มีเรื่องที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนถึง 2 เรื่อง เรื่องหนึ่งคือ จากหน้าต่างห้องเรียนที่ฉันนั่งเรียนอยู่ทุกันสามารถมองเห็นบ้านหลังนั้นได้ด้วย ทั้งที่ก็เคยมายืนมองวิวทิวทัศน์ที่หน้าต่างนี้อยู่หลายครั้ง
ทำไมถึงไม่รู้สึกตัวนะ
ทำไมถึงมองไม่เห็นนะ
ความจริงคือฉันมองเห็นมันอยู่ทุกครั้งเพียงแต่สติของฉันทำเป็นไม่รับรู้เท่านั้น ด้วยเหตุผลแบบที่ตรงข้ามกับ
ถ้าได้พบสิ่งลี้ลับครั้งหนึ่ง ก็จะถูกสิ่งลี้ลับดึงดูด
ฉันคงจะพยายามผลักบ้านหลังนั้นออกไปจากการรับรู้ทุกอย่างของตัวเอง อีกเรื่องหนึ่งคือ การที่บ้านหลังนั้นถูกไฟไหม้ มันทำให้ฉันรู้สึกช็อคได้ถึงขนาดนี้ ฉันตกใจค้างไปนานเลยทีเดียว ประมาณว่าภายในหัวขาวโพลนไปหมด รู้สึกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง นี่เป็นส่วนที่อารารากิคุงเข้าใจผิดอยู่มากเกี่ยวกับตัวฉัน ฉันไม่ใช่คนที่มีจิตใจมั่นคงแน่วแน่อะไรขนาดนั้น รู้สึกตื่นตระหนกเสียขวัญได้เหมือนกับคนทั่วไป แม้แต่ประสบการณ์ฝันร้าย เมื่อช่วงโกลเดนวีค ที่ทำให้เขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าฉันเป็นคนใจกว้างโอบอ้อมอารีย์ก็เป็นความเข้าใจผิด นั่นสิ ไม่ใช่แค่ว่า มองเห็นแต่ทำเป็นไม่รับรู้เท่านั้นหรอก ฉันยังเคยคิดอย่างจริงจังว่า บ้านพรรค์นั้นน่ะ วอดวายไปซะได้ก็ดี อยู่บ่อยครั้ง
แต่ไม่นึกไม่ฝันว่า มันจะวอดวายหายไปต่อหน้าจริงๆแบบนี้ และถึงมันกำลังจะหายไปอยู่ตอนนี้ ฉันกลับไม่ได้รู้สึกว่า ได้สูญเสียอะไรไปเลย ไม่เคยมีความรักความคุ้นเคยกับที่นั่น ไม่เคยคิดว่าบ้านหลังนั้นเป็นบ้านของตัวเอง ถึงจะเผลอพูดออกมา แต่คิดว่าพูดออกไปเพราะตื่นตกใจต่อสถานการณ์เท่านั้นเอง แต่ก็ต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า ที่รู้สึกตื่นตกใจได้นั้น เพราะว่ามียังมีความห่วงหามันอยู่ ว่าเป็นแบบนี้จะดีแล้วเหรอ? เกิดเป็นความสับสน และนั่นก็เป็นความจริง แล้วที่มันจะหายไป มีอะไรไม่ดีตรงไหน จะนับว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีก็ได้ แต่ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี ถึงตอนนี้ทุกอย่างมันก็สายไปแล้ว เพราะมันสลายหายไปหมดแล้ว บ้านที่ฉันอาศัยอยู่มา 15 ปี
ฉันได้สูญเสียมันไปตลอดกาล
ทั้งที่มาสายแล้ว วันนี้ฉันยังต้องขออนุญาต อ.โฮชินะ เพื่อจะกลับก่อนเวลา และได้รับอนุญาตในทันที อย่างไม่ต้องพูดกันให้มากความ จากนั้นทั้งที่ไม่ใช่คุณคันบารุแต่ฉันก็วิ่งกลับไปที่บ้าน เพื่อจะพบ รถดับเพลิงและผู้เห็นเหตุการณ์ที่มายืนมุงดูกันอยู่ และเพลิงสงบลงไปเรียบร้อยแล้ว เพลิงสงบลงไปแล้ว และไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย แม้จะไม่ได้ลุกลามไปยังบ้านหลังข้างๆ แต่ก็ไหม้อย่างรุนแรงเสียหายจนหมด ไม่เหลือแม้แต่เสาซักต้นเดียว อย่างน้อยสภาพที่ไม่เหลืออะไรนี้เลย ก็มีประโยชน์ เวลาที่จะไปเคลมประกันอัคคีภัย อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความโชคดีอย่างเดียวจากเคราะห์ภัยครั้งนี้ แม้จะฟังดูน่ารังเกียจอยู่บ้าง แต่มันก็เป็นความจริงที่สำคัญที่สุด เอ้อ ไม่ใช่สิ ไม่ใช่
ที่สำคัญที่สุดคือ ชีวิตคน ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง ตัวฉันเองอยู่ที่โรงเรียนตลอดเวลา ส่วน อีกสองคนที่เหลือ สองคนที่ฉันควรจะเรียกว่าพ่อแม่ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะกลับมาบ้านในเวลาช่วงเช้าแบบนี้ มีคนอาศัยอยู่ที่นี่สามคน และทั้งสามคน ไม่ได้คิดว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองเลย เป็นแค่สถานที่ ไม่ใช่บ้าน แต่แบบนี้รุมบ้าคงไหม้ไปหมดแล้วละมั้ง การสูญเสียเครื่องดูดฝุ่นอัติโนมัติ ที่ช่วยปลุกฉันให้ตื่นอย่างสดชื่นอยู่ทุกเช้า ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าสลดยิ่งกว่าที่ต้องเสียบ้านไปซะอีก
นั่นสิ นอกจากรุมบ้าแล้ว ยังมีอีกหลายอย่างที่ถูกไฟไหม้ไป แต่ถึงยังไงฉันที่เป็นเพียงเด็กนักเรียน ก็ไม่มีของหรือเอกสารสำคัญอะไรที่จะมีปัญหาเมื่อต้องเสียมันไป แต่ถ้าจะพูดไปแล้ว ที่เสื้อผ้าไหม้ไปหมดนี่ก็แย่เหมือนกันแฮะ
ไม่หรอก ถ้าพูดแบบนั้น คนที่ฉันควรจะเรียกว่าพ่อ กับคนที่ฉันควรจะเรียกว่าแม่ ก็คงจะเหมือนกัน ทั้งสองคนน่าจะไม่ได้เก็บของส่วนตัวหรือเอกสารอะไร ที่มีความสำคัญไว้ที่บ้านเลย
ของสำคัญคงจะทิ้งไว้ที่ ที่ทำงาน ฉันคิดแบบนั้น เพราะบ้านหลังนั้น ไม่ใช่สถานที่ ที่อยากเก็บของสำคัญเอาไว้ที่นั่น เพราะกลัวมันจะแปดเปื้อน แหม แต่ถึงยังไง ก็มีเรื่องที่ฉันไม่รู้อยู่อีกมาก ที่ต้องมารู้เอาตอนที่ไฟไหม้บ้านจนไม่เหลืออะไรเลย นี่ถ้าจะขอยืมคำพูดของคนที่ฉันยังไม่เคยพบหน้าโดยตรง คุณ ไคกิ เดชู นักต้มตุ๋นคนนั้น ก็ต้องพูดว่า นี่เป็นบทเรียนที่ควรจะได้เรียนรู้จากเรื่องคราวนี้ อย่างนั้นเหรอ?
ไม่เข้าใจเหมือนกัน ไม่รู้ด้วยเหมือนกัน ซึ่ง ถึงจะรู้หรือไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ฉันต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนไม่มีที่ซุกหัวนอนไปซะแล้ว ไม่ได้ชอบหรือคิดอะไรกับมันเลย เป็นสถานที่ ที่ถ้าอยู่แล้วจะอึดอัดจนต้องหาเรื่องออกข้างนอก แม้จะไม่มีธุระอะไรเลยก็ตาม แต่ตอนนี้ฉันถึงมาสำนึกถึงบุญคุณของมัน ในฐานะที่มันเป็นที่อาศัยหลับนอน และถึงยังไงก็ตาม เรื่องคราวนี้ คงจะทำให้ คนในบ้านฮาเนคาวะ ต้องมาพูดคุยกัน แม้จะไม่ได้ทำแบบนั้นมานานแล้ว
พูดคุย?
ไม่สิ สำหรับครอบครัวทั่วไปแล้ว คงไม่ได้ทำกันแบบนี้แน่ แม้แต่ฉันยังรู้สึกได้เลยว่ามันไม่ใช่ ที่เคยทำไป ไม่ได้เรียกว่าการพูดคุยกันในครอบครัว มีการแลกเปลี่ยนความเห็น แต่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกัน ยังไงก็ต้องมีขั้นตอนที่จำเป็นต่างๆที่ต้องจัดการ ในกรณีที่บ้านถูกไฟไหม้ ตอนนี้แม้แต่สาเหตุของไฟไหม้ก็ยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร ถ้ามีความเป็นไปได้ว่าเป็นการวางเพลิงคงจะน่ากลัวมาก แต่นั่นก็เป็นปัญหาระยะยาว มันยังมีปัญหาเฉพาะหน้า ที่เด็กอย่างฉันยังไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ นั่นคือ
คืนนี้ฉันจะนอนที่ไหน
บ้านฮาเนคาวะ ไม่มีญาติสนิทที่บ้านอยู่ใกล้ๆกัน ที่จะไปขออยู่อาศัยชั่วคราวได้ เพราะฉนั้นทางออกก็เหลือเพียงอย่างเดียว ไม่มีความจำเป็นจะต้องถกเถียงอะไรกันเลย ยังไงก็ต้องไปพักที่โรงแรมที่ใกล้ที่สุดอยู่แล้ว แต่ก็นั่นล่ะ ที่เป็นปัญหาของบ้านฮาเนคาวะ ปัญหาใหญ่ที่สุด และก็เป็นปัญหาที่มีอยู่เพียงอย่างเดียว พวกเราไม่ได้นอนร่วมห้องเดียวกันมานานมากแล้ว
ตัวฉันที่นอนตรงระเบียงทางเดิน คงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่พวกเขาสองสามีภรรยา ก็มีห้องนอนแยกกัน แต่พอเป็นโรงแรมแล้ว มันมีราคาค่างวดที่ทำให้ไม่สามารถ ใช้ห้องทีเดียว สองห้องหรือสามห้องพร้อมกันได้ง่ายๆ
หนูไม่เป็นไรหรอกค่ะ จะไปขอค้างที่บ้านเพื่อนไปก่อนซักพัก
ฉันพูดตัดบท ก่อนที่การถกเถียงจะขมวดปมหนักขึ้น ประกาศแยกตัวออกไปก่อน
ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ ลองใช้โอกาสดีๆแบบนี้ อยู่ด้วยกันแบบสามีภรรยาดูสิคะ
นี่ไม่ใช่คำพูดแสดงความใส่ใจ แต่เป็นความต้องการจากใจของฉัน ซึ่งฉันรู้ตัวดีว่า พูดมันออกมาด้วยความรู้สึกหวังดีแบบจอมปลอม ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์
เป็นส่วนที่แย่ที่สุดในตัวฉัน ที่ฉันเรียนรู้มาตอนช่วงโกลเดนวีค แค่ไม่อยากจะนอนร่วมห้องกับสองคนนี้ รู้ตัวว่ากำลังคิดแบบนี้อยู่อย่างชัดเจน แต่ก็ยังหาเหตุผล อ้อมค้อมไปมาให้กลับมาลงที่คำตอบนี้ มันจะดูผิดธรรมชาติถึงขนาดไหนกันนะ ฉันเข้าใจดี ว่าการคิดไปว่า ความจำเป็นที่เกิดจากไฟไหม้บ้านนี้เป็นโอกาสดี มันดูจะหลุดจากขอบเขตความคิดของมนุษย์ไปแล้ว เป็นเรื่องที่เรียนรู้มาจาก อารารากิคุง กับ คุณโอชิโนะ เป็นบทเรียน อย่างไรก็ดี ฉันก็พูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไปแล้ว โดยไม่ได้คำนึงถึงบทเรียนคราวนั้นเลย แต่ฉันก็ยังแอบคิดว่า อยากจะให้ทั้งสองคน กลับไปเป็นตามแบบที่ควรจะเป็น เผลอคิดไปแล้ว ว่านี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับสองคนนี้ ที่ตั้งใจกันไว้ว่าจะหย่ากันทันทีที่ฉันบรรลุนิติภาวะ คิดไปแบบนั้น กว่าบ้านจะสร้างใหม่จนเสร็จ ต้องใช้เวลาหลายเดือน และช่วงเวลาหลายสัปดาห์ระหว่างนั้น ที่ต้องไปอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าที่ไหนซักที อาจจะทำให้ อะไรบางอย่างที่ควรจะเป็น อะไรบางอย่างที่หายไป 15 ปี มันย้อนกลับมาก็ได้ คิดไปแบบนั้น เผลอคิดไปถึงขนาดนั้น อยากให้เป็นแบบนั้น และทั้งสองคนก็ ตอบรับอย่างง่ายดาย ไม่ห้ามฉันที่ออกตัวว่า จะเดินไปขอค้างที่บ้านเพื่อน ออกจะดูดีใจจนออกนอกหน้า ที่ฉันเป็นฝ่ายพูดแบบนี้ออกมาเอง อืม ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ยังไงสองคนก็ยังสบายใจกว่าสามคน ถ้ามองจากความหมายที่ว่า สามารถไล่ตัวเกะกะอย่างฉันออกไปได้ พวกเขาอาจจะนึกขอบใจไฟไหม้ครั้งนี้อยู่ก็ได้ การที่พวกเขาแสดงท่าทียินดีออกมาแบบนี้ กลับทำให้ฉันรู้สึกดีใจไปด้วย และฉันรู้ตัวว่าที่รู้สึกแบบนี้ แปลว่าฉันคงจะเพี๊ยนไปแล้วแน่ๆ
เรื่องราวของเเมวเหมียว (ขาว) ซึบาสะเสือสมิง บทที่ 6 END
จากคุณ |
:
Fate Linegod
|
เขียนเมื่อ |
:
6 มี.ค. 55 19:47:58
|
|
|
|