THE DARK MIKE ผู้จัดการรายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18-24 เมษายน 2554 เรื่อง : กองบรรณาธิการ TASTE // ภาพ : OOFSIDE
ไมค์ พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล กับภาพลักษณ์ของวัยรุ่นใส ๆ ซึ่งมีจุดขายที่หน้าตา กำลังจะก้าวเข้าสู่ Face ใหม่ของชีวิตในวงการ ตลอดระยะเวลาสนทนากว่าชั่วโมง เราสัมผัสได้ว่า นี่คือการ ล้างไพ่ทางตัวตน ครั้งสำคัญของคนหนุ่มคนนี้
คนเราต้องเติบโต ถ้อยคำประโยคนี้ อาจเป็นเพียงวาทกรรมสวยหรูคำหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าใครก็พูดได้ แต่ไม่ว่าใครก็ตาม ที่เคยพบพานช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่ชักนำไปสู่การเติบโตทางความคิดความอ่าน ตลอดจนเปลี่ยนแปลง Point of View ที่มีต่อโลกและชีวิตให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ย่อมรู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของวาทะประโยคนี้
เช่นเดียวกัน เราเองก็เชื่อในระดับหนึ่ว่า ไมค์ พิรัชต์ ก็น่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาที่ได้สัมพัสกับความไม่ธรรมดาของถ้อยคำดังกล่าวแล้ว มุมมองความคิดที่พรั่งพรูออกมาตลอดการสนทนา ทำให้เราแทบจะนึกภาพไม่ออกเลยทีเดียวว่า เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เราเพิ่งเห็นคนหนุ่มคนนี้บนเวทีที่รายล้อมด้วยวัยรุ่น และตัวเขาไม่ได้ต้องทำอะไรมากไปกว่า เก๊กหน้าหล่อ ๆ และ โยกย้ายส่ายขา ไปตามลีลาของจังหวะแห่งเสียงเพลงที่ก็ไม่ค่อยมีใครใส่ใจนักว่าเนื้อหาของมันจะสำคัญแค่ไหน เพราะก็ไม่พ้นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เอาใจวัยรุ่นเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้...แตกต่างออกไป มากน้อยแค่ไหน อย่างไร ไปคุยกันเลยดีกว่า...
[ ถ้าคุณคิดจะเป็น Idol คุณต้องมีความคิดที่มันเป็น Positive ต้องมีความคิดที่แข็งแรง และมีความคิดที่เป็นผู้นำ ] เส้นทางของคุณนับจากนี้ ได้ข่าวว่าแยกตัวออกจากพี่ชายแล้ว? ใช่ครับ จริงๆ เราแยกกันมาสักพักแล้วครับ แต่ว่ายังไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ปีนี้จะออกมาประกาศแล้วว่า แยกทำโปรเจกต์ใหม่ โซโล่อัลบัมเดี่ยวอย่างเป็นทางการ แต่ว่ามันก็เป็นโปรเจกต์เดี่ยวเฉย ๆ ไม่ได้มีการแยกวงแต่อย่างใด เป็นโปรเจกต์พิเศษ มัน inspire มายังไงทำไมจู่ ๆ ถึงแยกกันทำ? คือต่างคนต่างก็มีแนวคิดเป็นของตัวเอง แล้วก็มีสไตล์ที่แตกต่างกันมากอยู่ ซึ่งผมจริงๆ ก็รู้สึกดีใจที่แยก เพราะว่าถ้าไม่แยก ผมก็จะไม่มีวันโต ตอนที่เป็นดูโอเนี่ย ผมคิดว่าพอมีคนนึงทำแล้ว ผมก็ไม่จำเป็นต้องทำ ผมคิดอย่างนั้นมาตลอดแล้วมันก็มีอะไรที่มันขัดอยู่ แล้วพอเถียงมันก็มีปัญหา ผมก็เลยเลือกที่จะไม่ทำ เลยเลือกที่จะปล่อยให้เค้าทำไปเองแล้วกัน พอมันเรื่องของดูโอ มันก็มีความขัดแย้งกันเรื่องของไอเดียถูกไหมฮะ แล้วพอมันขัดแย้งกันผมก็เลยคิดว่า ทำลายปัญหา ด้วยการที่ว่า เรายอมดีกว่า แล้วก็ปล่อยให้เค้าทำ เราก็อยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้เค้าทำจนเราติดนิสัย พอมาถึงโซโลอัลบัมก็ลำบาก ตอนแรกลำบากมาก แต่ผมเป็นคนปรับตัวเร็วกับทุกสถานการณ์ ก็เลยปรับได้ค่อนข้างดี จากนั้นก็ค่อยๆ ยืนด้วยขาตัวเองได้ ตอนแรกก็สะดุดก่อนเลย สะดุดล้มกลิ้งหัวทิ่มเลยครับ พอลุกขึ้นมาได้ก็ไปยาวเลย และไปไกลด้วย อีกอย่างเรารู้สึกว่า ถ้าเราทำไรเหมือนเดิมซ้ำๆ เรื่อยๆ คิดว่าเราเป็นดาวค้างฟ้าหรืออะไรก็แล้วแต่แบบว่าดังแล้วไม่ต้องทำอะไรก็ได้ เป็นกอล์ฟ-ไมค์ ไปเรื่อยๆ ทำตามผู้ใหญ่สั่งไปเรื่อยๆ แต่ว่าทุกวันนี้มันมีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นเสมอๆ ถ้าเราไม่พัฒนาหรือคิดทำอะไรใหม่ๆ ให้คนดู คือ บ้านเราเนี่ย เบื่อง่าย ถ้าเราไม่ทำไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เราก็จะตกไปในที่สุด แล้วมันก็มีให้เห็นหลายคนแล้วเหมือนกัน คือคนที่ไม่คิดจะพัฒนาตนเองและคิดว่าตัวเองดังแล้ว มันก็มีแต่จะตกไปในที่สุด
สำหรับผม คิดว่าการอยู่วงการนี้ได้ เราต้องดิ้นรน ไม่ใช่คุณคิดว่าคุณขึ้นมาดังแล้วคุณจะสบายตลอดไป เพราะมันมีคลื่นลูกใหม่ตลอดเวลา เราก็ต้องดิ้นรน ต้องหาวิธีอะไรก็ได้ที่จะพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น ทำอย่างไรก็ได้ที่จะเปลี่ยน vision ของ consumer ให้เขาคิดให้ได้ว่า เราแตกต่างไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง มันจะทำให้เขาเกิดเรื่องเล่าเรื่องใหม่ขึ้นมา และที่ผ่านมาที่เรามีแฟนคลับกิดขึ้น เขาติดตามมาตั้งแต่ต้น จนเขามีเรื่องราว มีทุกข์มีสุขร่วมกันมา ทุกคนติดตามเรามาตลอด แล้วก็เห็นการพัฒนาการเติบโตของเราขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วก็มาถึงจุดนี้
แต่พอมาถึงจุดนึงมันก็ถึงจุดอิ่มตัวของคำว่า ดูโอ แล้วมันไปได้ไม่ไกลมากกว่านี้แล้ว เราจึงต้องแยกเพื่อพัฒนาตัวเอง แล้วก็ทำให้ต่างคนมีความชัดเจนในคาแรกเตอร์มากขึ้น ซึ่งทุกวันนี้คนยังเรียกกอล์ฟเรียกไมค์ ผิดๆ ถูกๆ อยู่เลย ซึ่งมันอาจจะเป็นผลพวงมาจากการเป็น ดูโอ ทำให้คนติดภาพอันนั้นมา การที่เราจะล้างภาพในวงการ มันต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี หรือมากกว่านั้น ซึ่งปีนี้เป็นปีแห่งการล้างภาพ แต่จริงๆ ปีที่แล้วเป็นปีแห่งการ fading มันคือมีเลเวล 1 เลเวล 2, เลเวล 1 คือการเป็นกอล์ฟ-ไมค์ แล้วมันก็เดินมาจนถึงสุดปลายทางของเลเวล 1 แล้ว ก่อนที่จะขึ้นเลเวล 2 มันจะต้องมีการ fading เพื่อเป็นการละลาย ไม่ให้คนเห็นภาพคู่เยอะจนเกินไป เหมือนกับว่ารับงานน้อยลง แต่ไม่ใช่ไม่มีงาน แต่ไม่รับงานในบางจุด อย่างมีงานเข้ามาเราก็ไม่รับเพราะเป็นงานคู่ ก็ต้องไม่รับ แล้วก็รับเฉพาะงานเดี่ยว แล้วปีนี้ก็เป็นปีของการสร้างคาแรกเตอร์ให้ชัดเจนมากขึ้น สร้างตัวตนของตัวเองมากขึ้น ซึ่งมันจะค่อนข้างยากเพราะมันเป็นเฟส 2 มันเป็นอะไรถ้าคุณไปได้ มันจะไปได้ไกลเลย แต่ถ้าคุณไปไม่รอด คุณก็ตกเลย ซึ่งตรงนี้เป็นจุดเสี่ยงของชีวิตผมเหมือนกัน แต่ก็ผ่านมาได้เพราะว่าซิงเกิลแรกที่ออกมาฟีดแบ็กมาก ทุกคนก็ลงความเห็นเหมือนกันว่ามันคือการเปลี่ยนแปลงของวงการเพลงไทยอย่างหนึ่ง
เปลี่ยนแปลงวงการเพลงเลยเหรอ? คือจริงๆ คอนเซ็ปต์ตอนแรกที่เราตั้งมาแรกๆ เลย เราจะมีวีชั่นของการแยก ว่าเราแยกกันเพื่ออะไร เราแยกกันไปเพื่อ change คือการเปลี่ยนแปลง แล้วก็โตขึ้น นั่นคือสิ่งที่ทำให้คนเราได้เห็น ซึ่งผมคิดว่า ผมทำได้ทีประมาณนึงเลย จากฟีดแบ็กที่กลับมาก็บอกว่าไมค์เปลี่ยนไป ไมค์โตขึ้น เต้นแข็งแรงขึ้น มันดีขึ้นหมด หรือ เรียกง่ายๆ ว่ามันไปอีกระดับนึงแล้ว
โตขึ้น ในความหมายของเรา มันกว้างไกลแค่ไหน? คำว่าโตขึ้น ไม่ใช่เรื่องของบุคลิกภาพ หรืออะไรต่างๆ นานา แต่ว่ามันคือ perception ของผม ทั้งที่เกี่ยวกับความคิดและการพูดการจา คนเราจะโตขึ้นในวงการได้ไม่ใช่ด้วยว่าผลงานหรืออะไรที่มันเป็นภายนอก แต่มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณพูดออกมาด้วย ซึ่งมันจะสะท้อนว่าคุณโตรึเปล่า ความคิดของคุณเนี่ยจะโชว์ให้เห็นเลยว่าคุณโตจริงหรือไม่ อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากของคนที่เป็น idol เพราะถ้าคุณคิดจะเป็น idol คุณต้องมีควมมคิดที่เป็น positive คุณต้องมีความคิดที่แข็งแรง และคุณต้องมีความคิดเป็นผู้นำ คุณต้องมีคติที่สามารถสอนเหล่าวัยรุ่น หรือเด็กรุ่นใหม่ นั่นคือหน้าที่ของ idol อย่างเพลง AYO ของผมที่ออกมาล่าสุด ตัวชื่อเพลงอาจจะไม่มีอะไร แต่ความหมายของเพลงมันลึกซึ้ง ผมไม่มานั่งพูดถึงเรื่องความรัก ผมไม่มานั่งพูดถึงเรื่องผู้หญิง ผมพูดถึงเรื่องของสังคม เรื่องของวงการบันเทิง วงการมายา ชีวิตของผมที่ผ่านมาทั้งหมดอยู่ในเพลงเพลงเดียวนี้ ผมพูดถึงการที่คนเราไม่ควรมองคนที่ภายนอก ควรมองคนจากภายใน ไม่ควรตัดสินคนจากสิ่งที่เห็น หรือได้ยิน และก็มีหลายอย่างเลยที่เกี่ยวกับวงการบันเทิง จริงๆ แล้วมันเหมือนกับการด่า แต่ผมใช้ภาษาที่สุภาพ
ใช่หรือไม่ว่าเราเบื่อหน่ายกับอะไรที่มันดูหน่อมแน้มไร้สาระ? ใช่ครับ ผมค่อนข้างเบื่อกับอะไรที่มันไร้ซึ่งความหมาย ซึ่งนั่นก็หมายถึง ไร้สาระ นั่นเอง เพราะมันไม่มีจุดยืนของมันอย่าง mv ในสมัยนี้ คุณออกมาเต้นเพื่ออะไร จะสื่อถึงอะไรหรอ คนเต้นทั่วโลกมีประมาณเป็นล้าน เต้นเก่งกว่า เต้นสวยกว่าคุณมีเป็นล้าน แต่ purpose ของคุณคืออะไร แค่นั้นเองที่ผมจะถาม คือที่คุณออกมาเต้นเนี่ย คุณจะสื่อถึงอะไรนั่นคือที่ผมจะถาม
แล้วเราล่ะ เต้นเพื่ออะไร? ผมรู้แล้วว่า เมื่อก่อนผมเป็นแค่ตัวก๊อบปี้ ผมแค่จำท่าจากครูแล้วก็เต้นมันออกมา แต่ผมไม่ได้ใส่ความรู้สึกเข้าไปในการเต้นนั้น ที่ทุกคนคอมเมนต์ว่าดูเต้นแข็งแรงขึ้นเยอะเลย ผมจะบอกว่า mv นี้ผมไม่ได้เต้นเยอะ ผมเต้นน้อยกว่า mv ที่ผ่านๆ มาประมาณ 2 เท่า ซ้อม 2 วันเองด้วยก่อนถ่าย mv ซึ่งท่าเต้นน้อยมาก แต่สิ่งที่ผมพรีเซนต์ออกมาคือสีหน้าและท่าเต้น ฟัง ๆ ดูคล้ายเป็น new vision? ใช่ครับ มันก็พูดถึงหลายๆ อย่างในวงการบันเทิงออกมาด้วยนิดหน่อย แต่ว่าไม่ใช่ทางที่แย่ แต่เป็นในทาง positive เราเริ่มมองแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว เพราะพูดจริงๆ ก่อนหน้านี้ กอล์ฟ-ไมค์ ก็ดูเป็นเด็กมาเต้นๆ เราก็ไม่รู้ว่า 2 คนนี้เค้ามีอะไรในตัวเองรึเปล่า? ใช่ครับใช่ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ผมก็ด่าตัวเอง เมื่อไม่นานมานี้ ผมกลับไปดูผลงานของตัวเอง ผมด่าตัวเองทุก 5 วินาที ว่ากูทำไปได้ยังไงวะ ท่านี้มันแย่มาก กูเต้นไปได้ไงวะ คือผมมองยังว่าเลย แล้วคนอื่นจะว่ายังไง ผมคิดว่ามันไม่ใช่การเต้นแล้ว มันคือการโชว์ปาหี่อะไรสักอย่าง แต่ที่ผมมาถึงจุดนี้ในวันนี้ก็จำเป็นจะต้องขอบคุณตรงนั้นด้วย แต่ตอนนี้เราสามารถเปลี่ยนมันไปแล้วเพราะการเดินทาง การพบปะผู้คนใหม่ๆ การเปิดโลกกว้างทำให้เราพัฒนาตัวเองไปได้ การไปเที่ยวไปเปิดโลกกว้างมันไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แต่มันสามารถเป็นเรื่องที่เปลี่ยนตัวคุณไปทั้งชีวิตได้
คล้ายกับว่าตอนนี้คุณลุกขึ้นมามองสิ่งต่างๆ รอบตัว แล้วก็เก็บกวาดเรื่องไร้สาระที่ไม่ใช่คุณทิ้งออกไป เหลือไว้แต่จุดแข็ง? ใช่ครับ คือ จับจุดที่เราคิดว่าเราอยากจะบอกออกไปให้คนรู้ว่าเราคิดอย่างไรกับสังคมในตอนนี้อยู่ และบอกกับคนว่า จริงๆ แล้วพวกเค้ารู้อะไรบ้าง บางคนส่วนใหญ่เนี่ยชอบทำเป็นรู้ดี ทำเป็นนู่นนี่ เพื่อให้เหมือนว่าตัวเองมีอะไร แต่จริงๆ แล้วคนทีมีอะไรจริงๆ เค้าจะไม่โชว์ออกมา เค้าจะเก็บเงียบไว้ เพื่อวันที่เค้าจะได้โชว์มันออกมาอย่างยิ่งใหญ่ด้วยตัวของตัวเอง
อะไรที่สร้าง turning point ให้กับเรา? เกิดขึ้นเมื่อปีก่อนครับ ตอนที่ไมค์ได้ไป LA ที่ทางบริษัทส่งไป ไม่ได้คิดอะไรเลยเพราะว่าตอนแรกคิดว่าไปเรียนเต้น ไปซ้อมเต้นธรรมดา แต่จริงๆ แล้วมันคือการปล่อยให้ไมค์ไปใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดา แตะดิน ขอเล่าก่อนเลยว่า ตอนอยู่เมืองไทยเราดังมาก มันก็จะมีคนมาเยินยอเรา มาบอกว่าเราดีอย่างนู้น ดีอย่างนี้ สุดยอด ซึ่งอันนี้มันอันตรายสำหรับคนในวงการมันจะเกิดอาการที่เรียกว่าเหลิง หลงแสง สี เสียง ก็จะเกิด ego แล้วการที่บริษัทส่งให้ไปที่นู่น ไปใช้ชีวิตยี่ยงคนธรรมดา ไปเท้าแตะดินดู ผมไปที่นู่น ต้องทำอะไรๆ เองหมด ล้างจาน ซักผ้า ล้างห้องน้ำ รีดผ้า ถูพื้น ดูดฝุ่น ทำอาหาร ซึ่งทุกอย่างต้องมีความรับผิดชอบหมด ต้องเลือก class ที่จะเรียนเอง และมันจะกดดันเราตรงที่ว่า คนที่เขาเด็กกว่าเรา ยังเต้นเก่งกว่าเรา ปกติอยู่ที่นี่เราเต้นเพลงนึงต้องใช้เวลาประมาณ 2 วัน ที่นั่น 1 เพลงใช้เวลา 1 ชั่วโมง แล้ววันนึงผมเต้นประมาณ 6-7 ชั่วโมงไม่มีพัก ซึ่งพูดแล้วยังขนลุกอยู่ มันเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก กดดันมาก คือเค้าสอนเร็วมากจนเราตามไม่ทัน วันแรกๆ นอยด์ ใช้เวลาอยู่อาทิตย์นึงถึงปรับตัวได้ หลังจากนั้นพอกลับมา ผมก็เหมือนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคนที่ approach คนมากขึ้น พูดกับคนมากขึ้น พูดเก่งมากขึ้น ทั้งที่แต่ก่อนออกทีวีทีไรไม่เคยพูดเลยสักคำ หรือเวลาให้สัมภาษณ์ก็พูดน้อยมาก หรือพูดแบบไม่มีความรู้ พูดแบบไม่มี logic ซัปพอร์ต พูดแบบไม่มีประเด็นที่จะพูด พูดลอยๆ แต่ตอนนี้สามารถพูดจากความรู้สึกและพูดกลั่นกรองความรู้สึกที่อยากจะพูดออกมาได้หมดเลย ก็เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี ไปอเมริกาคราวนี้นั้น เราสรุปบทเรียนให้กับตัวเองอย่างไร? สรุปบทเรียนว่า เราควรเปิดโลกให้กว้างกว่านี้ ค้นพบว่ามันมีอะไรอีกเยอะในโลกนี้ ผมได้เข้าไปสู่โลกของธุรกิจ จากที่แต่ก่อนเกลียดการอ่านหนังสือ ตอนนี้ผมเป็นคนที่สนุกกับการอัดความรู้เข้าสมอง และก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับมนุษย์ จิตวิทยา ส่วนการได้เดินเที่ยว เดินชิล กลายเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับผม
ฟังดูเครียดๆ แล้ววัยรุ่นจะฟังเพลงของไมค์ได้หรือเปล่า? ได้ครับ ผมทำเพลงไม่ใช่เพื่อตัวเอง ไม่ใช่คนติสต์ อะไรคือความฝันอั้นสูงสุดบนเส้นทางสายนี้ของไมค์? ความฝันของไมค์ไม่มีที่สิ้นสุดครับ มันมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาในหัวไมค์ได้ตลอดเวลา หรือ opportunity อะไรที่คว้าไว้ได้ ก็จะคว้ามันแล้วก็ไปให้ถึงจุดนั้น คือผมเป็นคนที่ตัดสินใจทำอะไรแล้ว ต้องสำเร็จ ความต้องการจริงๆ ของผม คือต้องการไปให้ถึงฮอลลีวูดมาก เล่นหนังที่มันเป็นหนังอินเตอร์อะไรแบบนี้ก็ได้ ถึงตอนนี้ คุณมองตัวเองอย่างไรบ้าง? ผมเป็นคนติดนิสัยกดดันตัวเอง เวลาเราทำไรไม่ถึงจุดที่เราตั้งเป้าหมายไว้ จะกดดันแล้วก็จะเครียด แล้วก็หงุดหงิด เป็นคนเหวี่ยงในบางเรื่อง ยิ่งเรื่องงานเหวี่ยงค่อนข้างเยอะ คือถ้าใครที่ทำงานไม่ได้สแตนดาร์ดที่เราต้องการ ก็จะเริ่มหงุดหงิด แต่ไม่ได้โวยวายนะครับ วิธีเหวี่ยง คือทำให้เค้าดูว่าเราเก่งกว่า สมมุติว่ามีใครที่เค้ามาทำอะไรเยิน ๆ หรือไม่ดีอะไรแบบนี้ หรือมาที ego ใส่ผม แล้วผมเห็นว่ามันไม่ดี ผมจะทำให้ดูเลยว่า ผมใช้งบเท่านี้ ใช้ประมาณนี้หรือน้อยกว่าคุณ แต่ผมทำได้ดีกว่าคุณ อย่างนี้คือจะเหวี่ยงแบบนี้เลย ไม่ใช่เหวี่ยงแบบไร้เหตุผล เหวี่ยงโดยใช้วิธีการแบบแข่งเลย แฟร์ ๆ เรียกว่าต้องปะทะกับผู้คนตลอด? ใช่ๆ มีบ้างที่มีปากเสียงต่างๆ นานาในที่ประชุม แต่ว่ามันผ่านพ้นมาได้เพราะว่าการเรียนรู้ ว่าการทำงานมันต้องมีในรูปแบบของมันอยู่ แต่ว่าเราจะเหวี่ยงตลอดไม่ได้ หลังๆ ผมก็ปล่อยวางบ้าง บางเรื่องที่เราคิดว่ามันได้เท่านี้ เราก็ต้องรู้จักหยุด  (จบ) พิมพ์โดย : คุณ Thanwakom
จากคุณ |
:
Takalot
|
เขียนเมื่อ |
:
22 มี.ค. 55 19:30:33
|
|
|
|