พิมพ์โดย : คุณ namtarniiz
POSTCARD
Travel by budget : February 2012
หน้า 1/3
เรื่อง : วราภรณ์ พวงไทย, ภาพ : วีระยุทธ โรจนวิเชียร
ชีวิตเหมือนการวางหมาก
ไมค์ พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล
หลังจากศิลปินนักร้องพี่น้อง กอล์ฟ-ไมค์ ออกผลงานเพลงเป็นคู่ดูโอกันมาอย่างเหนียวแน่น วันนี้ ทั้งกอล์ฟและไมค์ต่างแยกตัว(ชั่วคราว)ออกมาทำอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองด้วยจุดประสงค์ที่ว่าเพื่อให้แฟนเพลงแยกแยะบุคลิกลักษณะได้ชัดเจนมากขึ้นว่าใครคือกอล์ฟ ใครคือไมค์
จากเพลงรักใสๆ ป๊อปๆ วันนี้ไมค์-พิรัชต์ นิธิไพศาลกุลฉีกตัวเองออกมาสร้างผลงานอัลบั้มเดี่ยวด้วยการถ่ายทอดเรื่องราว ประสบการณ์ มุมมองของตัวเองที่มีต่อสังคมและสิ่งรอบข้างผ่านบทเพลงที่เขาแต่ง วันนี้เสร็จไปแล้ว 2 เพลง (AYO และ ละเลย) ส่วนเพลงที่ 3 อยู่ระหว่างการทำงาน
ในวันที่แสงแดดพออุ่นๆ เรานัดพบกับไมค์ไปดูกรุงเทพฯในอีกมุมที่ถ้าขับรถไปไม่มีทางได้เห็น ด้วยการเดิน (เดิน...อ่านไม่ผิดหรอก) ลัดเลาะเข้าตามตรอกออกตามซอย พร้อมคุยกันไปตามประสา บางช่วงผ่านร้านกาแฟน่ารักๆก็แวะพัก นั่งจิบกาแฟ แล้วคุยกันต่อ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าช่วยละลายฉายา หยิ่ง ขี้เก๊ก ที่ไมค์ได้รับมาตลอดเวลาที่เข้าอยู่ในวงการบันเทิงลงได้
ไมค์เป็นคนที่ค่อนข้างสนใจสิ่งรอบข้างแต่จะไม่แสดงออก ทุกครั้งที่ไมค์ไปงาน สิ่งที่ไมค์แสดงออกคือเมินเฉย เพิกเฉยกับสิ่งรอบข้าง คนเลยบอกว่าหยิ่ง ขี้เก๊ก แต่จริงๆผมชอบสังเกตมากกว่า
ตลอดการพูดคุย หลายครั้งที่เราแอบสังเกตเห็น หากมองลึกลงไปในแววตาเหงาๆ เศร้าๆคู่นั้นของไมค์ บางทีเราอาจได้เห็นตัวตนในอีกด้านของเขาก็เป็นได้
อยากให้เล่าถึงผลงานโซโล่อัลบั้มว่ามีความเป็นมายังไง
จุดเริ่มต้นเรื่องของการเป็นอัลบั้มเดี่ยวก็คือกอล์ฟ ไมค์ ดังมาจนถึงจุดจุดหนึ่งที่ควรจะหาอะไรใหม่ๆทำแล้ว ก็เลยคิดว่าลองทำอะไรที่มันแตกต่างออกไปดีกว่า อีกอย่างคนมักจำกันไม่ได้ว่าคนไหนคือกอล์ฟ คนไหนคือไมค์ ฉะนั้นจึงลองแยกกันทำอัลบั้มโซโล่ จุดประสงค์หลักคือทำให้บุคลิกของแต่ละคนชัดเจนขึ้น เพราะจริงๆแล้วกอล์ฟกับไมค์เป็นคนละคนกัน และก็ค่อนข้างมีบุคลิกและไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างแตกต่างกันเยอะมาก ซึ่งพอแยกเป็นโซโล่ก็ทำให้คนเห็นชัดเจนขึ้นว่าคนไหนคือกอล์ฟ คนไหนคือไมค์ ถึงแม้ว่าหลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ เพราะหนึ่ง คือด้วยลุคของโซโล่อัลบั้มยังไม่ออกและยังไม่ชัดเจน สอง เมื่อไมค์ทำเพลงเสร็จ 1 เพลงก็ไม่ได้ทำอะไรต่ออีกเลย เหมือนเรายังไม่ได้เริ่มอะไร เนื่องจากปีที่แล้วมีหลายกรณี หลายเหตุการณ์ โดยเฉพาะอุทกภัยตามธรรมชาติที่เราคาดไม่ถึงทำให้ต้องเลื่อนหลายๆอย่าง ก็เลยทำออกมาได้แค่เพลงเดียว แล้วมาลุยต่อในปีนี้ ปี 2012 เป็นปีแห่งโชคลาภของไมค์นะครับ (หัวเราะ) ปีนี้ไมค์มีผลงานค่อนข้างเยอะ ทั้งถ่ายแบบ เล่นละคร และไมค์ก็เพิ่งทำเพลงที่สองชื่อเพลง ละเลย เสร็จ ซึ่งเพลงนี้ก็มีอาถรรพ์เยอะเหมือนกัน
อาถรรพ์ที่ว่าคืออะไร
เพลงละเลยเพลงนี้ ต้องบอกก่อนเลยว่ามันมาจากชีวิตจริงของไมค์เลยนะ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ก็เลยให้พี่หนึ่ง (ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์) เขียนเนื้อร้องให้ แล้วไมค์ก็มีส่วนในการคอนดักต์ในเพลงตั้งแต่ตัวดนตรี เนื้อหา เช่นตอนอัดเสียงจากเปียโน ไมค์ก็จะเข้าไปคอนดักต์ว่าเราต้องการยังไง แล้วไมค์ก็คิดคอร์ดเพลงนี้ขึ้นมาด้วย มันเหมือนเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นด้วยอุบัติเหตุ คือวันหนึ่งไมค์นั่งอยู่หน้าเปียโนแล้วรู้สึกเศร้ากับเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมาก จริงๆไมค์เล่นเปียโนไม่เป็นนะ แต่ปรากฏว่าวันนั้นลองกดเปียโนเล่นๆมันก็ออกมาเป็นเพลงนี้เลย มันสดมากๆ ไมค์เลยขอเอาเพลงนี้ไปอะเร้นจ์ให้มันเป็นเพลงจริงๆขึ้นมา
เรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจทำให้เกิดเพลงละเลยมาจากอะไร
ถึงแม้ว่าไมค์จะเป็นศิลปิน ดารา แต่ก็ต้องมีแฟนใช่มั้ย ตอนมีแฟนไมค์ก็คิดว่าเขาอยู่กับเราแล้วเขาก็คงไม่ไปไหน เหมือนกับว่าละเลยเขา ไม่ได้สนใจเท่าที่ควรเหมือนสมัยก่อน ไมค์เป็นคนที่ค่อนข้างซีเรียสเรื่องงาน เวลาทำงานจะเหมือนลืมโลกภายนอกไปเลย สุดท้ายเขาก็ไป ไมค์ก็มานั่งคิดได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราคืออะไร แต่มันก็สายไปแล้ว จริงๆไม่ใช่แค่เราหรอกที่เป็น แต่มนุษย์ทุกคนเป็น คือไม่เห็นความสำคัญหรือละเลยสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา แต่ไปสนใจอย่างอื่น ทั้งๆที่มันไม่ได้สำคัญกับเราเลย ก็เหมือนกับวัยรุ่นที่อยากไปเที่ยวกับเพื่อนมากกว่าอยู่กับพ่อแม่ ทั้งๆที่พ่อแม่เป็นคนให้กำเนิดเรา เราอาจจะละเลยพวกท่าน แต่ละคนละเลยในสิ่งที่แตกต่างกันไป ก็เลยเกิดเป็นเพลงนี้ขึ้นมา เวลาเข้าห้องอัดจะร้องมากสุดก็ 2-3 ครั้ง แต่เพลงนี้นี่ 5-6 ครั้ง เพราะไปอัดตอนช่วงน้ำท่วมพอดี รอบแรกไปไฟดับ รอบที่ 2 ป่วย รอบที่ 3 ไฟดับอีก รอบที่ 4 ในซอยบ้านน้ำท่วมเข้าไม่ได้ รอบที่ 5 ป่วยเสียไม่พร้อม รอบที่ 6 ก็เริ่มได้ แต่ทุกครั้งที่ไปพยายามให้มันได้อย่างละนิด จึงใช้เวลานานมากับเพลงนี้ ตอนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
มีโครงการที่จะทำเพลงที่ 3 ต่อเมื่อไหร่
ทำเพลง 2 เสร็จ ก็รอคุยเพลง 3 ต่อเลย จริงๆแล้วทุกเพลงที่ไมค์ออกมาในฐานะโซโล่เสร็จตั้งแต่ปี 2010 แต่ไมค์คิดไว้ล่วงหน้าว่าเพลงเหล่านี้ต้องเอามาใช้ 2 ปีข้างหน้าได้ด้วย เพราะฉะนั้นก็ต้องก้าวสเต็ปไปอีก 2 ปีให้ได้ เราต้องนำเทรนด์อยู่ตลอด คือแฟนเพลงเราค่อนข้างจะคาดหวังในเพลงเรา เพลงของกอล์ฟไมค์เขาจะตีโจทย์ให้ทำอะไรใหม่ๆออกมาเสมอ เพราะฉะนั้นเวลาตีโจทย์ตีความของเพลงจึงต้องดูว่าอีก 1 ปีถ้าเพลงนี้ออกมายังใช้ได้อยู่รึเปล่า
ภาพรวมของโซโล่ของไมค์จะเป็นแนวไหน
ไมค์จะเน้นตรงเรื่องความเป็นฮิพฮอพ อาร์แอนด์บี และความเรียลของมัน ความเรียลหมายความว่าไม่ใช่ถูกบังคับให้ทำ แต่ทำเพราะว่าออกมาจากจิตวิญญาณ เช่นเนื้อหาของเพลงไมค์จะไม่พูดถึงอะไรที่มันกุ๊กกิ๊ก รักป๊อปๆ แต่ไมค์จะพูดถึงเนื้อหาของความจริง สัจธรรมของชีวิตคนเรา
ต่างจากอัลบั้มกอล์ฟไมค์ ที่เพลงส่วนใหญ่จะออกแนวป๊อปๆ รักๆ ใสๆ แต่พอมาถึงโซโล่อัลบั้มดูเหมือนไมค์เติบโตขึ้น สนใจสิ่งรอบข้างมากขึ้นรึเปล่า
ใช่ครับ คือถ้าให้พูดถึงเรื่องแนวสังคม ไมค์ก็จะพูดเรื่องของความเป็นมนุษย์ อย่างเพลงแรก AYO (เอโย) ก็พูดถึงเรื่องในวงการ เพลงไมค์เป็นกึ่งวิจารณ์คน แต่ทำให้มันดูซอฟต์ เรียบร้อยหน่อย ไม่เหมือนด่า แต่จริงๆก็เป็นการหลอกด่านั่นแหละ แต่ไม่แรงไม่มีคำหยาบ คือถ้าไมค์ต้องการทำเพลงให้คนฟังคิดก็จะให้เขาคิดเลย แต่ถ้าต้องการทำเพลงสนุกๆก็จะรั่วไปไม่สนใจ เพราะถ้าเราอยากจะทำอะไรเราก็ต้องทำให้สุด ถ้าจะทำเพลงให้สนุกก็ต้องไปให้สุดเลย ส่วนเพลงที่ 2 ถ้าพูดถึงความรักไมค์ก็จะพูดถึงเรื่องที่ไมค์ผ่านมา เป็นประสบการณ์ของตัวเอง ไมค์เป็นคนที่ค่อนข้างสนใจสิ่งรอบข้างแต่จะไม่แสดงออก ทุกครั้งที่ไมค์ไปงาน สิ่งที่ไมค์แสดงออกคือไมค์เมินเฉย เพิกเฉยกับสิ่งรอบข้าง แต่จริงๆไมค์จะคอยสังเกตอยู่ตลอด ไมค์เป็นคนที่ชอบสังเกตมากทุกอย่าง เช่น เวลาที่ไมค์เข้ามหาวิทยาลัย ไมค์ก็สังเกตว่ากลุ่มไหนมีบุคลิกเป็นยังไง กลุ่มไหนควรอยู่หรือไม่ควรอยู่ด้วย
สำหรับไมค์ชีวิตมันเหมือนการวางหมาก ชีวิตมันเป็นเกมอย่างหนึ่ง ถ้าเราไม่วางหมากดีๆ เราก็จะแพ้
ทำไมถึงคิดว่าชีวิตเหมือนการวางหมากล่ะ
อันนี้ไมค์ไม่ได้คิดแง่ลบนะแต่มันคือสัจธรรมของชีวิตจริง เช่น เราไม่สามารถไว้ใจคนอื่นได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะเป็นเพื่อนรักของเรา คือเขาอาจจะรักเรามาก แต่วันหนึ่งเขาอาจจะหันมาเป็นศัตรูกับเราก็ได้ ไม่มีใครรู้อนาคตถูกมั้ยฮะ สองคือเขาอาจจะเผลอทำร้ายเราโดยที่เขาไม่รู้ตัวก็ได้เหมือนกัน ฉะนั้นเรื่องบางเรื่องที่เรามีความลับเราก็ไม่ควรจะบอกเขาหมด เราควรจะวางไว้ว่าคนคนนี้เราบอกได้แค่ไหน มีระยะในการคบหาผู้คน เพราะถ้าเราปล่อยการ์ดลง เราก็เหมือนถูกต้อนจนมุม เขาเข้ามาเขาก็กินหมากของเราได้
เคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้มั้ย
ต้องเคยเจอฮะ สิ่งเหล่านี้มันเหมือนประสบการณ์ ถ้าเราเจอแล้วเราเรียนรู้จากมัน มันมีคนที่เจ็บแล้วจำ กับเจ็บแล้วไม่จำ หรือคนที่รู้กับคนที่ไม่รู้
แล้วไมค์เป็นคนประเภทไหน
ไมค์เป็นคนที่เจ็บแล้วจำ คือพอได้รับประสบการณ์ครั้งหนึ่ง ไมค์ต้องเอากลับมาคิดและทบทวน คิดนานมาก คือคนเรามักจะคิดว่าตัวเองเข้าใจในเรื่องบางเรื่อง แต่พอเจอกับตัวเองกลับไม่เข้าใจ เพราะอะไร เพราะว่าเขาเข้าใจในหลักของคำพูดของศัพท์ภาษา แต่เขาไม่ได้เข้าใจมันจริงในหลักความรู้สึก คนเราเข้าใจกันด้วยความรู้สึกยากครับ ถ้าไม่ตัดบางสิ่งบางอย่างออกไปจากจิตใจของเรา คือคนเรามักมีกิเลสเกิดขึ้น มีรัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งอันนี้ตัดออกจากมนุษย์ยาก ซึ่งถ้าไม่ฝึกคุณก็ไม่สามารถทำได้ ถึงฝึกแล้วแต่ถ้าวันหนึ่งคุณเจอเรื่องใหม่ๆที่มันร้ายแรงกว่าเดิมคุณก็อาจจะทรุดตัวลงบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับล้มลงเลยเพราะคุณมีภูมิต้านทานอยู่แล้ว
ไมค์เรียนรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้จากอะไร
ไมค์เรียนรู้ด้วยตัวเอง จากประสบการณ์ชีวิต จริงๆไมค์ไม่เคยดูคนที่อายุ เพราะสุดท้ายอายุมันก็เป็นแค่ตัวเลข ไมค์ปรู๊ฟมันมาแล้วว่ามันเป็นแค่ตัวเลขจริงๆและมันก็เป็นแค่คำพูดด้วย อายุเป็นตัวเลขที่มนุษย์เราตั้งโจทย์ขึ้นมาให้ แต่อายุจริงๆสำหรับไมค์ก็คือ สมอง ประสบการณ์และความคิดของเราเท่านั้น เวลาใครมาถามว่าไมค์อายุเท่าไหร่ ไมค์บอกว่า 22 แล้วเขาบอกว่า โห เด็กกว่าเขาตั้งเยอะเนี่ย ไมค์จะไม่สนใจ เพราะไมค์รู้ตัวไมค์เองว่าไมค์ก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว อาจจะมีบางมุมที่เด็ก ใช่ ไมค์ยอมรับแน่นอน ไมค์เชื่อว่าคนเรามีมุมที่ต้องการจะกลับไปเป็นเด็กอยู่แล้ว เพราะเมื่อโตมามันมีความรับผิดชอบเยอะ ทำให้คนรู้สึกว่าอยากจะกลับไปเป็นเด็กบ้าง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีปาร์ตี้ขึ้นเพราะว่าคนเราต้องการหนีจากโลกของความเป็นจริง และไปอยู่ในโลกที่เขาสามารถลืมความรับผิดชอบเหล่านี้ได และนั่นก็เป็นที่มาว่าทำไมจึงมีแอลกอฮอล์เกิดขึ้น เพราะแอลกอฮอล์ทำให้มึนเมา ขาดซึ่งสติ และมันทำให้คนเรารู้สึกว่าไม่ต้องรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น และถ้าสมมติต้องรับผิดชอบ คนก็จะโทษแอลกอฮอล์ได้ สามารถโยนความผิดให้แอลกอฮอล์ได้ แต่สำหรับไมค์ การที่เราจะหนีออกไปโลกอื่นไม่ต้องพึ่งแอลกอฮอล์หรอก ไมค์รู้สึกว่านั่งสมาธิมันก็ช่วย หรือเวลาไมค์ไปปาร์ตี้เหมือนคนอื่นๆ ไมค์ก็ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ แต่ไมค์ก็สนุกได้ เมาน้ำเปล่าได้ (ยิ้ม) ร้องไห้ได้ และหนีไปอีกโลกหนึ่งได้เหมือนกันทุกอย่าง อยู่ที่ว่าเราเชื่อมั่น และอยู่ที่เราคิด เพราะฉะนั้นไมค์จึงเชื่อว่าทุกอย่างมันอยู่ที่ใจตราบใดที่ใจคนเราเข้มแข็งพอและสามารถที่จะตัดสินใจได้ว่าเราไม่ต้องใช้มัน ก็ไม่ต้องใช้ทั้งชีวิตเลย
ไลฟ์สไตล์ของไมค์เป็นยังไง
ไมค์ไม่ค่อยปาร์ตี้เท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่คนมักจะชอบบอกว่าไมค์เนี่ยนะไม่ปาร์ตี้? เพราะเขาดูแค่เพียงผิวเผิน เขาไม่ได้ดูลึกลงไปกว่านั้น ไมค์อาจจะอยู่ในผับ แต่ดื่มเหล้ามั้ย สูบบุหรี่ เล่นยารึเปล่า ไม่มี ฉะนั้นไมค์ก็ไปฟังเพลง ไมค์มีวิธีชิลล์ของไมค์ ไมค์ชอบฟังเพลง จริงๆแล้วไมค์ชอบดนตรีแจ๊สมากกว่าด้วยซ้ำ ดนตรีแจ๊สเก่าๆ ร้านเล็กๆ ฟังแล้วเคลิ้มมาก เหมือนอยู่ต่างประเทศ ไมค์เป็นคนชอบดนตรีสดมาก พยายามจะฝึกเล่นเปียโนแต่ยากมาก และทุกวันนี้ไมค์ไม่รู้ว่าการกดคอร์ดมันกดยังไง ไมค์ให้คนมากดให้แล้วไมค์ก็จำว่ากดอันไหน จากนั้นไมค์ก็ซ้อมไปเรื่อยๆ จนกดด้วยความรู้สึก ไม่ต้องจำ และเล่นด้วยความรู้สึก
ปกติไมค์อยู่ในห้องได้ทั้งวัน ฟังเพลง ไม่มีอะไรทำก็ร้องเพลง เล่นกีตาร์ เล่นดนตรี แล้วมันชิลล์มาก คือไม่ต้องไปไหน ไปก็วุ่นวาย รถก็ติด อีกอย่างออกกำลังกายก็สนุก ยิ่งออกกำลังกายกันเยอะๆนี่เป็นอะไรที่สนุกมาก บางครั้งก็เล่นบาสฯ จริงๆมีวิดีโอที่ไมค์เล่นบาสฯกับเพื่อนแล้วขำมาก อยู่ในยูทู้บ ไมค์เอามาลงเล่นๆ จุดหลุดของแต่ละคน สนุกดี การเล่นกีฬานอกจากทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ยังได้เรื่องจิตใจด้วย เพราะการเล่นกีฬามันได้เชื่อมโยงกับมนุษย์คนอื่นโดยที่ไม่ต้องใช้คำพูด มันได้ละลายความเครียดด้วย
ส่วนใหญ่มักจะเครียดกับเรื่องอะไรบ้าง
เรื่องเวลาครับ เพราะไมค์เป็นคนที่เวลาน้อย เพราะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ขี้เกียจดร็อป อยากเรียนให้จบๆ เลยไม่มีเวลาได้มานั่งอยู่กับตัวเอง
มีวิธีคลายเครียดยังไง
ทำความเข้าใจกับมันและคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา