บทที่ 5 “นี่ๆ รู้มั้ยๆ เมื่อเช้าตอนเดินมาโรงเรียนฉันเจอกับคุณเสือด้วยล่ะ”
“อ้อ เหรอ ว่าแต่ว่า คุณฮาเนคาวะ ฉันมีหน้าที่อะไรที่จะต้องไปฟังเรื่องนั้นด้วยหรือเปล่า? ที่พูดว่า รู้มั้ยๆ นี่ไม่ได้เป็นความหมายเชิงเกริ่นนำเรื่องแต่เป็นคำขอร้องใช่มั้ย?”
หลังจบพิธีเปิดภาคเรียน ขณะที่นักเรียกกำลังทยอยเดินกลับห้อง ฉันเดินเข้าไปหาคุณเซนโจงาฮาระ เพื่อนร่วมชั้น และเล่าเรื่องเมื่อเช้าให้ฟัง แล้วคุณเซนโจงาฮาระก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับ และแสดงท่าทีรังเกียจกลับมา แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความลึกลับน่าสงสัยของเนื้อหา
“มีอะไรเหรอ?” เธอเป็นฝ่ายยิงคำถามกลับมาก่อน
ช่วงปิดเทอมหน้าร้อนที่ผ่านมาคุณเซนโจงาฮาระได้ตัดผมที่เคยยาวถึงเอวของเธอทิ้งแบบไม่ใยดี และกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมของฝั่งคุณพ่อในทันที สำหรับอารารากิคุงแล้วฉันก็ไม่แน่ใจว่าเขาคิดยังไง แต่สำหรับฉันแล้ว คุณเซนโจงาฮาระผมสั้นเป็นอะไรที่แปลกตามาก แต่เดิมเธอเป็นคนที่มีใบหน้าเรียบคมอยู่แล้ว จะเป็นผมยาวหรือผมสั้น ก็ดูเข้ากับใบหน้าของเธอทั้งนั้น เพียงแต่ในสภาพผมสั้นแบบนี้ ภาพลักษณ์ของ “คุณหนูผู้ถือตัว” เมื่อตอนเทอม1 ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง จากการตัดผมที่เสริมภาพลักษณ์นั้นให้เธอ ออกไป และคนในชั้นเรียนเริ่มฮือฮาถึงเหตุผลที่เธอตัดผม (ที่จริงอาจจะเริ่มฮือฮาตั้งแต่ตอนที่ตัวฉันเองตัดผมแล้วก็ได้)
แต่ถ้าจะให้ฉันพูดแล้วมันเป็นเรื่องดี เพราะสำหรับเด็กผู้หญิง ม.ปลายแล้ว ภาพลักษณ์ของ “คุณหนูผู้ถือตัว” มันฟังเหมือนคำนินทากันมากกว่าคำชม
“บอกว่าเสืองั้นเหรอ? คุณฮาเนคาวะ ไม่ใช่แมว?” “อื้อ เสือ ไม่ใช่ แมว” “ไม่ใช่แมวขนลายเสือเหรอ?” “อื้อ เสือขนลายเสือ” “ไม่ใช่ม้าลายขนลายเสือเหรอ?” “ถ้าแบบนั้นฉันว่ามันเป็นม้าลายธรรมดาแล้วล่ะ แต่ก็ อื้อ ไม่ใช่ม้าลาย” “ถ้าเปลี่ยนชื่อเขตเนริมะ ให้เป็นเขตชิมะอุมะ(ม้าลาย) แล้วท่าทางคงจะมีอยากย้ายไปอยู่เพิ่มขึ้นนะ คิดว่างั้นมั้ย?” “ไม่คิด”
คุณเซนโจงาฮาระพยักหน้าและส่งเสียง หืม
“ทางนี้” เธอจูงมือของฉันพาไปยังเงาร่มของอาคารเรียน
ยังพอมีเวลาอีกหน่อยก่อนจะเริ่มโฮมรูม ยังไงออกจากแถวเดินกลับห้องกันก่อน – อะไรอย่างนั้น จะว่าไปนี่ก็เป็นเรื่องที่จะปล่อยให้เข้าหูคนอื่นที่อยู่ในห้องเรียนไม่ได้จริงๆนั่นล่ะ
ด้านหลังของโรงพละ พอพูดถึงชื่อสถานที่แล้วมันให้บรรยากาศน่ากลัวยังไงไม่รู้สิ แต่เพราะชมรมบาสหญิง ที่สร้างผลงานเอาไว้อย่างดีเมื่อปีที่แล้ว ทำให้พื้นที่รอบๆโรงพละพลอยได้รับการดูแลให้สะอาดเรียบร้อยขึ้นผิดกว่าแต่ก่อนมาก อากาศก็ปลอดโปร่ง จนเหมาะจะเป็นสถานที่ให้เด็กสาวมารวมตัวกันพูดจาภาษาดอกไม้บานเกี่ยวกับความรัก แต่พวกฉันกำลังจะมาพูดจาภาษาดอกไม้บานเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ หรือควรจะเรียกว่าพูดจาภาษาเฉาดอกไม้มากกว่า
“เห็นเสือ.... คุณฮาเนคาวะ แบบนั้นก็เรื่องใหญ่เลยน่ะสิ” “ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน อ๊ะ แต่ไม่ใช่เสือจริงๆนะ คงจะเป็นสิ่งลี้ลับมากกว่า เพราะมันพูดได้ด้วย” “นั่นมันก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย เสือของจริงสำหรับคนญี่ปุ่นมันก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งลี้ลับหรอก”
“อ๋อ” จะว่าไปมันก็จริง
คุณเซนโจงาฮาระยังชอบมองอะไรให้ดูเป็นเรื่องใหญ่โตไปซะหมดเหมือนเดิม ชอบมองให้ใหญ่โตแบบเรียลลิสติก
“ถ้าใครบอกว่า ที่จริงหมีแพนด้าเป็นภูติผี ฉันยังเชื่อเลย” “อืม อันนี้จะใช่แน่เหรอ” “ยีราฟ มันก็ผีคอยาวดีๆนี่เอง” “แบบนี้สวนสัตว์ก็กลายเป็นบ้านผีสิงสำหรับคุณเซนโจงาฮาระไปเลยน่ะสิ”
สงสัยจะเป็นอย่างนั้น คุณเซนโจงาฮาระพยักหน้ารับ ซื่อดีจัง
“แต่คุณฮาเนคาวะ ไปเจอของเหลือเชื่อเข้าจนได้นะ – น่าจะเรียกว่าเหลือเชื่อสมกับตัวคุณจริงๆ ก็มันเสือเชียวนะ เสือน่ะ เสือ! ปู หอยทาก ลิง ของคุณคาเรนเป็นอะไรนะ ผึ้ง ใช่มั้ย?(น้องปูเรียกน้องผึ้งว่า "คุณ"!!!!)
แล้วอยู่ดีๆมาโพล่งเป็นเสือนี่มันเหมือนกับกลุ่มเพื่อนๆที่วิ่งมาราธอนมาด้วยกัน รอเข้าเส้นชัยพร้อมกัน แต่ดันมีคนเสร่อออกวิ่งนำคนอื่นอย่างนั้นเลย ว่าไปว่ามาแล้ว มันยังดูเท่กว่าปิศาจ(แวมไพร์)ของอารารากิคุงตั้งเยอะ”
“วิธีมองเรื่องรอบตัวแบบนั้นของคุณเซนโจงาฮาระ นี่มีเอกลักษณ์ดีจังนะ.....” “แล้วโดนอะไรเข้าไปล่ะ?” “เปล่า ไม่ได้โดนอะไรเลย – คิดว่าอย่างนั้นนะ เพียงแต่เรื่องแบบนี้ตัวเองอาจจะไม่รู้ตัว ก็เลยมาลองถามดูนี่ไง ตัวฉันตอนนี้มีอะไรแปลกไปมั้ย?” “อืมม ก็คงเรื่องที่วันนี้ คุณฮาเนคาวะมาสายแบบผิดวิสัย ถ้าขาดเรียนเลยก็ว่าไปอย่าง แต่คงไม่ใช่เรื่องนี้ล่ะมั้ง?” “อื้อ” “ขอโทษนะ” ว่าแล้วคุณเซนโจงาฮาระก็ยื่นตัวเข้ามาใกล้ฉัน จ้องมองผิวของฉัน อย่างละเอียดเหมือนกับกำลังเลียมันอยู่ ไม่ใช่แค่ผิว ทั้งนัยน์ตา จมูก ขนคิ้ว ริมฝีปากก็ถูกเธอแยกตรวจสอบทีละส่วนไปจนหมด พอหมดทุกส่วนบนหน้าก็หันมาจับมือ ทั้งดึงทั้งกด เล็บ รวมไปถึงเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาบนหลังมือ
“.....ทำอะไรอยู่เหรอ? คุณเซนโจงาฮาระ” “ตรวจสอบว่าไม่มีอะไรผิดปกติไปน่ะสิ” “จริงเหรอ?” “อย่างน้อยตอนเริ่มก็ตั้งใจแบบนั้น” “งั้นตอนนี้ทำอะไรอยู่ล่ะ?”
“หาของสวยๆงามๆหล่อเลี้ยงสายตาอยู่ไงล่ะ” ฉันสะบัดมือออกมา
อย่างสุดแรง
คุณเซนโจงาฮาระร้อง “อ๊ะ” และมองฉันด้วยสีหน้าเสียดายอย่างสุดซึ้ง – แหม นี่คงกำลังล้อเล่นกันอยู่งั้นสินะ (จุดเริ่มต้นของยูริซีนในบทโอนิฯ)
ไม่นึกเลยว่าคุณเซนโจงาฮาระก็ชอบล้อเล่น ..... ขอร้องล่ะ ขอให้เป็นการล้อเล่นทีเถอะ ยิ่งพอนึกถึงเรื่องที่อารารากิคุง เพิ่งจะพูดให้ฟังเมื่อไม่นานนี้เกี่ยวกับรสนิยมของ คุณคันบารุ ยิ่งต้องอ้อนวอนกันเลย
“แล้ว เป็นไงบ้าง?” “ไม่เป็นไร ผิวดีแบบนี้ สู้ต่อไปได้อีกสิบปีเลย”(ล้อกันดัมOrigin) “ไม่ใช่แบบนั้น” “เท่าที่เห็นก็ไม่ได้มีอะไรแปลกไปนะ – ไม่ได้มีหูเสืองอกออกมาซักหน่อย” “หูเสือเลยเหรอ”
สำหรับฉันที่เคยมีหูแมวงอกออกมาจริงๆ มันฟังเป็นเรื่องหยอกล้อกันเบาๆ แต่ก็เป็นคำหยอกล้อที่ฟังดูสมจริงจนไม่น่าไว้ใจ จนฉันต้องแอบหัวเราะกลบเกลื่อนขณะที่เอื้อมมือขึ้นไปคลำหลังหัวของตัวเอง ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรงอกออกมา
“เพียงแต่ เวลาที่เจอกับสิ่งลี้ลับ ไม่ใช่ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรในทันทีเสมอไปนี่นา ถ้าคิดว่ามันรอเวลาปรากฏออกมาอยู่ ก็ยังวางใจไม่ได้ล่ะนะ”
“นั่นสินะ” “พอตื่นขึ้นมาเช้าวันพรุ่งนี้ คุณฮาเนคาวะอาจจะกลายเป็นแมลงไปแล้วก็ได้” “มันจะฟังดูข้ามขั้นตอนอะไรไปหน่อยไหม”
อย่างน้อยขอให้เป็นอะไรเกี่ยวกับเสือเถอะ ถึงจะรู้ว่าคุณชอบคาฟก้า
“แต่แทนที่จะมาปรึกษาฉันไปปรึกษาอารารากิคุงเลยน่าจะดีกว่านะ ฉันเคยพบกับปูที่เป็นสิ่งลี้ลับก็จริง แล้วก็ต้องเจ็บปวดเพราะเรื่องนี้มามาก ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่า ฉันจะรู้หรือเข้าใจวิธีการรับมือกับสิ่งลี้ลับดีไปกว่าคนอื่นหรอกนะ”
“อือ อืมม มันก็จริงอยู่” จริงอย่างยิ่ง
ถึงจะเคยพบเหตุเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ แต่ไม่ใช่ว่าจะคุ้นเคยกับมัน แต่ยิ่งเจอบ่อยก็ยิ่งไม่อยากไปเกี่ยวข้อง เรื่องนี้ปรึกษากับคุณเซนโจงาฮาระไป ก็มีแต่จะทำให้เธอกังวลไปเปล่าๆ ดีไม่ดีจะไปสะกิดความหลังของเธอเข้าอีก
“แต่ว่า ท่าทางวันนี้อารารากิคุงจะไม่มาเรียนน่ะ” “เอ๋?” คุณเซนโจงาฮาระเอียงคอด้วยความสงสัย (ไอ้หงอนตอนนี้กำลังช่วยน้องหอยอยู่ในบทคาบุกิฯ)
“ไม่ได้อยู่ในแถวตอนพิธีเปิดภาคเรียนเหรอเนี่ย ไร้ตัวตนขนาดว่าไม่อยู่ก็ยังไม่มีใครรู้สึกตัวนี่ ยิ่งกว่าอยู่แต่ไม่มีใครเห็นอีกนะ” คุณเซนโจงาฮาระเธอหัวเราะหึๆๆ ออกมา
หนาวไปวูบหนึ่ง นี่คงเป็นอาการตกค้างจาก [สมัยที่ยังเป็นลิ้นพิษ] ชอบจิกกัดผู้อื่นของเธอตามที่อารารากิคุงบอกไว้ แต่พิษที่ว่าถูกถอนออกไปเกือบหมดจากเหตุการณ์ในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน อย่างคำพูดเมื่อซักครู่ก็พูดออกมาในเชิงล้อเล่นอย่างเห็นได้ชัด คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้
“แหม ถึงตอนนี้จะไม่ต้องกังวลเรื่องจำนวนวันเข้าเรียนเท่าไหร่แล้วก็เถอะ แต่พ่อดาร์ลิ้งสุดที่รักของฉัน ไปทำอะไรอยู่กันนะ”
“อย่าเรียกเป็นดาร์ลิ้งสิ” แบบนี้ก็เปลี่ยนกันมากเกินไป ดูไม่ต่อเนื่องไม่เป็นคนเดียวกับคนเดิม (น้องปูตอนนี้เป็นเดเระโหมดจากการอบรมของน้องเเมวเเล้ว)
“จะว่าไปเมื่อเช้าก่อนที่จะเจอคุณเสือ ฉันเจอกับมาโยยจัง ถ้าลองคิดจากที่เด็กคนนั้นพูดมาแล้ว เขาน่าจะกำลังทำอะไรอยู่ซักอย่าง – ล่ะนะ”
“อะไรซักอย่าง นะ” คุณเซนโจงาฮาระ ส่ายหน้าไปมาอย่างเบื่อหน่าย
ดูจะ โอเวอร์รีแอคชั่น ไปหน่อย แต่ก็เป็นการแสดงออกถึงความเหนื่อยหน่ายที่ตรงประเด็น
“คงต้องบอกว่า อย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด งั้นสินะ” “คงอย่างนั้นล่ะนะ เขาเป็นผู้ชายที่มองเห็นแต่เรื่องที่อยู่ตรงหน้านี่นา” “ลองโทรไปดูมั้ย หรือไม่ก็ลองเมลไปดู” “อืม ไม่อยากไปกวนเขาน่ะ”
ไม่อยากไปสร้างปัญหากวนใจเขาระหว่างที่กำลังออกปฏิบัติการ รู้สึกไม่ค่อยดี ถ้าเป็นการเจอหน้าตามปกติที่โรงเรียนฉันคงตรงเข้าไปปรึกษาเขาก่อนเลย แต่ถ้าถึงขนาดต้องโทรไปหาหรือพิมพ์เมลส่งไป คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่
นี่ควรจะเรียกว่าเพราะเป็นห่วงตัวเขา มากกว่าที่จะเรียกว่าเกรงใจ
“เหรอ” คุณเซนโจงาฮาะรพยักหน้า
“คุณฮาเนคาวะ คุณน่ะลดความเกรงใจลงบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก” “ลดความเกรงใจ?” “ก็คือไม่ต้องกลัวอายพูดไปตรงๆเลย ผู้ชายคนนั้นไม่มีทางคิดว่าเรื่องที่เธอขอร้องเป็นการรบกวนให้รำคาญได้หรอก จริงมั้ย?” “อืม จะว่ายังไงดีล่ะ”
คุณเซนโจงาฮาระพูดซะจนฉันเกิดลังเล
“ฉันเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเลยน่ะ” “หรือที่ทำแบบนี้เพราะว่าเกรงใจฉัน?” “อะไรกัน ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”
คุณเซนโจงาฮาระถอนหายใจออกมาดัง ฟู่ เป็นการถอนหายใจที่ดูมีความหมายลึกซึ้ง
“แต่แหม ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงหรือเปล่าจะรีบเป็นห่วงไปก็ใช้ที่นะ – เอาแต่กลุ้มใจไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร หรือจจะคิดมากจนกลายเป็นยันเดเระไป ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี แต่สถานการณ์ตอนนี้ ถึงคุณฮาเนคาวะจะไม่เป็นไร แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสที่คนอื่นจะโดนเสือตัวนั้นทำร้าย เพราะอย่างนั้นไปหาอารารากิคุงกันก่อนน่าจะดีกว่า ว่ามั้ย? เพราะทั้งฉันทั้งคุณ ยังไงก็คงไม่มีความสามารถพอจะไปต่อกรอะไรกับสิ่งลี้ลับหรอก ไม่ว่าจะเสือ หรือสิงโต ยังไงคุณเองก็มีความรู้แต่ขาดประสบการณ์ตรงเหมือนกับฉันใช่มั้ยล่ะ?” “มันก็ใช่อยู่.....”
พูดแบบนั้นดูความหมายมันจะแปร่งๆอยู่ เหมือนจงใจพูดเพื่อรออะไรซักอย่าง ถ้าเป็นอารารากิคุงคงจะจับจุดแล้วตบมุกสวนได้ในทันที (มีประสบการณ์ตรงแต่ขาดความรู้ต่างหาก) แต่ฉันไม่มีทักษะแบบนั้น
“ถ้าจะสู้รบปรบมือกับสิ่งลี้ลับ คงต้องเป็นระดับอารารากิคุงที่เลี้ยงปีศาจดูดเลือดเอาไว้ในเงาล่ะนะ – ถึงจะยังมีคันบารุ ที่ถ้าเอาจริงก็อาจจะไหว แต่ฉันไม่อยากให้เธอต้องฝืนตัวเองเท่าไหร่” “อื้อ”
พอจะรู้มานิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงจะหมายถึง – ผ้าพันแผลที่แขนซ้าย ถ้าเรื่องนั้นคงไม่ใช่ปัญหาว่าเกรงใจหรือเปล่า แต่เป็นปัญหาโดยตรงของเจ้าตัวเลย – ในกรณีของคุณคันบารุ ถึงจะแก้ปัญหาเรื่องสิ่งลี้ลับออกไปได้แล้ว แต่ก็อยู่ในสภาพที่เหมือนกับถือลูกระเบิดเอาไว้กับตัวอยู่ หรือควรจจะเรียกว่า ตัวเธอเองนั่นแหละที่เป็นลูกระเบิด ..... แต่ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา อารารากิคุงเองก็อยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างกัน คงเพราะอย่างนั้นฉันถึงไม่อยากโทรศัพท์ไปหาเขา คิดแบบนั้นด้วยเหมือนกัน ทั้งที่เข้าใจว่า – ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้น สรุปแล้วมันก็เป็นตามที่คุณเซนโจงาฮาระพูดไว้ ฉันอายที่จะขอร้องให้อารารากิคุงทำอะไรให้ เหตุผลนั้นมันชัดเจนมากซะจนไม่อยากจะไปรับรู้มัน
“คุณฮาเนคาวะเคยพูดว่า “ช่วยด้วย” กับอารารากิคุงมัย?” “เอ๋?”
คำถามถูกส่งมาแบบไม่ทันตั้งตัว จนฉันรู้สึกตัวกลับจากภวังค์ เล่นเอาตกใจเชียวล่ะ
“อะไรนะ? “ช่วยด้วย”?..... จะว่ายังไงดีล่ะ มันไม่ใช่คำพูดที่จะใช้กันทั่วไปในชีวิตประจำวันด้วยสิ..... ก็คงจะไม่เคยล่ะนะ”
“ใช่ ฉันก็ไม่เคย” ว่าอย่างนั้นแล้ว คุณเซนโจงาฮาระ ก็แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า
“ก็เขาน่ะ เข้ามาช่วยพวกเราเอาไว้ก่อนที่จะมีโอกาสได้พูดคำนั้นซะอีก – ถ้าถามไปก็คงจะตอบกลับมาทำนอง คนเราเอาตัวรอดจากเรื่องราวต่างๆด้วยตัวของเราเอง เขาไม่ได้ช่วยอะไร” คงจะตอบกลับในทำนองนั้น เพราะเคยได้ยินคำพูดแบบนั้นจริงๆนี่นา อย่างที่คุณโอชิโนะมักจะพูดซ้ำๆจนติดปาก “ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของปู นั่นสินะ เรื่องคันบารุ หรือแม้แต่เรื่องของไคกิ เขาคอยช่วยเหลือฉันอยู่ตลอดเวลาทั้งจากที่ลับจากที่แจ้ง แต่ถึงเขาจะเข้ามาช่วยโดยที่เราไม่ทันจะได้พูดขออะไร ก็ไม่ใช่ว่าเราควรจะปล่อยให้มันจบไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลย”
“? หมายความว่ายังไง?” “เปล่า ก็เพราะอย่างนั้นแหละ คุณฮาเนคาวะคงจะไม่อยากพูดอะไรกับอารารากิคุง แต่ในใจยังคงหวังให้เขาเข้ามาช่วยโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย อย่างนั้นหรือเปล่า” “.....อ๋อ”
อืม คนอื่นมองเป็นแบบนั้นเลยสินะ แต่พอลองมาคิดดูแล้วก็ชักเศร้า ที่ฉันไม่สามารถปฏิเสธเหตุผลที่เธอยกมา ตัวเองไม่ยอมเป็นฝ่ายเดินเข้าหา แต่กลับหวัง รอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาตัวเอง? และฉันก็แย้งว่า – ไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ ได้ไม่เต็มปาก มีตัวฉันที่ดำมืดอีกคน อยู่ข้างในตัวฉัน เพราะอยู่ข้างใน ก็เลยใกล้ชิดฉันมากกว่าใคร
“ขอร้องเขาไปตรงๆเลยก็ได้ เขาหวังให้เธอมาขอร้องให้ช่วยอยู่เสมอ ตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องช่วงโกลเดนวีค จนเธอมีเจ้านั่น.....” พูดทิ้งไว้แค่นั้น คุณเซนโจงาฮาระก็หยุดพูดต่อ
คงเพราะรู้ตัวระหว่างที่พูดออกมาว่า พูดเรื่องที่ไม่สมควรไปแล้ว ถึงเธอจะไม่ได้พูดขอโทษออกมา แต่ก็ดูท่าทางจะกระอักกระอ่วนอยู่ – และถึงจะขอโทษกันฉันก็คงรู้สึกไม่ค่อยดี เพราะฉันไม่สมควรได้รับคำขอโทษ
“กลับไปที่ห้องเรียนกันเถอะ” ฉันพูดออกไป
ไม่ได้พูดเพื่อคลายความอึดอัดให้กับเธอหรอกนะ แต่มันเป็นความจริง เพราะพอมองดูเข็มนาฬิกาแล้ว ก็ได้เวลาจะต้องกลับไปที่ห้องเรียนแล้วจริงๆ
“นั่นสินะ” คุณเซนโจงาฮาระพยักหน้า
“ไม่ได้จะบังคับอะไรกันหรอกนะ แต่เวลามีปัญหาอะไรขึ้นมาจะเก็บเอาไว้คนเดียวไม่ได้นะ – ถ้าไม่อยากรบกวนอารารากิคุงขนาดนั้น อาจจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่มาลากฉันเข้าไปเดือดร้อนด้วยอีกคนเถอะ นั่นสิ อย่างน้อยฉันก็ตายเป็นเพื่อนเธอได้”
คุณเซนโจงาฮาระพูดเรื่องน่ากลัวมากๆออกมา ก่อนจะเดินกลับไปทางอาคารเรียน ถึงจะปรับปรุงบุคลิกขึ้นมาแล้ว แต่ในบางส่วนที่เธอก็เป็นเหมือนเดิมอยู่ อย่างรุนแรงชัดเจนเลยด้วย อืม ถ้าพูดให้ถูกคือ เธอไม่ได้ปรับปรุงบุคลิกอะไรหรอก แค่รู้จักทำตัวให้ดูน่ารักบ้าง เป็นแล้วเท่านั้นเอง โดยเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าอารารากิคุง และอารารากิคุงรู้จักแต่คุณเซนโจงาฮาระ เฉพาะคนที่แสดงออกอยู่ต่อหน้าเขา ดังนั้นกว่าเขาจะรู้สึกตัวถึงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง คงต้องใช้เวลาอีกหน่อยล่ะนะ
จ้างให้ก็ไม่บอกหรอก อะไรทำนองนั้นล่ะนะ จากนั้นพวกฉันจึงเดินกลับไปที่ห้องเรียนด้วยกัน – ขณะที่กำลังกลัวว่า โฮมรูมจะเริ่มไปแล้วหรือเปล่านะ แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่สิ อ.โฮชินะ ที่เป็นอ.ประขำชั้นของเรา เข้ามาในห้องแล้ว
ดังนั้นที่จริงชั่วโมงโฮมรูมของวันนี้ควรจะเริ่มไปแล้ว – แต่ทั้งอ.โฮชินะ และเพื่อนร่วมชั้นทุกคน ไปยืนมุงกันตรงหน้าต่างฝั่งที่หันไปหาสนามกลางของโรงเรียน ไม่มีใครนั่งที่เก้าอี้เลย แบบนี้คงไม่ได้กำลังโฮมรูมหรือทำอะไรกันอยู่หรอก
เกิดอะไรขึ้นกันนะ ว่าแต่มุงดูอะไรกันล่ะ
“อ๊ะ” คุณเซนโจงาฮาระที่ยืนอยู่ข้างๆฉัน อุทานขึ้น
เพราะตอนนี้เธอตัวสูงกว่าฉันอยู่พอสมควร ก็เลยมองเห็น “สิ่งนั้น” ก่อนฉัน – ถ้าอธิบายให้ละเอียดคือ หลังจากที่เธอเห็นทุกคนยืนมุงที่หน้าต่าง เธอก็ถอดรองเท้าและขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งนิสัยแอคทีฟเกินเหตุแบบนี้ของเธอ มันขัดกับภาพลักษณ์ภายนอกอย่างมาก ฉันไม่กล้าพอจะทำแบบเธอ จึงได้แต่พยายามเบียดแทรกระหว่างคนอื่นเข้าไปหาพื้นที่มองนอกหน้าต่าง และรู้ในทันทีว่าทุกคนกำลังมองอะไรกันอยู่
“.....ไฟไหม้นี่นา” ฉันเผลอพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว เผลอพูดกับตัวเองออกมา ทั้งที่ไม่ควรจะทำแบบนั้นนอกบ้าน ขณะที่กำลังออกไปนอกหน้าต่าง
ในตำแหน่งที่ไกลออกไปจนเห็นเป็นเพียงก้อนเม็ดเล็กๆ แต่ที่ตรงนั้นมีไฟโหมลุกขึ้นมาอย่างรุนแรง ราวกับจะได้ยินเสียงไหม้พรึ่บๆ อยู่ข้างหู แล้วฉันก็เผลอพูดออกไปอีก
“บ้านฉันโดนไฟไหม้” ฉันเผลอพูดออกไปว่า บ้านหลังนั้น - เป็นบ้านของฉัน
เรื่องราวของเเมวเหมียว (ขาว) ซึบาสะเสือสมิง บทที่ 5 END
จากคุณ |
:
Fate Linegod
|
เขียนเมื่อ |
:
1 มี.ค. 55 11:44:34
|
|
|
|