บทที่ 7
กลายเป็นปัญหาขึ้นมาซะแล้วสิ ไม่สิ มันเป็นปัญหามาตั้งแต่ไฟไหม้บ้านแล้วต่างหากล่ะ แต่ปัญหาหนักที่สุดสำหรับฉันในตอนนี้ก็คือ ฉันไม่มีเพื่อนที่จะไปขอค้างด้วย ได้เลยซักคนเดียว
เพื่อนน่ะมี แต่เพราะนิสัยของฉันอาจจะคบหาลำบากอยู่ซักหน่อย ทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก แต่ถึงยังไง ก็ย้งมีความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่เหมาะสมกับเพื่อนร่วมชั้นในฐานะนักเรียนอยู่ เพราะฉันใส่ใจกับชีวิตในโรงเรียนมาตลอด
จะว่าไปแล้ว อารารากิคุง มักจะจิกกัดตัวเองเรื่องทีมีเพื่อนน้อย จนหลังๆดูเหมือนจะกลายเป็นความภาคภูมิใจไปแล้ว ก็คงมีแค่เรื่องนี้ที่ฉันกล้ายืนยันได้ว่า เขาพูดออกมาแต่ละครั้งโดยที่ไม่มีคำโป้ปดแฝงอยู่แม้แต่น้อย ไม่ได้พูดเกินเลยอะไรซักนิด ก็เขาไม่มีเพื่อนจริงๆ
แต่ควรจะพูดว่า พยายามทำตัวไม่คบหาเพื่อนมาเป็นเวลานานมากกว่า แบบว่า ถ้ารู้จักเพื่อนเยอะ ชีวิตมันจะง่ายเกินไป อะไรแบบนั้น เขาเคยคิดแบบนั้นจริง และพูดออกมาแบบนั้นจริง หลักการดำเนินชีวิตที่ว่านี้ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ก็ต้องบอกว่ายังอยู่ในช่วงฟื้นฟู เพราะฉันยังไม่เคยเห็นเขา คุยกับเพื่อนร่วมชั้นผู้ชายคนไหนเลยซักครั้งเดียว หรือที่จริงต้องบอกว่า ฉันยังไม่เคยเห็นเขาคุยกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นเลย นอกจากฉัน กับคุณเซนโจงาฮาระ
และฉันก็รู้ว่า ตัวเขาในตอนนี้ถูกเรียกเป็น “เตมีย์ใบ้ผู้เย็นชา” เหมือนกับที่คุณเซนโจงาฮาระ เมื่อก่อนเคยถูกเรียกว่า “คุณหนูผู้เย่อหยิ่งถือตัว”
คือถ้าเทียบกับอารารากิคุง ที่เป็นแบบนั้นแล้ว ฉันยังนับว่าพอมีเพื่อนอยู่บ้าง ได้รับความสนิทสนมด้วย แต่พอคิดๆดูแล้วฉันก็พบว่า ตัวเองไม่เคยไปค้างที่บ้านเพื่อนคนไหนเลย หรือก็คือ ประสบการณ์ “การไปค้างบ้านเพื่อน” เป็นศูนย์ อืม... คิดทบทวนไปมาแล้วก็ยังไม่รู้ว่า ทำไมกันนะ ตัวฉันพยายามปฏิเสธการมีตัวตนของบ้านหลังนั้นมาตลอด แต่ฉันกลับไม่เคยทำเรื่องที่เรียกได้ว่า “หนีออกจากบ้าน” อย่างจริงจัง เลยซักครั้งเดียว
อารารากิคุงบอกว่า ก็เพราะเธอเป็นเด็กเรียนดีน่ะสิ พูดอย่างนั้นมันก็ถูกอยู่ แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ความเห็นของคุณเซนโจงาฮาระ น่าจะตรงประเด็นกว่า ฉันหมายถึง “เคยพูดว่า “ช่วยด้วย” มั้ย?” นั่นเอง
ไม่ใช่เฉพาะกับอารารากิคุง ตัวฉันคงจะไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้ นอกจากตัวเอง
ไม่ยอมให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานของตัวเอง ไม่ยอมเรียกตัวช่วยจากใครเลย
อยากจะกำหนดชีวิตของตัวเองด้วยความคิดของตัวเอง เพราะอย่างนั้น ถึงได้กลายเป็นแมว กลายเป็นสิ่งลี้ลับ กลายเป็นตัวฉัน
“แหม ไม่เป็นไรหรอก มีที่พึ่งที่เล็งเอาไว้อยู่แล้วนี่”
ฉันพูดขึ้นเพื่อเตือนให้ตัวเองตั้งหลักได้ซะที ไม่ได้พูดคนเดียวกับตัวเอง และก้าวเดินออกไป ของติดมือมีแค่กระเป๋าที่หิ้วไปโรงเรียนใบเดียว – เพราะเป็นวันเปิดภาคเรียนวันแรก ของที่ใส่ไว้ข้างในจึงมีแค่ เครื่องเชียน ปากกาดินสอ และสมุดโน้ท ไม่กี่เล่มเท่านั้น แต่ก็เป็นสมบัติติดตัวทั้งหมดของฉันในตอนนี้ มีสมบัติติดตัวแค่กระเป๋าใบเดียวนี่ เหมือนกับ แอน ชาลี(赤毛のアンแอนผมแดง Anne of Green Gables) ตอนเริ่มเรื่องเลยแฮะ ยังคิดเรื่องล้อเลียนตัวเองกับสถานการณ์แบบนี้ได้ ดูเหมือนฉันจะไม่ได้เป็นพวกเถรตรงจนจนเกินไป ไม่ถึงขนาดล้มทั้งยืนทำอะไรไม่ได้เวลาที่สูญเสียทุกอย่าง ส่วนที่พึ่งที่ตั้งใจเอาไว้ก็แน่นอนว่าเป็น ตึกโรงเรียนกวดวิชาร้างหลังนั้นนั่นเอง รู้สึกว่าตอนที่มันยังเปิดอยู่จะชื่อว่า เอย์โคจุคุ สถานที่ที่ คุณโอชิโนะ กับ ชิโนบุจัง อาศัยอยู่ ประมาณ 3 เดือน ที่อยู่ของอารารากิคุง ในช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา (บทคิสุฯ)
เรื่องพวกนี้ช่วยยืนยันได้ว่า อย่างน้อยที่นั่นก็มีเครื่องเรือน หรือของที่พอจะใช้ทดแทนได้ สำหรับคนที่จะไปค้างแรมที่นั่น คาดเอาไว้ว่าอย่างนั้น อย่างน้อยที่สุด มีพื้นห้องรองรับ มีหลังคาบังแดดบังฝน ก็น่าดีใจแล้ว
ถึงจะอยู่ในตำแหน่งที่ไกลเกินไกลสำหรับการเดินทางด้วยเท้าก็จริงอยู่ แต่เมื่อคิดว่าช่วงนี้ต้องประหยัดเงิน ฉันจึงไม่ขึ้นรถเมล์ ช่วงก่อนหน้านี้คุณโอชิโนะ กางเขตแดนเอาไว้ เป็นกลไกที่ทำให้มันกลายเป็นสถานที่ ที่ไปไม่ถึง แต่ตอนนี้เขตแดนที่ว่านั้นถูกยกเลิกออกไปแล้ว เดินไปให้ถูกทาง ก็มาถึงได้ตามปกติ แน่นอนว่า ที่นั่นไม่มีไฟฟ้าแล้ว เพราะอย่างนั้นต้องรีบเตรียมที่นอนให้เสร็จก่อนที่จะมืดค่ำ รู้สึกว่า คุณโอชิโนะ กับ อารารากิคุง จะเอาพวกโต๊ะเก้าอี้ มาเรียงต่อกันเป็นเตียง ใช่มั้ยนะ? ถ้างั้นฉันก็คงต้องเอาอย่างบ้าง
ลอดผ่านช่องกำแพงลวด เข้าไปในตัวอาคาร ก่อนอื่นเลย ฉันเดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้น4 ที่ต้องเป็นชั้น4 เพราะได้ยินมาจากอารารากิคุงว่า คุณโอชิโนะ จะอยู่ที่ชั้น4 ซะเป็นส่วนใหญ่ นั่นคือ สังเกตจากความเคยชินของผู้ที่เคยอยู่อาศัยมาก่อนหน้า สรุปได้ว่า ชั้น4 เหมาะที่จะใช้ที่พักอาศัยที่สุด แต่มันกลายเป็นข้อสรุปที่ผิดพลาด ห้องเรียนห้องแรกของชั้น4 ที่ฉันเดินเข้าไปดู มีรูขนาดใหญ่บนเพดาน (บทคิสุที่น้องบุทำลายเพดานเพื่อไปนั่งคุยกับหงอนบนดาดฟ้า)
และห้องถัดไปพื้นห้องหายไป (ผลจากการต่อสู้ของอาเจ๊&น้องศพ(หรือน้องโย) VS ไอ้หงอน&น้องบุ ในบทน้องนก)
ไม่มีทั้งพื้น ไม่มีทั้งหลังคา..... และห้องสุดท้ายที่เหลืออยู่ในสภาพรกรุงรังเหมือนกับถูกสัตว์ป่าอาละวาด หรือถ้าจะให้พูดไป รู้สึกมันจะเหมือนกับถูก อารารากิคุง กับ มาโยยจังมาอาละวาดทิ้งเอาไว้ รู้สึกเสียใจขึ้นมานิดดหน่อย ที่คาดหวังว่ามันจะไปได้สวย มันไม่น่าจะรกร้าง รุงรังขนาดนี้นี่นา..... ที่จริงตั้งแต่ตอนที่ฉันพูดออกมาเองว่า จะไปค้างบ้านเพื่อน ภาพของที่นี่ก็เข้ามาอยู่ใน มโนหนึ่งของความคิดฉันแล้ว แต่ที่นี่กลับมีสภาพที่ย่ำแย่ผิดกับที่คาดเอาไว้เยอะเลย พยายามฝืนยิ้มขึ้นมา พร้อมกับทำตัวให้ร่าเริงเข้าไว้ จากนั้นก็เดินลงมาที่ชั้น 3 เพื่อจะพบว่าห้องเรียนห้องแรกของชั้นนี้ ไม่มีทั้ง พื้นและเพดาน ดูเหมือนว่า รูบนพื้นข้องห้องที่ชั้น 4 เมื่อซักครู่จะทะลุต่อมาถึงห้องนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ สังเกตจากขอบขอบรูที่เกิดขึ้น มันยังดูใหม่เหมือนกับเพิ่งเกิดเรื่องได้ไม่นาน.....
ถ้าหากที่เกิดจากการทรุดตัวพังทลายเองตามธรรมชาติ แปลว่ามาตรการการป้องกันแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ตอนที่ก่อสร้างที่นี่คงทำไว้แย่มากจนน่าเป็นห่วง ฉันพยายามสำรวจต่อไปด้วยใจที่สั่นระรัว และในที่สุดก็พบห้องที่ทั้งพื้น เพดาน กำแพง อยู่ในสภาพเรียบร้อยอย่างที่ควรจะเป็น ถึงจะรู้สึกโล่งใจได้ แต่ฉันก็ต้องรีบเตรียมที่นอนให้ตัวเองซะก่อน พร้อมกับคิดไปว่า อย่างกับมาเข้าค่ายลูกเสือแน่ะ ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่เคยไปเข้าค่ายลูกเสือจริงๆหรอก ถึงจะรู้แต่ก็เพียงแค่รู้ ไม่เคยมีประสบการณ์ เป็นอย่างที่คุณเซนโจงาฮาระพูดเอาไว้จริงๆนั่นแหละ ฉันมีความรู้สั่งสมเอาไว้มากมาย แต่มันก็เป็นของที่ทับถมกันขึ้นมาอย่างไร้ความหมาย และเอาเข้าจริงๆแล้ว เรื่องที่ดูเหมือนง่ายๆอย่าง เรียงโต๊ะมาต่อกันเป็นเตียง มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างพูด อย่างแรกเลย ฉันไม่มีเชือกที่จะผูกโต๊ะให้ติดเข้าด้วยกัน จนสุดท้ายฉันต้องออกจากตึกร้างนั้น เพื่อไปหาซื้อเชือกจากร้านค้าที่อยู่ใกล้ที่สุด
“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว ตอนคุณโอชิโนะนอน ต้องต่อโต๊ะเพิ่มอีกตัว แต่ฉันไม่ได้ตัวสูงอย่างคุณโอชิโนะ ความยาวแค่นี้ก็พอดีแล้ว”
จะว่ายังไงก็ตาม การสร้างอะไรขึ้นมาซักอย่างนี่ มันสนุกจริงๆ ฉันชื่นชมเตียงที่ต่อด้วยตัวเองราวกับเป็นผลงานชิ้นเอก จนอดไม่ได้ที่จะลองขึ้นไปนอนทั้งที่ยังใส่ชุดนักเรียนอยู่
“หวา”
แบบนี้ไม่ไหวแฮะ ยิ่งค่าความคาดหวังสูง ค่าความเสียหายทางจิตใจที่เกิดขึ้นจากความผิดหวังจึงสูงตามไปด้วย ไม่ไหวจริงๆ เล่นเอาเพลียจับใจเลย นี่มัน ไม่ต่างอะไรกับนอนบนพื้นเลย ขรุขระ และ แข็งโป๊ก แต่เมื่อคิดได้ว่า การจะเปรียบเทียบอะไร ควรจะทำการทดลองให้แน่ชัด จึงลองลงไปนอนบนพื้นดู และก็พบว่า ไม่ได้แตกต่างกันมากอย่างที่คิดจริงๆ ไม่สิ จะว่าไปแล้ว เพราะมันมีร่องระหว่างโต๊ะ ทำให้เตียงที่ต่อจากโต๊ะมันน่าจะนอนลำบากกว่าด้วยซ้ำ คุณโอชิโนะ ช่างน่ากลัวจริง ฉันว่าเขาต้องนอนบนเตียงเข็มได้ด้วยแน่ๆ
จากนั้นก็ลองนึกถึง อารารากิคุงกับชิโนบุจัง ว่าตอนที่พวกเขามาอาศัยอยู่ที่นี่ล่ะ เป็นยังไงบ้างนะ จะว่าไปแล้ว ชิโนบุจัง แต่เดิมก็เป็นแวมไพร์ ส่วนอารารากิคุง ช่วงที่ต้องมาอาศัยที่นี่ ก็เพราะเขากลายเป็นแวมไพร์ไปไม่น่าจะอ้างอิงอะไรได้
กับผีดูดเลือด ที่นอนในโลงศพแคบๆแล้วยังรู้สึกว่านอนสบายได้ คงไม่เกี่ยงเรื่องสภาพที่นอนอะไรแล้วล่ะ
“ฟูกไงล่ะ ต้องหาฟูกปูนอน.....”
พูดจบแล้วฉันก็เดินออกจากตึกร้างอีกครั้ง ฉันถือกระเป๋าเงินติดตัวออกมาด้วย และข้างในมีบัตร ATM อยู่ – ดังนั้นเรื่องที่กลัวว่าจะซื้อของไม่ได้ ก็ไม่ต้องเป็นห่วง ยังไงซะของที่จำเป็นต้องใช้งาน นอกจากเชือกพลาสติก แล้วก็ยังมีอีกหลายอย่าง แค่เดินหลายรอบแค่นี้ อย่าไปคิดมากว่าเสียเวลา เพียงแต่ ตัวันในตอนนี้ ยังต้องกระเบียดกระเสียนแม้แต่ค่ารถเมล์ ดังนั้นเรื่องที่จะซื้อฟูกยัดขนนก ให้ปูนอนซุกได้อุ่นๆ จึงเป็นไปไม่ได้ เลยจำเป็นต้องเตรียมของที่จะใช้งานแทนกันได้ไปก่อน จะว่าไปเคยอ่านจากหนังสือซักเล่มว่า ถ้าต้องการความอบอุ่น กระดาษหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร รวมถึงกล่องลูกฟูก เป็นวัสดุให้ความอุ่นที่ประหยัดมาก และกล่องลูกฟูกไปขอจากห้างก็น่าจะได้มาง่ายๆ หลังจากสรุปปริมาณของสิ่งที่จำเป็นต้องซื้อแล้ว ผลก็ออกมาว่า ขากลับต้องขึ้นรถเมล์จนได้ ตรงนี้คงต้องยอมแพ้อย่างช่วยไม่ได้ ไปฝืนประหยัดในจุดที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ มันก็ไม่ดี ถึงจะตกยากแต่อย่าถี่เหนียว เป็นคำพูดที่สวยงาม ฟังดูดีเลยทีเดียว แต่ก็เพราะอย่างนั้นแหละ ขาไปจึงต้องใช้วิธีเดิน ค่อยๆเดินไปช้าๆ ค่อยๆย่างเท้า ย่ำไปทีละก้าว ของที่จำเป็นมากคือ อาหารกระป๋องที่เก็บรักษาได้นาน แล้วก็น้ำดื่ม ส่วนเรื่องเครื่องนอน ฉันตัดสินใจใช้กล่องลูกฟูกปูรองนอน ส่วนผ้าห่มเลือกเอากระดาษหนังสือพิมพ์แทนที่จะเป็นนิตยสาร เพราะถ้าใช้นิตยสารฉันก็ต้องฉีกแต่ละหน้าออกจากกันก่อน และนั่นเป็นเรื่องที่ฉันไม่มีทางทำได้ แม้จะเป็นแค่นิตยสาร แต่ฉันก็ไม่อยากจะไปฉีกทำลาย หนังสือที่ใช้อ่าน และตรงจุดนี้ หนังสือพิมพ์ มันก็สามารถแยกออกมาเป็นแผ่นๆได้ในตัวอยู่แล้ว อีกอย่างคือเสื้อผ้า จะให้นอนทั้งชุดนักเรียนแบบนี้คงไม่ได้ – ดูเหมือนอารารากิคุงจะเริ่มมีความคิดว่า ตัวฉันไม่มีชุดส่วนตัวชุดอื่นเลยนอกจากชุดนักเรียน ซึ่งแน่นอนว่าที่จริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น คนพวกนั้นไม่เคยทำอะไรกับฉันในแบบที่สมกับความเป็นพ่อแม่ซักอย่างเดียวเลยก็จริง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเลี้ยงดูแบบปล่อยปละทิ้งขว้าง อย่างน้อยก็ทำเท่าที่จำเป็นน้อยที่สุด เหมือนกับทำไปตามหน้าที่ เพราะอย่างนั้น พวกเขาจึงซื้อเสื้อผ้าให้ฉันบ้างเหมือนกัน – เพียงแต่ ฉันไม่อยากจะสวมใส่พวกมันซักเท่าไหร่ แต่เอาเถอะ อยากหรือไม่อยาก พวกมันก็ไหม้ไปหมดแล้วนี่นา ไหม้ไปแล้วก็จบกันแค่นั้น อารมณ์เหมือนกับโดนรีเซต ใช่ – ถึงจะฟังดูขาดความระมัดระวังไปบ้าง แต่ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองชอบอะไรที่สบายๆไม่ถูกผูกมัด ถึงความสบายๆที่ว่านั่น มันจะดูไม่จริงใจเอาซะเลย มันไม่ได้ – ถูกรีเซตอะไรเลย สภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ ควรจะเรียกว่า ตกที่นั่งลำบาก มากกว่าจะเรียกว่า รู้สึกปลดปล่อยจนโล่งเบาสบาย ถึงจะสูญเสียมันไปแล้ว แต่ก็ทำเป็นว่าไม่เคยมีมันอยู่ ไม่ได้ หลังจากเดินวนดูในห้างแล้วก็พบว่า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมีราคามากกว่าที่คิดไว้ หรือจะไปยูนิโคล(UNIQLO)ดีนะ แต่ก็ต้องขึ้นรถไฟฟ้าไป..... ขณะที่กำลังคิดแบบนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นร้าน ทุกอย่าง100เยน อยู่ข้างๆ พอแวะเข้าไปดูด้วยใจกึ่งๆคาดหวังว่า จะเป็นไปได้ไหมว่า มีของที่เรากำลังหาอยู่ แล้วก็มีจริงๆด้วย ถึงแม้ (ชุดเสื้อกางเกงแขนยาวที่มีลวดลายคล้าย)ชุดนอน จะไม่ได้มีราคาแค่100เยน แต่อย่างน้อย ชุดชั้นในก็ยังมีขายในราคา100เยน ฉันเลือกซื้อพวกมันมาอย่างไม่ลังเล แล้วก็จบการซื้อของแค่นั้น หลังจากนั้นระหว่างที่กำลังคิดไปเพลินว่า
“เดี๋ยวก่อนสิ แต่แบบนี้ จะให้อารารากิคุงเห็นฉันใส่ชุดชั้นในที่ซื้อจากร้านทุกอย่าง100เยน ไมได้น่ะสิ”
ฉันก็ขึ้นรถเมล์กลับมาจนถึงตึกโรงเรียนกวดวิชาร้างหลังนั้น ถึงคุณโอชิโนะ จะดูเป็นคนไม่ใส่ใจเรื่องการกินอยู่หลับนอนของตัวเองซักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่แวมไพร์ การที่เขาสามารถ อดทนฝ่าฟันความยากลำบาก อาศัยอยู่ที่นี่ได้นานถึง 3 เดือนทำเอาฉันทึ่งไปเลยทีเดียว
กลับไปที่ห้องเรียนบนชั้นสาม จากนั้นก็เริ่มการต่อเติมเตียง ตัดกล่องลูกฟูกด้วยคัตเตอร์ พับซ้อนเป็นสองชั้น แปะติดกับโต๊ะด้วยเทปกาว บางคนอาจจะคิดว่า
“เดี๋ยวก่อนสิ ถึงจะตัดจะต่อยังไง กระดาษลูกฟูกก็เป็นแค่กระดาษลูกฟูกอยู่ดี ไม่ใช่เหรอ”
แต่ที่จริงแล้วมันช่วยนอนได้สบายขึ้นมาก ดังนั้นฉันจึงซ้อนเพิ่มเข้าไปอีกชั้น เพื่อความสบายใจ แล้วฟูกปูนอนก็เสร็จสมบูรณ์ หลังจากต่อเติมมาถึงตรงฉันก็เริ่มเหนื่อยซะแล้ว จึงตัดสินใจกินอาหารรองท้องซะก่อน ซื้อมาแต่อาหารกะป๋อง ก็เลยไม่จำเป็นต้องปรุงหรือทำอะไรเพิ่ม แน่นอนว่า ฉันไม่ลืมที่จะ
“ทานแล้วนะคะ”
เป็นอะไรที่ขาดไม่ได้ ถึงจะเป็นอาหารกระป๋อง แต่ถึงย้อนกลับไปหาวัตถุดิบของมันแล้ว อย่างไรเสียมันก็ต้องถูกผลิตขึ้นจาก การเสียชีวิตของอะไรซักอย่าง ไม่ผิดอย่างแน่นอน ดังนั้นฉันถึงต้อง ทานแล้วนะคะ นั่นสิ ถึงเป็นไปได้ที่มันอาจจะไม่ใช่สิ่งชีวิตก็ตาม แต่ยังไงมันก็กำลังจากกลายมาเป็นเลือด เป็นเนื้อ ให้กับฉัน จึงต้องขอรับประทานด้วยความขอบคุณ
ชีวิตนั้น มีคุณค่า แม้มันจะไม่มีชีวิตแล้วก็ตาม
เพียงแต่ว่า กินทั้งแบบนี้มันออกจะจืดชืดเกินไปหน่อย สงสัยจะต้องซื้อ เตาแก๊สเล็กกับหม้อ มาเพิ่มทีหลังแล้วล่ะ ถึงจะเป็นแค่ที่อยู่อาศัยชั่วคราวจนกว่า สองคนนั้นจะหาบ้านเช่าได้ แต่คิดอีกทีสองคนนั้นก็งานยุ่งอยู่ตลอด อาจจะเสียเวลาอยู่นานถึงจะหาบ้านเช่าได้ ดังนั้นก็เป็นไปได้ว่าฉันต้องใช้ชีวิตแบบนี้ ไปอีกซักพักเลยล่ะ
“ห้องน้ำกับ ที่อาบน้ำ ไปใช้ของที่โรงเรียนเอา..... แบตโทรศัพท์มือถือ คงจะพอหาชาร์จที่โรงเรียนได้ล่ะนะ ถ้าจะอ่านหนังสือไปที่ห้องสมุดโรงเรียน หรือหอสมุดของเมืองก็ได้ เรื่องที่น่าจะยังมีปัญหาอีกก็คงเป็น.....”
ฉันพยายามนึกถึงกิจกรรมจำเป็นที่น่าจะมีปํญหา และคิดหาทางออกเท่าที่จะเป็นไปได้ให้กับพวกมัน ไม่ว่าปัญหาไหน ก็หาทางออกได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งแทนที่จะเรียกว่า เป็นการหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้กับการใช้ชีวิตอย่างลำบากยากแค้นแบบนี้ น่าจะเป็นความพยายามที่จะ ยืนยันกับตัวเองว่า ถึงบ้านพรรค์นั้นจะไหม้จนไม่เหลือซาก ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไร มากกว่า ทำแบบนั้น เพื่อเป็นการเรียบเรียงสภาพจิตใจของตัวเอง เหมือนต้องการแก้ไขความลักลั่นในตัวเอง ช่างสมกับเป็นตัวฉันจริงๆ
“อิ่มแล้วค่ะ”
พูดถึงฤดูกาลของช่วงเวลานี้ มันก็เพิ่งจะหลังจากหน้าร้อนผ่านไปได้ไม่นาน ช่วงกลางวันน่าจะยังยาว ดวงอาทิตย์น่าจะตกช้า แต่พอรู้ตัวอีกทีรอบๆก็มืดไปหมดแล้ว ฉันจึงเปลี่ยนชุดมาเป็นชุดนอนที่ซื้อมาจากร้าน ทุกอย่าง100เยน รวมทั้งเปลี่ยนชุดชั้นในด้วย จากนั้นจึงขึ้นไปนอนบนเตียงที่เพิ่งจะทำเสร็จ ถึงสภาพของมันจะไม่สามารถเรียกได้ว่า นอนสบาย แต่อย่างน้อยฉันก็รู้สึกว่า มันหลับสบายกว่า ระเบียงในบ้านหลังนั้น อย่างน่าประหลาด
เรื่องราวของเเมวเหมียว (ขาว) ซึบาสะเสือสมิง บทที่ 7 END
จากคุณ |
:
Fate Linegod
|
เขียนเมื่อ |
:
15 มี.ค. 55 14:29:44
|
|
|
|