 |
ดูเหมือน อารารากิคุงจะได้รับการปลุกแบบถึงเนื้อถึงตัวแบบกระชากลงจากเตียงในทุกๆเช้าจากคาเรนจังและสึกิฮิจัง น้องสาวของเขา ไม่ว่าจะในวันธรรมดา วันสุดสัปดาห์ หรือวันหยุดราชการ
จากคำพูดของอารารากิคุงดูเหมือนเขาจะรำคาญเหมือนกับว่าการปลุกแบบนั้นมันรบกวนเขามาก แต่ในสายตาของฉัน ดูยังไงก็เป็นแค่ "พี่น้องที่สนิทสนมกันดี" เท่านั้น
ว่ากันจริงๆแล้วฉันรู้สึกอิจฉา จริงๆนะ จริงๆ จะมีพี่ชายซักกี่คนในโลกนี้ที่ได้รับการปลุกแบบถึงตัวแบบนั้น หรือที่จริงฉัน
ควรพูดว่า อิจฉาคาเรนจังและสึกิฮิจัง ที่ได้เห็นใบหน้าตอนหลับของอารารากิคุงทุกเช้า
แหมก็มันน่าอิจฉาจริงๆนี่นา จริงๆนะ จริงๆ
ส่วนเรื่องที่ฉัน ฮาเนคาวะ สึบาสะ ตื่นขึ้นมาทุกเช้าแบบไหนนั้น ก็เหมือนกับที่ อารารากิคุง ถูกน้องสาวปลุกให้ตื่น
ฉันก็ถูกรุมบ้าปลุกให้ตื่นเหมือนกัน รุมบ้าไม่ใช่ชื่อแมวที่บ้านฮาเนคาวะเลี้ยงไว้ ไม่ใช่น้องสาวชื่อประหลาดๆอย่าง ฮาเนคาวะ รุมบ้า
แต่รุมบ้าเป็นชื่อของ หุ่นยนต์ทำความสะอาดอัตโนมัติ เรียกให้ถูกต้องตามรุ่นก็ต้องเรียกว่า รุมบ้า 577
ทุกเช้าเวลาหกนาฬิกา รุมบ้าที่ถูกตั้งเวลาให้ทำงานอัติโนมัติจะวิ่งตรงเข้ามาสะกิดที่หัวฉัน จนฉันตื่นขึ้นมา อย่างสดชื่นเบาสบาย แต่อันที่จริง ฟังก์ชั่นทำความสะอาดของรุมบ้าจะส่งเสียงดังมากเวลามันทำงาน จนแค่มันวิ่งเข้ามาใกล้ฉันก็ต้องตื่นขึ้นมาซะก่อนแล้ว
แต่ฉันก็ยังคงนอนหลับมารอให้มันสะกิด "กึก" ที่หัวเบาๆ บางทีฉันอาจจะหลงไหล "ความรู้สึกดีๆเวลาที่มีใครซักคนมาปลุก" ก็ได้ ถ้าพูดแบบคีตศิลป์ก็คือ ความรู้สึกแบบ เจ้าหญิงนิทรา แต่จะกับหุ่นยนต์ควรจะเรียกแบบนั้นไม่ได้หรือเปล่านี่..... ก็คงไม่ล่ะนะ
ไม่ไหวเลยฉันนี่ เจ้าหญิงนิทราเนี่ยนะ หากมองจากมุมมองของรุมบ้า ฉันก็เป็นแค่ของที่มาอยู่เกะกะขวางการทำความสะอาดพื้นเท่านั้นเอง ใช่ ฉันนอนอยู่ที่ระเบียง ฉันกางฟูกนอนอยู่ตรงระเบียงทางเดินชั้นสองของบ้านเดี่ยวสองชั้น สำหรับฉันแล้วมันเป็นเรื่องปกติธรรมดามากๆ แต่สำหรับคนอื่นเหมือนจะไม่ใช่ เคยเอาเรื่องนี้ไปคุยให้เพื่อนฟังโดยที่ไม่รู้ ฉันถึงกับต้องเสียเพื่อนไปคนหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาฉันจึงไม่ค่อยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังนัก
แต่ถึงอย่างนั้นจนป่านนี้แล้ว ฉันก็ไม่ได้อยากมีห้องนอนเป็นสัดเป็นส่วนของตัวเองหรอก มันเป็นอย่างที่ควรจะเป็น ไม่อยากให้เรื่องที่เป็นอยู่อย่างควรจะเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไป ไม่เคยร้องงอแงแบบเด็กๆ ว่าอยากได้ห้องของตัวเองซักครั้ง ใช่ๆ จริงด้วยสิ ฉันเคยเล่าเรื่องนี้ให้คุณเซนโจงาฮาระเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทกันดีฟังด้วย
เพราะคิดว่าถ้าเป็นเธอก็คงไม่เป็นไร เธอตอบมา
"อะไรน่ะเรื่องแบบนี้"
เธอว่าอย่างนั้น
"บ้านฉันน่ะ ไม่มีแม้แต่ระเบียงด้วยซ้ำ"
สำหรับคุณเซนโจงาฮาระที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเม้นท์เช่าห้องเดี่ยวกันสองพ่อลูกแล้ว มันกลายเป็นเรื่องกลุ้มใจที่ฟังดูหรูหราไปเลย
เปล่า ที่จริงฉันก็ไม่ได้กลุ้มอะไรหรอกนะ ไม่สิ ว่าไปเเล้วคงไม่ใช่แบบนั้น มองลึกๆ แล้ว ฉันคงไม่อยากที่จะยอมรับบ้านของตัวเองเป็น "ที่อยู่" ตรงข้ามกับที่พวกสัตว์พยายามทำให้กลิ่นของตัวเองไปติดอยู่ตามที่ต่างๆ
ฉันอาจจะแค่ไม่อยากอยู่ติดบ้านเท่านั้นก็ได้ ไม่อยากให้มีร่องรอยอะไรของตัวเอง ได้หลงเหลืออยู่ในบ้านหลังนี้
อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนั้น
.....ทำไมจะต้องมาวิเคราะห์ความคิดของตัวเอง ทำไมฉันถึงใช้คำว่า "อาจจะ" เรื่องพวกนี้ขอยกไว้ก่อนนะ "แหมถึง จริงๆ แล้วฉันจะหวังอะไรกับบ้านนี้ไว้ก็เถอะ อีกไม่กี่เดือนมันก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ต้องไปสนใจมันอีกแล้ว ไม่ต้องไปคิดมากดีกว่า"
ฉันพูดกับตัวเองขณะที่พับฟูกนอนเก็บ
ไม่ได้งัวเงียจนละเมอพูดกับตัวเองนะ สดชื่นตื่นเต็มตาเลยล่ะ
ที่จริงฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึก "งัวเงีย" มันเป็นยังไง ฉันรู้ตัวอย่างดีว่า สามารถบังคับเปิดปิดสติสัมปชัญญะของตัวเองได้ถึงระดับหนึ่ง ดังนั้นถ้าง่วงแค่นอนหลับซะก็พอ มันก็เท่านั้นเอง
อารมณ์ที่รู้สึกได้แบบนี้มันคงไม่เหมือนกับคนอื่นสินะ อย่างที่อารารากิคุงบอกไว้ตอนพูดเรื่องนี้ให้ฟังว่า "สำหรับเธอมันอาจจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่สำหรับผม แบบนี้มันต้องเรียกว่าปาฏิหาริย์แล้วล่ะ"
อะไรอย่างนั้น
"แต่แหม ปาฏิหาริย์นี่มันก็เกินไปหน่อยนะ" ฉันพูดกับตัวเองต่อไป
อยู่นอกบ้านฉันไม่ค่อยได้ทำแบบนี้หรอก แต่เวลาอยู่ในบ้านถ้าไม่พูดกับตัวเองบ่อยๆ ฉันอาจจะลืมวิธีพูดไปเลยก็ได้ คิดว่ามันแปลกๆ เหมือนกันเนอะ
แปลกพอๆ กับที่เวลาที่พูดกับตัวเองเรื่องของ อารารากิคุงแล้ว ก็จะต้องอายตัวเองขึ้นมาไปซะทุกทีเลย
เก็บฟูกนอนเข้าชั้น เดินไปล้างหน้า แล้วก็ใส่คอนแทคต์เลนส์ ตอนที่ยังสวมแว่นอยู่เวลาคิดเรื่องที่ว่า ต้องเอาอะไรไปสัมผัสกับดวงตาโดยตรง ก็รู้สึกกลัวจนไม่อยากคิดถึงมันแล้ว
หรือตอนที่ใส่คอนแทคต์ครั้งแรก ก็เอาแต่กลัวจนใส่คอนแทคต์เข้าไปทั้งที่หลับตาอยู่(แค่อุปมาอุปมัยค่ะ) แต่พอชินแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรอีก ไม่ว่าเรื่องยากแค่ไหนสำคัญที่ความเคยชิน
ว่ากันจริงๆแล้วมันสบายกว่าสวมแว่นซะอีกตรงที่จมูกกับหูไม่ต้องรับน้ำหนัก และพักนี้เวลาที่นั่งคิดถึงเรื่องของปีหน้าแล้ว ไม่ว่าจะใส่คอนแทคต์หรือใส่แว่นมันก็ลำบากทั้งนั้น เลยเริ่มมีความคิดที่จะไปทำเรซิคตอนที่ยังเรียนอยู่นี่ซะเลย แต่งตัวเรียบร้อยแล้วฉันก็เดินไปที่โต๊ะอาหาร
....................................... ที่นั่นคนที่ฉันควรจะเรียกว่าพ่อ และคนที่ฉันควรจะเรียกว่าแม่ นั่งทานอาหรเช้าอยู่ด้วยกันที่โต๊ะอาหาร
พวกเขาไม่ได้มองฉันที่เดินเข้ามาในห้อง ...........ฉันก็ไม่ได้มองพวกเขา
ถึงภาพของพวกเขาจะเข้ามาในสายตาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องมองเห็นพวกเขา ตาในใจมันพยายามหลบภาพพวกนั้น การมองเห็นด้วยตาในใจมันยาก แต่การทำเป็นมองไม่เห็นด้วยตาในใจมันง่าย
เสียงของผู้ประกาศข่าวข่าวช่วงเช้าที่รายงานอยู่ในโทรทัศน์ดังก้องไปทั่วห้อง เป็นเพราะอะไรกันนะ..... ฉันถึงรู้สึกว่าคุณผู้ประกาศข่าวในโทรทัศน์ที่วางอยู่ไกลออกไปนั่น อยู่ใกล้ตัวฉันยิ่งกว่าพวกเขาซะอีก
นั่นสิ เป็นเพราะอะไรกันนะ
จนบางครั้งฉันอยากจะทักทายเธอ(ผู้ประกาศข่าวในโทรทัศน์)ว่า "อรุณสวัสดิ์ค่ะ" จะว่าไปแล้วฉันไม่เคยพูดคำว่า "อรุณสวัสดิ์" ในบ้านนี้มากี่ปีแล้วนะ ถ้ากับรุมบ้าเท่าที่จำได้เคยพูดห้าครั้ง และอย่างที่บอกฉันไม่ได้พูดเพราะยังงัวเงีย แต่ตั้งใจพูดออกมาเอง ก็เจ้าเครื่องดูดฝุ่นนั่นน่ะ มันเคลื่อนไหวแปลกๆอย่างกับสิ่งมีชีวิต
แต่กับคนที่ฉันควรจะเรียกว่าพ่อ และคนที่ฉันควรจะเรียกว่าแม่แล้ว ฉันไม่เคยพูดอรุณสัวสดิ์กับพวกเขาเลยจริงๆ
.....ไม่....แม้แต่ซักครั้งเดียว อืม...น่าตกใจเหมือนกัน ตอนที่ฉันพูดเรื่องนี้ให้อารารากิคุงฟังในทำนองว่า
"ฉันก็พยายามทำตัวเข้าหาพ่อแม่แล้ว"
ดูเหมือนความเป็นจริงจะผิดกับคำพูด และที่คำพูดของฉันกลายเป็นคำโกหกก็ไม่ใช่ครั้งแรก
ตัวฉัน......... ประกอบขึ้นมาจากคำโกหก ตัวตนที่อยู่ห่างไกลกับความจริง ฮาเนคาวะ สึบาสะ
แค่นามสกุลก็ลักลั่นแล้วเนอะ (羽川 Hanekawa, Hane = ขน, Kawa = แม่น้ำ หมายถึงแม่น้ำจะมีขนได้ยังไง)
ฉันปิดประตูแบบไม่ให้มีเสียง เดินไปทางครัวเพื่อทำอาหารเช้าของตัวเองโดยพยายามไม่เฉียดผ่านโต๊ะกินข้าว พยายามไปที่โต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่ให้ช้าที่สุด
การต่อต้านที่เปล่าประโยชน์ ควรจะเรียกว่า การต่อต้านที่น่าเศร้า การกบฎแค่นั้นก็ยอมๆ ให้กันหน่อยเถอะ ไม่ได้จะปฏิวัติซักหน่อย บ้านของฉัน หรือในชื่อที่ฉันไม่อยากจะคิดถึงมันเท่าไหร่
บ้านฮาเนคาวะ มีอุปกรณ์ทำครัวอยู่เป็นจำนวนมาก มีเขียง 3 แผ่น มีดทำครัว 3 เล่ม กระทะ 3 ใบ หม้อ 3 ใบ ทุกอย่างจะมี 3 ชิ้น
ถ้าจะถามว่ามันมีความหมายว่าอะไร ใช่แล้วล่ะคนในบ้านใช้อุปกรณ์ทำครัวแยกกัน และก็เสียเพื่อนไปอีกคนหนึ่งด้วยเรื่องนี้
อ่างอาบน้ำก็ต้องต้มใหม่เวลาจะแต่ละคนเข้าไปอาบ ซักผ้าก็ซักแยกกัน แต่เรื่องแค่นี้ยังไม่ถึงขนาดทำให้เสียเพื่อน มันน่าแปลกดีเหมือนกัน
สำหรับฉันแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติอะไรเลย และถึงจะเสียเพื่อนไปซักกี่คนฉันก็ไม่คิดจะเปลี่ยนอะไรในบ้านฮาเนคาวะนี้ เวลาที่ออกจากบ้านส่วนใหญ่จะตรงกัน แต่เวลานั่งทานอาหาร "บางครั้ง" เท่านั้นที่จะอยู่พร้อมหน้ากัน และเป็นการอยู่พร้อมหน้าที่เหมือนกับนั่งรวมกับคนอื่นในโรงอาหาร
ไม่มีการพูดคุย ไม่มีความคิดที่ว่าจะทำอาหารเผื่ออีก 2 คนที่เหลือ
เลือกเครื่องครัวชุดที่เป็นของตัวเองขึ้นมาและก็เริ่มทำอาหารเช้า ทำอาหารทีละอย่างค่อยๆ เอามาวางที่โต๊ะทีละจาน เสียเวลาเดินไปทั้งหมด 4 รอบ
"ทานแล้วนะคะ"
ฉันพนมมือขึ้นก่อนจะหยิบตะเกียบ แต่ฉันไม่เคยได้ยินสองคนนั้นพูดคำนี้ ถึงฉันจะไม่พูดสวัสดีในบ้านเลยซักครั้งแต่ฉันไม่เคยลืมที่จะพูดว่า "ทานแล้วนะคะ" กับ "อิ่มแล้วค่ะ" เลยซักครั้งหลังจากปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา เพราะนั่นเป็นคำพูดที่ทีให้กับ สัตว์และพืชที่กลายเป็นวัตถุดิบของอาหารที่จะมาเป็นเลือดเนื้อของฉัน เหล่าชีวิตที่ถูกฆ่าไปเพื่อฉัน ขอรับประทานด้วยความขอบคุณ
เรื่องราวของเเมวเหมียว (ชิโระ (ขาว)) สึบาสะสมิง บทที่ 2 END
จากคุณ |
:
Fate Linegod
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ก.พ. 55 13:36:18
|
|
|
|
 |