ความคิดเห็นที่ 1 การปูเรื่องที่ทำให้เห็นความสำคัญกับตัวละคร(หมายถึงครอบครัวที่ไม่ใช่แค่ ม้าและคน) แต่กลับไม่ได้นำไปใช้ต่อเลยตั้งแต่ โจอี้ ถูกส่งไปในสงคราม ทำให้รู้สึกเสียดายความรู้สึกตรงนี้ที่ผู้ชมกำลังรู้สึกและมีอารมณ์ร่วมไปการเปิดเรื่อง แต่เพราะหลังจากช่วงต้น หนังต้องเปลี่ยนประเด็นไปเน้นย้ำถึงเรื่องความโหดร้ายจากสงคราม โดยผ่านตัวโจอี้ ซึ่งไม่ต่างจากการพาผู้ชมไปพบถึงความโหดร้ายด้วยวิธีการต่างๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนในสงครามจะกลายเป็นมนุษย์ที่อยู่อีกจำพวกหนึ่งกับมนุษย์ทั่วไปโดยทันที แต่ด้วยความเน้นย้ำมากมาย จากตัวโจอี้ ที่ต้องไปอยู่หลากหลายประเทศ เปลี่ยนตัวละครมากมายเป็นพัลวัน ทำให้อารมณ์ความต่อเนื่องของผู้ชมไม่คล้อยตาม จนบางครั้งอาจเกิดความน่าเบื่อโดยไม่ตั้งใจ แต่เมื่อดำเนินมาถึงจุดหนึ่ง การนำเสนอภาพความน่ารัก ของบุคคลที่ปฎิปักษ์คนละขั้วกันในสงครามซึ่งต่างฝ่ายต่างออกมาช่วยโจอี้ ที่ติดอยู่กับรั้วลวดหนาม ซึ่งเป็นตรงกลางของสมรภูมิรบ เป็นการชี้นำให้เห็นความดีของมนุษย์ที่ยังมีความเมตตาต่อสัตว์อีกทั้งยังเป็นการนำเสนอที่เผยให้เห็นว่าแท้จริงมนุษย์ไม่ได้เลวร้าย สงครามต่างหากที่มันทำให้มนุษย์เลวร้าย นั่นแสดงถึงความอบอุ่น ความมีคุณธรรมในวิธีคิดของสปีลเบิร์กได้เป็นอย่างดี แม้ฉากนี้ถ้ามองอย่างไม่คิดอะไรอาจดูทำให้มันเป็นไปแบบตลกๆ ขำๆ แต่ถ้ามองในแง่ร้ายอาจเอนเอียงไปทางยัดเยียดความคิดให้ผู้ชมด้วยซ้ำไป ส่วนรายละเอียดประกอบรายทางในหนังของสปีลเบิร์ก มักมีความสมเหตุสมผล มีสาเหตุในการกระทำตั้งแต่ต้น(set up) เพื่อไปมีส่วนสำคัญในฉากอื่นต่อไป(pay off) ซึ่งถ้าสังเกตก็จะพบว่านี่คือวิธีการสำคัญที่จะทำให้หนังดูง่ายและเข้าใจในทันที ยกตัวอย่างในฉากที่ อัลเบิร์ต ถูกแก๊สทำให้ต้องปิดตาเพราะอักเสบ ถ้าถามว่าเพราะเหตุใด นี่อาจเพราะสปีลเบิร์กคิดฉากต่อมาไว้แล้วว่า ก็เพราะต้องการให้เห็นถึงความผูกพันของโจอี้ และอัลเบิร์ต ที่ไม่ต้องใช้ประสาททางตาเข้าใจหรือเห็นกันเลย แต่กลับจำได้ซึ่งกันและ หรือหมายถึง สิ่งพิเศษมักไม่ใช้แค่ดวงตาพิสูจน์ แต่ดวงใจจะบอกความพิเศษได้งดงามกว่านั้นมากมาย ดังนั้นอาจหมายถึงว่า สปีลเบิร์ก สามารถเล่าเรื่องได้อย่างตรงไปตรงมาและงดงาม การให้ผู้คนพักอารมณ์ตลอดทาง เป็ดในเรื่องเป็นตัวอย่างสำคัญ ที่ทำให้คนยิ้มได้ สุดท้ายจึงกล่าวได้ว่า War Horse แม้จะไม่ใช่หนังดีที่น่าขนลุกอะไร แต่ด้วยวิธีกานำเสนอทำให้มันมีความประทับใจตลอดเรื่อง แม้อาจจะยังไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ดีที่สุด แต่มันบ่งบอกถึงวิสัยทัศน์ของพ่อมดแห่งวงการฮอลลีวู๊ดได้เป็นอย่างดี ว่าเพราะเหตุใดชื่อของเขาจึงโด่งดังยอมรับไปทั่วทั้งโลก สปีลเบิร์กเองเคยกล่าวว่าการที่เขามาทำหนัง ทำให้เขามีเวลาใช้ชีวิตกับครอบครัวและลูกๆได้น้อยเต็มที แต่ถ้าหากเราสังเกตภาพยนตร์ของเขา เราจะพบว่า สปีลเบิร์กมีวิธีคิด ที่มีความน่ารักอบอุ่นต่อโลกผ่านภาพยนตร์ของเขาทั้งหมด และนี่อาจเป็นทดแทนการละเลยจากหน้าที่ของพ่อก็เป็นได้ และหากเปรียบภาพยนตร์ของสปีลเบิร์กเป็นหนังสือนิทาน สปีลเบิร์กคงเป็นผู้เล่านิทาน ที่ทำให้คนฟังหลงใหลติดตรึงใจก่อนนอนไปทุกคืน คะแนน 7.75/10 ติดตามบล็อกของผมที่ : http://a-bellamy.bloggang.com แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 55 20:24:12 จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 15:09:31

ความคิดเห็นที่ 2 War hourse โปรดักชั่นดีมากครับองค์ประกอบศิลป์ของหนังดีหมด ฉากสวยเหมือนยุคสงครามโลกจริงมากซึ่งเป็นจุดเด่นของสปินเปิกอยู่แล้ว แต่บทหนังมันนั้นอารมณ์มันขาดๆไปหน่อย ตอนกลางเรื่องมันไปเน้นตัวละครอื่นที่เอามาไปเลี้ยงมากไปและหลายตัวละครเหลือเกิน และก็มันเวอร์เกินที่ม้าตัวนี้รอดมาได้เพราะเจอแต่คนดีๆ เลยไม่ค่อยได้เห็นความผูกพันธ์ของพระเอกกับม้ามากเท่าไหร่ มาอีกทีตอนใกล้จบพระเอกเป็นทหารแล้ว ฉากจบมันเลยกึ่งๆเกือบจะอินแต่อารมณ์รักม้ามากของพระเอกมันหายไปตอนกลางเรื่องแล้ว... คิดว่าพระเอกตาจะบอดไม่เห็นม้า ถ้าเป็นแบบนี้จะซึ้งมากเลย แต่สปินเปิกแกทำหนังเด็กก็เข้าใจอยู่ ปล.อยากให้อารมณ์หนังมันได้ประมาณที่วางไว้คือพระเอกกับม้าสัญญาไว้วาจะเจอกันอีก ซึ่งต่างดิ้นรนหากัน แต่บทพระเอกดันหายไปดื้อๆ และม้าโชคดีไปที่เจอแต่คนดีๆเกินไปและไม่ค่อยมีฉากเอาชีวิตรอดเท่าไหร่ แล้วถ้าพระเอกตาบอดด้วยจะเป็นอะไรที่น้ำตาเล็ดเลยเพราะพระเอกอยากเจอม้าแต่ไม่สามารถเห็นได้แล้ว แต่ก็ได้เจอแล้วม้าก็ตาย แต่หนังกลับจบแบบแฮปปี้จนพล็อตที่วางไว้มันงงๆ ทั้งเรื่องสงครามที่พ่อพระเอกเจอมาไรงี้ และก็เรื่องของลุงเด็กหญิงที่พบม้า แล้วยังมีเรื่องนกพิราบที่เลล่า ปล2.ที่ผมเข้าใจคือแกจะปูเรื่องการหนีหรือเอาตัวรอดมาจากสิ่งใดๆนั้นเพื่อมามีชีวิตอยู่ต่อไม่ใช่จะขี้ขาดเสมอไป แต่มันต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมหาศาสด้วย จากคุณ : Annagame เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 18:34:24

ความคิดเห็นที่ 3 เพิ่งไปดูมา ช้าไปหน่อย แต่ผมว่า เนื่องจากตัวบทเดิมมันแต่งสำหรับเด็กก็ออกจะแนวจบแบบคาดเดาได้ แต่ผมว่า หนังสร้างให้เห็นถึงความพลัดพรากตลอดเวลาไม่มีอะไรจีรัง แม้แต่เด็กสาวที่เลี้ยงก็ตายจากไป ม้าอีกตัวก็ตายจากไป แม้แต่โจอี้เมื่อเจอกะพระเอก ก็เกือบต้องจากไป เพราะว่า ประมูลสู้เค้าไม่ได้ แต่หนังไม่โหดมากเพราะว่า เป็นนิทานเด็ก น่ารักดีนะผมชอบ เบื่อพวกหักมุข ทำลายจิตใจ จากคุณ : bangkokguy เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 19:26:19

ความคิดเห็นที่ 4 เข้ามาอ่านครับ ชอบการตีความของคุณเจ้าของกระทู้มากๆ เป็นบทวิจารณ์ที่ดีเยี่ยมอีกชิ้นสำหรับหนังเรื่องนี้ครับ ขอร่วมแชร์ความเห็นเล็กๆน้อยๆด้วยคนนะครับ จากคุณ : N.p. ไม่เผยนาม เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 20:06:07

ความคิดเห็นที่ 5 นอกจากฉากสงครามทั้งหลายที่ผมว่าตอนนี้ต่อให้ Spielberg หลับตาทำก็ยังทำได้แล้ว ผมชอบที่เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้เป็นการมองสงครามผ่านมุมมองของม้า(ที่จะว่าไปแล้วก็อย่างกับเป็น Forrest Gump ฉบับม้าศึก)ที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องประสบกับความยากเข็ญของสงครามไม่แพ้กัน ไม่มีใครดีหรือเลวไปกว่าใคร ฉากที่ทหารจากทั้งสองฝ่ายมาช่วย Joey เป็นฉากที่นำเสนอในจุดนี้ได้ดีมาก ดูแล้วซูฮก Spielberg เพราะนี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เราได้เห็นฉากแนวๆนี้ในหนังสงครามและ Spielberg ก็กำกับมันได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ ป.ล. ฉากสงครามตอนการเรื่องที่พระเอกได้เป็นทหารแล้ว ดูแล้วนึกถึงฉากนี้ใน Paths of Glory หนังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสุดคลาสสิกของผกก. Stanley Kubrick จากคุณ : Apple101 เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 20:10:01

ความคิดเห็นที่ 6 ก็ตีความกันไป จากคุณ : ยัยกำปุ๊ง เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 20:35:36

ความคิดเห็นที่ 7 ผมว่าเครื่องหมายบนหัวม้า ก็เหมือนเหรียญกล้าหาญของพ่อพระเอก (ไม่ได้หมายถึง WY หรือ ฬ99 นะ) พอดีมีคนถาม จากคุณ : The Gentleman เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 21:20:32

ความคิดเห็นที่ 8 สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดแต่พอมองข้ามไปได้ คือ การใส่สกอร์เพลงเข้ามาในหนังมากจนเกินไป บางฉากถ้าปล่อยให้เงียบและค่อยๆ ซึมซับมันจะรู้สึกอิ่มกว่าการยัดเยียดสกอร์เข้ามา แต่มองข้ามจุดนี้ไปได้ เพราะ สกอร์นั้นเพราะมากกกกเลยทีเดียว ส่วนที่ดีที่สุดของหนังคือ ความสัมพันธ์ของม้ากับม้า ผมว่าสื่ออารมณ์ออกมาได้ดีกว่าความสัมพันธ์ของเจ้าของม้ากับม้าซะอีก อาจเพราะ เป็นความสัมพันธ์ที่ท้ายสรุปแล้วค่อนข้างน้ำเน่าไปนิดหน่อยเลยไม่ค่อยชอบความสัมพันธ์ของโจอี้กับอัลเบิร์ต ส่วนของคนชอบความสัมพันธ์ของทหารที่ซื้อม้าไปมากกว่า ช่วงเวลาที่ใช้ปูความสัมพันธ์น้อย แต่มันเล่าเรื่องของโจอี้ว่านี่แหละ คือ ม้าศึก ได้ดีทีเดียว และอีกสิ่งหนึ่งคือ ฉากสงครามที่ทำออกมาได้ดี ต้องยกให้สปิลเบิร์กเขาล่ะ เรื่องฉาก องค์ประกอบของสงครามที่ทำออกมาได้สมจริง และน่าประทับใจ โดยรวมทั้งเรื่องเป็นความรู้สึกชอบ แต่ไม่ได้ถึงขั้นประทับใจอะไรเท่าไหร่ แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 55 00:52:32 จากคุณ : Lodlem เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 00:50:46