพูดยาวไปงั้นเหรอ...เรื่องตลกแบบเรื่องยาวมันน่าเบื่อไปสินะ "อ่า...ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก...แค่เรื่องธรรมดาๆก็พอ" "อุก...." ความภาคภูมิใจของผมราวกับโดนทำร้าย... ถึงพื้นฐานแล้วผมจะเป็นคนตรงๆก็เถอะ แต่ถ้าโดนมองอย่างสังเวชขนาดนี้แล้วจะให้อยู่เฉยคงไม่ใหว "ย่อมได้ งั้นเจอกับก๊อกสองหน่อย" "โฮ่..." "ศาสตราจารย์คล้ากเคยพูดใว้...'Boys be anchovy'(เล่นมุกกับคำว่า ambitious) ".........." ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม...มุกสั้นๆก็ไม่ใหวเรอะ "ก๊อกสาม!!! ผมนึกขึ้นมาได้เพราะเราคุยกันเรื่องประวัติศาสตร์โลก ผมจะบอกเรื่องที่ผมเคยเข้าใจผิดให้ฟัง" "เราพร้อมที่จะฟังแล้ว" "คำถามมีอยู่ว่าหากพูดถึงวงล้อม ABCD ที่ล้อมรอบญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง จงกล่าวถึงชื่อประเทศที่เกี่ยวข้อง และผมก็ตอบคำถามนั้นไปว่า A คืออเมริกา B คืออังกฤษ C คือจีน D คือเยอรมัน" "............." คิสช็อตหันหน้าไปด้านข้าง...ไม่แม้แต่จะหัวเราะกับเรื่องของผม "เอ่อ...ส่วนที่ตลกก็คือผมเดาว่า B คืออังกฤษ แต่ผมดันอ่านตัว D ด้วยโรมันจิน่ะ...อีกอย่างในครั้งนั้นเยอรมันอยู่กับฝ่ายอักษะด้วย" ผมพยายามอธิบายมุก และในที่สุดคิสช็อตก็ตอบมา "...แล้ววงล้อม ABCD คืออะไร?" "ไม่ได้เข้าใจสามัญสำนึกของมนุษย์เลยเรอะ!!!" ยังไงซะมันก็คงจบแล้ว นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเที่ยงคืน และวันที่ก็ย่างเข้าสู่วันที่ 7 วันสุดท้ายของหยุดฤดูใบไม้ผลิของโรงเรียนเอกชนนาโอเอตสึ ผมกับคิสช็อตคุยกันบนหลังคาของตึกร้าง ผมรู้สึกราวกับว่าดวงตาที่เย็นชาของคิสช็อตนั้นเต็มไปด้วยเรื่องที่ผมเล่าแต่ในท้ายที่สุดพวกเราก็ตัดสินว่าทุกอย่างมันล้วนเป็นเรื่องตลกก่อนจะหัวเราะออกมา ผมคิดว่ามันคงเป็นการพูดคุยที่ไม่มีความหมาย ก็แค่การคุยกันทั่วไป แต่ว่า...หากว่าผมนึกย้อนถึงวันหยุดฤดูใบไม้ผลิ...ความทรงจำล้ำค่าที่ผมไม่มีวันลืมคงเป็นเรื่องที่ผมได้คุยกับคิสช็อตที่นี่ ณ ช่วงเวลานี้ ผมเชื่อแบบนั้นเพราะผมหัวเราะที่นี่ "เอาล่ะ" แม้ว่าคิสช็อตจะหัวเราะมากจนน้ำตาใหล แต่ความเย็นชาก็ไม่ได้หายไปจากแววตาของเธอ...คิสช็อตยืนขึ้น "ได้เวลา...ทำให้เจ้ากลายเป็นมนุษย์แล้ว" "อา...นั่นสินะ" ใช่แล้ว ผมลืมมันไปซะสนิท ผมลืมมันราวกับเป็นเรื่องธรรมดา...รู้สึกแปลกใจเหมือนกันแฮะ แต่เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็ว ยังไงซะงานเลี้ยงย่อมต้องมีวันเลิกรา "ลองมาคิดๆดู...ผู้ติดตามคนแรกไม่เคยพูดว่าอยากกลับไปเป็นมนุษย์เหรอ?" "...อืม...เรื่องมันค่อนข้างละเอียดอ่อนน่ะ" "ละเอียดอ่อนงั้นเหรอ?" ใช้ศัพท์ยากเป็นบ้า "ในตอนนั้นเรายังไม่สามารถที่จะทำให้แวมไพร์กลับเป็นมนุษย์ได้...แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ประสบการณ์สอนอะไรเราหลายอย่าง...เอาล่ะ เจ้าพร้อมหรือยัง?" "อา...อาจจะเป็นเพราะหัวเราะมากไปเลยรู้สึกหิวน่ะ ถ้าเป็นไปได้ผมขอหาอะไรใส่ท้องหน่อยได้มั้ย อต่รู้สึกอาหารที่เอามาจะหมดแล้วถ้ายังไงผมจะขอเวลาไปซื้อมาก็แล้วกัน" "หืม...ก็ดี จู่ๆการที่เราคืนร่างสมบูรณ์มาแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกหิวเหมือนกัน เจ้าพอจะรอได้รึเปล่า?" "ก็นะ...ไม่มีปัญหา" "แล้วเจ้าจะไปเอาเสบียงพกมามางั้นรึ?" "เสบียงพกพา...งั้นเหรอ" อะไรล่ะนั่น...ฟังดูเชยเป็นบ้า "ก็นะ ยังไงซะคืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายที่ผมจะเป็นแวมไพร์ มีอะไรที่อยากกินรึเปล่า?" "ก็ไม่มีของที่ชอบรึเกลียดหรอกนะ" "อืมมมม" เอาเหอะ ใงซะตอนนี้ก็คงมีร้านคอนวีเนี่ยนเปิดอยู่ซักร้านล่ะนะ ค่อยไปคิดเอาที่นั่นก็แล้วกัน "เอาเถอะ...ทำตามใจชอบเถอะผู้รับใช้ของเรา เราจะรอรับจิตวิญญาณของการเป็นผู้รับใช้ของเจ้าอยู่บนชั้นสองก็แล้วกัน" "โอเค" แล้วเราก็จบการเสวนาบนหลังคา ร้านสะดวกซื้อที่เปิดอยู่ใกลจากโรงเรียนกวดวิชาร้างมากชนิดที่หากเดินไปกลับเพื่อจะซื้ออะไรซักอย่างต้องใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง แต่ผมไม่ใช้พลังในการวิ่งของแวมไพร์หรอกนะ ผม...ไม่ได้รู้สึกอยากวิ่ง ผมจงใจเดินอย่างช้าๆ อืมมมม เราจะทำให้เจ้าเป็นมนุษย์...เธอว่างั้น ผมรู้สึกดีใจจริงๆที่ได้ยินแบบนั้น ผมมันก็แค่คนขี้ขลาด บางทีคงจะเหมือนกับสิ่งที่คิสช็อตคิด บางอย่างที่เธอจะทำให้ผมกลับเป็นมนุษย์ สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรมาก บางทีเธออาจจะแค่อยากหาคนคุยด้วยก็ได้ คิสช็อต อาเซโรร่า โอริออน ฮาร์ทอันเดอร์เบลด The Iron-Blooded, Hot-Blooded, Cold-Blooded vampire แวมไพร์ในตำนาน นักสังหารไคอิ "หลังจบเรื่อง...เธอคงจะไปที่ใหนที่ใหนซักที่" ผมรวบรวมชิ้นส่วนของเธอครบหมดแล้ว ไม่มีเหตุผลที่เะอจะอยู่เมืองนี้...ที่ประเทศนี้อีกแล้ว เธอบอกว่าท่องเที่ยวสินะ ถ้าจะคิดถึงเรื่องผู้ติดตามคนแรกแล้วเธอคงอยากกลับมาในสถานที่แห่งความทรงจำ...แต่ดูเหมือนว่ามันจะกลายเป็นความทรงจำที่เลวร้ายสำหรับเธอไปแทน ถูกโขมยทั้งหัวใจและแขนขา แถมผู้ติดตามคนที่สองที่สร้างมาดันเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาสามัญ แต่เธอก็ไม่พูดเรื่องน่าเบื่อกับผม "เธอถูกเชื้อเชิญให้เป็นพระเจ้าและปฏิเสธ...มันแตกต่างจากกิโยตินคัตเตอร์" ถ้าเธอไปจากที่นี่แล้วเธอคงจะเดินทางรอบโลกอีกครั้งสินะ ผมคิดว่าผมเริ่มเข้าใจว่าทำไมคนไม่เอาใหนอย่างโอชิโนะไม่ชอบพูดคำว่าลาก่อนแล้ว "ช่วยไม่ได้ล่ะนะ" มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต... สำหรับคิสช็อตสองอาทิตย์นี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าความทรงจำที่เลวร้ายแต่หากมองย้อนกลับไป สำหรับผมมันก็เป็นวันหยุดฤดูใบไม้ผลิที่ไม่เลวนัก คิดแบบนั้นดีกว่า "เอาล่ะ" งานเลี้ยงบนหลังคายังไม่จบและผมจะทำให้มันเป็นงานเลี้ยงอำลาที่สนุกสนานเท่าที่จะทำได้ ที่ร้านคอนวีเนี่ยน ผมใช้เงินเท่าที่มีทั้งหมดซื้อเค้กและขนมเท่าที่จะซื้อได้ก่อนจะรีบสาวเท้ากลับไปที่โรงเรียนกวดวิชาร้าง ระหว่างทางกลับผมคิดแต่ว่าจะกล่าวคำอำลากับคิสช็อตยังไงดี ผมเตรียมใจสักพักก่อนจะเข้าไปในห้องที่ชั้นสอง วันนี้เป็นวันที่ 7 เมษา เวลาคือตีสอง "กลับมาแล้ว" ด้วยอารมณ์นั้น ผมเปิดประตูด้วยความร่าเริงที่สุดเท่าที่จะทำได้ คิสช็อตกำลังทานอาหาร... กร้วม กร้วม กร็อด กร็อบ ปึด สวบ กร้วม กร้วม กร็อด กร็อบ ปึด สวบ กร้วม กร้วม กร็อด กร็อบ ปึด สวบ กร้วม กร้วม กร็อด กร็อบ ปึด สวบ เธอกำลังกิน...มนุษย์
จากคุณ |
:
Fate Linegod
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ม.ค. 55 23:25:59
|
|
|
|
 |