ดาราไทยกำลังเนื้อหอมในจีน จากกลุ่มแฟนละครโทรทัศน์ แต่ในวงการหนังจอใหญ่สดใสแค่ไหน ฟังประสบการณ์จาก "มาริโอ้ เมาเร่อ" และ มุมมองของนักวิจารณ์
การได้เป็นพระเอกหนังจีนเรื่องแรก ที่จะเปิดฉายในจีนเดือนหน้า และเตรียมถ่ายทำหนังฟิลิปปินส์ แฟนคลับเอเชีย และการเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากบทพระ ในหนัง "อุโมงค์ผาเมือง" บนเวทีเอเชียน ฟิล์ม อวอร์ดส์ ครั้งที่ 6 ซึ่งจัดโดยเทศกาลหนังนานาชาติฮ่องกง จะประกาศผลในกลางเดือนมีนาคมศกนี้ มาริโอ้ เมาเร่อ พูดถึงการทำงานต่างแดน ที่เขาถ่ายทำภาพยนตร์จีน และกำลังเตรียมถ่ายทำหนังฟิลิปปินส์ในสองเดือนข้างหน้า เส้นทางที่เขาบอกว่า เมื่อมีโอกาสก็น่าจะคว้าไว้
แต่เขามองว่าตัวเองจะก้าวไปเป็น "ดาราเอเชีย" หรือไม่อย่างไรนั้น มาริโอ้ บอกเพียงว่า ยังไม่ได้คิดถึงขั้นวาดภาพตัวเองเป็นดาราดังของเอเชีย แต่ดีใจที่มีคนดูต่างชาติให้ความสนใจ "ไม่ต้องมีแฟนคลับถึงร้อยหรอกครับ แค่มีคนมารับเราที่สนามบินหนึ่งคนหรือสองคน โอ้ก็ดีใจแล้วครับ" ชื่อของ มาริโอ้ ติดหูติดตาคนดูหนังในประเทศจีน
เมื่อถามความเห็น ถึงโอกาสบันเทิงไทยและดาราไทย นอกเหนือจากตัวเขาเองแล้ว ที่จะไปบุกตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีประชากรนับพันล้านคน น่าจะมีแววสดใสเพียงใด มาริโอ้เล่าให้ฟังว่า
"ผมว่าได้แน่ๆ ถ้าเราตั้งใจ เพราะตอนที่ผมไปถ่ายหนังจีน ออกไปนอกปักกิ่งเป็นชั่วโมง ที่โรงแรมที่ผมพัก คนจีนกำลังดูละครไทยของเอ็กแซคต์อยู่ ผมหันไปดูบนจอ เป็นพี่กิ๊ก มยุริญ (ผ่องผุดพันธ์) อยู่บนจอทีวีน่ะ และอย่างเรื่อง "สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก" ผมก็ไม่นึกว่าคนเขาจะดูแล้วชอบนะ เพราะมันไม่น่าจะเก็ทมุขได้ แต่ปรากฏว่าเขาชอบกันเยอะ"
"มีคนถามว่า เราจะทิ้งงานที่ไทยเหรอ ผมบอกเลยว่าไม่ เพราะโอกาสที่หนังไทยจะไปขายได้ที่นั่นไม่ง่ายเลย อยู่ดีๆ เราได้โอกาสนี้ผมดีใจมากเลยนะ เพราะการไปทำงานที่นั่น เหมือนผมได้งานด้วย และยังได้โปรโมทหนังไทยไปด้วย และการเข้าชิงรางวัลก็ถือว่าหนังไทยเราได้เข้าไปอยู่ในระดับเอเชียแล้ว"
มาริโอ้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะสำทับว่า ปัจจัยที่จะทำให้เขาดังระดับเอเชียได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวเขาคนเดียว แต่ฝ่ายผลิตภาพยนตร์ทีมงานทุกคนต่างหากที่ช่วยกัน ถ้าเขาดังในเอเชีย นั่นหมายถึงเป็นผลงานของทีมงานฝ่ายผลิตทั้งหมดด้วย
แม้จะถ่อมตัว แต่มาริโอ้ เตรียมแผนลุยเอเชียควบคู่กับงานในเมืองไทยแน่นอน รวมถึงการเตรียมตัวเรียนภาษาจีน
"ถึงจุดหนึ่งคิดว่าก็ต้องไปเรียนจริงจัง เพราะว่ามันต้องใช้ อย่างหนังจีนเรื่องแรก โอ้ท่องบทภาษาจีนแบบพยายามจำความหมายของมันให้ได้ แต่ก็ยังมีบางทีหลุด จนทางทีมงานเขาเหวอตกเก้าอี้ไปเลย และการทำงานที่ไม่รู้ภาษา มันจะยากตรงที่เราต้องรอล่ามอย่างเดียวเลย ถ้ารู้ก็น่าจะง่ายขึ้น"
สำหรับการออกไปทำงานนอกประเทศ มาริโอ้ ภายใต้การดูแลของ บริษัท PR Asia Inc. (เอเยนต์ในธุรกิจบันเทิงที่เป็นตัวแทนดาราและคนดัง) ที่ดึงมาริโอ้ ไปแสดงภาพยนตร์ฟิลิปปินส์ ของแดนตากะล็อก มีแววรุ่งโรจน์ หลังจากได้เซ็นสัญญาเล่นหนังสัญชาติ ฟิลิปปินส์ ผลิตโดยบริษัท สตาร์ ซีนีมา ในแนวหนังโรแมนติกดราม่าชื่อเรื่องชั่วคราว Suddenly It's Magic คู่กับดาราขวัญใจวัยรุ่นฟิลิปปินส์ชื่อ อีริช กอนซาเลซ กับพล็อตเรื่องว่าด้วย ซูเปอร์สตาร์หนุ่มชาวไทยที่ข้ามแดนไปพบรักในฟิลิปปินส์ หนังจะถ่ายทำทั้งในไทยและฟิลิปปินส์ และพูดสามภาษา (ไทย อังกฤษ และตากาล็อก) กำกับโดย โรรี ควินโตส ผู้กำกับหญิงที่มีผลงานทั้งทีวี และภาพยนตร์ กำหนดถ่ายทำอีกสองเดือนข้างหน้า
- โอกาสดาราไทย สดใสแค่ไหนในเอเชีย
ประเด็นนี้สะท้อนโดย ก้อง ฤทธิ์ดี นักวิจารณ์ภาพยนตร์และหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินรางวัลเอเชียน ฟิล์มส์ อวอร์ดส์ ที่ฮ่องกง ซึ่ง มาริโอ้ มีสิทธิลุ้นในปีนี้ด้วยนั้น เอ่ยถึง โอกาสของดาราไทยในเวทีนี้ว่า
"ในเอเชียน ฟิล์ม อวอร์ดส์ เป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาลหนังฮ่องกง และทางเทศกาลเขาจะเป็นคนเลือกผู้เข้าชิง แล้วให้คณะกรรมการโหวตตัดสิน สำหรับ มาริโอ้ คราวนี้ เขาได้เข้าชิง เรามองได้ 2 แง่ คือ หนึ่ง - เขาทำได้ งานโดดเด่นด้วยในบทการแสดง (จากอุโมงค์ผาเมือง) และ สอง -เขามีตลาด หมายถึง รางวัลนี้มันจัดขึ้นเป็นอีเวนท์และมีการถ่ายทอดออกทีวีในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย ในแง่เรตติ้ง อิงการตลาด ทางคนจัดเขาก็อยากได้ดารามางาน ซึ่งมาริโอ้ก็ถือเป็นดาวรุ่งด้วย รู้สึกเขามีตลาดในเมืองจีน มีแฟนคลับ ในจีน และได้เล่นหนังฟิลิปปินส์ด้วย"
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายถึงเวทีรางวัลจะหวังดึงดาราเท่านั้น เพราะบางปีรางวัลนี้ก็มอบรางวัลให้หนังอาร์ต เช่นปีที่ผ่านมา "ลุงบุญมีระลึกชาติ" คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีนี้เป็นต้น
นอกจากนี้ ก้องยังมองว่า อีกเหตุผลที่ทำให้มาริโอ้ก้าวสู่ตลาดเอเชียได้คือ "ลักษณะรูปร่าง หน้าตาของเขาถูกใจตลาดของแถบนี้ เลยไปถึงเอเชียตะวันออกและเกาหลีด้วยก็ได้นะ"
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองถึง ดาวรุ่ง จากเมืองไทย ที่เคยเป็นความหวังจะดังระดับดาราเอเชีย มีหลายตัวอย่าง ที่เหมือนจุดพลุและยังไม่ได้ฉุดระบบ "ดารา" ให้เปล่งประกาย อย่างเมื่อ 7 ปีก่อน จา พนม และ "องค์บาก" ทำให้หนังไทยโกอินเตอร์คึกคักในระดับมหภาค หรือ การเดินสายเล่นหนังนานาชาติของ อนันดา เอเวอริงแฮม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ยังไม่ถือว่า "บารมีดารา" หรือ star powers ของดาราไทยแจ่มจรัสในแบบยกระดับอุตสาหกรรม เหมือนกรณีสร้างฝันปั้นดาวของวงการบันเทิงเกาหลีใต้
ก้อง ให้ความเห็นว่า เหตุผลน่าจะมาจาก ระบบการสร้างดารา ของไทยยังไม่มีแผนแม่บทชัดเจน
"เกาหลีเขามี star system เขามีระบบปั้นดารา เขาสร้างระบบการตลาด ระบบการโปรโมทเป็น manufacture เต็มที่ช่ววยดันให้หนังขายได้จากคนแสดง เราเคยมีระบบนี้ ในสมัยมิตร-เพชรา ซึ่งมันขายง่าย หนังจะผลิตได้เรื่อย พอไม่ขาดทุน เพราะมีดาราช่วยขาย อย่าง จีนเขายังส่งออกดารานักบู๊ ฮ่องกงก็ดรอปไปบ้าง และไต้หวันก็มีดาราวัยรุ่น แต่ยังไง ดาราไม่มีใครขายได้ตลอด มันต้องมีการสร้างรุ่นใหม่มาเรื่อยๆ แม้แต่ทอม ครูซ ก็ต้องตก"
"คิดว่าตอนนี้ค่ายจีทีเอชก็คงพยายามไปทางนี้อยู่ ในเชิงการตลาด ดารามันขายง่ายและได้ทุกประเทศ เพราะเป็นสิ่งที่มีเลือดเนื้อคนจับต้องได้ แต่ในยุคสมัยใหม่ ต้องมีองค์ประกอบ คือ ดาราเป็นโปรดักท์ส่วนหนึ่ง แต่หนังก็เป็นโปรดักท์ มันต้องมีการผลิตดารา ที่จะแทนที่กันมาเรื่อยๆ อย่างเกาหลี มันจะมีรุ่นใหม่มาต่อ ฮอลลีวู้ดก็เหมือนกัน เมื่อก่อนเขามีจูเลีย โรเบิร์ตส์ ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปตามสมัย เมืองไทยไม่มีระบบ ที่ชัดเจน ว่าเราจะขายได้"
ขณะที่หนังไทยสามารถติดอันดับหนังทำเงินในประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น "กวน มึน โฮ" หรือ "สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก" ยังไม่รวมถึงหนังแนวผี สยองขวัญ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความน่ากลัว แต่กรณีของดารา ยังเป็นได้แค่ ดาวรุ่ง และจางหายไปเป็นกับกระแส อาทิ แน็ก ชาลี จากหนัง เด็กหอ ของค่ายจีทีเอช ที่เคยมีแฟนคลับในเกาหลีช่วงหนึ่ง แต่ยังคงเป็นกลุ่มเล็ก
"กรณีที่เฉียดใกล้ที่สุดน่าจะเป็น โทนี่ จา เคยมีความพยายามที่จะขายดารา เพราะเขามี star power แต่พอคุณภาพของหนังดรอปจากเรื่องแรก(องค์บาก) มันก็อาจจะจับตลาดไม่ได้ หรืออย่าง อนันดา ก็เคยไปเล่นหนังนอกบ้าน 1-2 เรื่อง แต่การที่เขาไม่มีเอเยนต์หรือบริษัท วางแผนเป็นระบบ ในแง่ จัดการ มีแค่คนคุมคิว เพราะการจัดการ มันต้องมองให้ชัดว่า ตลาดเราอยู่ตรงไหน จะส่งออกใคร หรือหนังหรือแบบไหน ก็เลยอาจจะยังไม่เห็นผลชัดเจน ซึ่งตรงนี้เรายังไม่เห็นทั้งในระบบเอกชน และ รัฐนะ"
นอกจากนี้ ก้อง ยังชี้ว่า "หนังดี มันขายตัวเองได้อยู่แล้ว แถบนี้ถือว่าไทยเราส่งออกได้มากอยู่นะ ดาราก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ฉุดให้หนังไทยขายได้มากขึ้น แต่ถ้าหนังห่วย มันก็ดรอป แต่ถ้าเรามีระบบชัดเจน ดาราจะเป็นสิ่งขายได้ง่าย มันเห็นเป็นเนื้อหนังและในเชิงการตลาด มันจะ convince ได้ง่าย มีดาราคนนี้แสดงก็ขายได้ก่อนแล้ว 50เปอร์เซนต์ ดารามันเป็นหน้าเป็นตาน่ะ" นักวิจารณ์ภาพยนตร์คนเดียวกันสรุป.
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/20120210/435406/ดาว(จะ)รุ่งในเอเชีย.html