The Hunger Games ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อดัง ซึ่งจัดเป็นวรรณกรรมเยาวชนเอาใจวัยรุ่นเช่นเดียวกับ Harry Potter, Twilight แต่หนังเรื่องนี้คือตัวอย่างผลงานที่ดีจากการเป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเยาวชนแล้วทำออกมาได้ดีมากๆ
ผมจะไม่บอกละกันว่า The Hunger Games แตกต่างจาก Battle Royal ยังไง (ที่ก่อนหน้านี้เห็นมีหลายคนดราม่ากันจัง )
มันเป็นสิ่งที่ต้องไปพิสูจน์ด้วยตาคุณ ประมาณสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น และตลอดเวลาที่ดู Hunger Games ส่วนตัวเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแห่งนิยายของ Suzanne Collins ไม่ได้นึกถึง Battle Royal เลย
The Hunger Games มีการใช้ concept ที่ต้องส่งเด็กไปฆ่ากันเองก็จริง แต่มันมีอะไรมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการเสียดสีสังคม สงคราม ความแตกต่างทางชนชั้น เกมกีฬาในปัจจุบันที่ทีมที่ชนะมักมาจากการมีสปอนเซอร์สนับสนุนเยอะๆ และที่โดนจิกกัดตรงๆที่สุดคือ รายการ Reality เกมโชว์ สาวกที่ชื่นชอบดู AF เดอะดาว American Idol Survivors BigBrothers ดูแล้วน่าจะเข้าใจถึงประเด็นของนิยายที่ต้องการจะสื่อได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่ชอบจาก The Hunger Games คือความกระชับของหนัง หนังมีการตัดต่อเรื่องที่ดี ทำให้ดูหนังไปได้ไหลลื่นมากๆ ไม่มีช่วงยืดเยื้อน่าเบื่อเลย แฟนๆนิยายอาจจะคิดว่าหนังน่าจะอธิบายรายละเอียดตรงนั้นตรงนี้หน่อย แต่สำหรับผมถือว่าเก็บประเด็นสำคัญที่น่าจะมีไปได้ดีพอสมควร ขอชื่นชม ผกก.Gary Ross ทีเห็นได้ชัดว่าฝีมือการกำกับ ยังไม่ตกจากหนังเรื่องเยี่ยมอย่าง Seabiscuit, Pleasantville ในการเล่าเรื่องหนังได้ตรงประเด็นผสานกับการเล่าเรื่องเก๋สไตล์ Ross
ส่วนตัวผมยังไม่เคยอ่านนิยาย The Hunger Games มาก่อน พอมาดูครั้งแรก หนังเรื่องนี้ทำเอาลุ้นตลอดเรื่อง หายใจไม่ทั่วท้อง แม้แต่ขนาดยังไม่ประลอง ตัวละครต้องนั่งฝึกซ้อม และหาสปอนเซอร์ก็ลุ้นแทนว่าจะได้สปอนเซอร์มั้ย และที่สำคัญมันเดาไม่ถูกจริงๆว่าสุดท้ายหนังจะลงเอยอย่างไร แคทนิสหรือพีต้าสามารถชนะเกมนี้ได้หรือไม่
แต่สำหรับขาโหด Sadism ต้องเตรียมทำใจหน่อย เพราะด้วยเรต PG-13 ฉากฆ่ากันจะไม่โหด เลือดสาด ตายสยอง มากเท่าไหร่นัก แต่ส่วนตัวคิดว่า The Hunger Games ไม่จำเป็นต้องมีฉากนั้น และคงไม่มีจุดประสงค์แบบนั้น ฉากตายของ The Hunger Games จะออกไปทางอารมณ์เศร้ามากกว่า และหนังบิวท์อารมณ์ได้ถูกจุด ตรงจุดได้ดี ดนตรีประกอบก็ช่วยเสริมอารมณ์ได้ดี
เครดิตสำคัญที่ต้องยกความดีให้คือ Jennifer Lawrence บอกตามตรง ชีรับบทแคทนิสได้สุดยอดมาก ดูแล้วเข้าถึงอารมณ์แคทนิสได้ตลอดเรื่องว่า แคทนิสเป็นยังไง แคทนิสรู้สึกยังไง และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนดูเข้าถึงอารมณ์หนังได้ดี ผมว่าหนังโชคดีที่ได้ JLaw มาเล่นด้วยแหละ มันช่วยทำให้หนังมีมิติขึ้นเยอะ ฝีมือการแสดงของเธอต้องยอมรับจริงๆ ขนาดอายุยังน้อยๆนะเนี่ย
กับอีกคนที่ขอชมหน่อยก็คือ Josh Hutcherson ที่รับบทเป็น Peeta ปกตินานๆทีจะเห็น Josh แสดงหนังได้มีน้มีเนื้อนะที่นอกจากเรื่อง The Kids Are All Right แล้วเรื่องอื่นกลายเป็นหนังตลาดจ๋าไป สำหรับหนังเรื่องนี้ผมว่า Josh แสดง Peeta ได้มีมิติไม่แพ้กันนะ บางฉากผมเดาไม่ถูกว่า Peeta จะมาแนวไหน ดีหรือร้าย จุดดีของ Josh Hutcherson คือบุคลิกแกสามารถเป็นได้ทั้งตัวร้ายและพระเอกได้ในคราเดียว ถือเป็นสิ่งที่ดีมากๆ
ข้อเสียที่ขัดใจอย่างเดียวคือมุมกล้องและการถ่ายภาพ เวลาฉากที่เป็นจังหวะเร็วๆ ฉากต่อสู้ ตะลุมบอน ถ่ายทำอออกมาได้เวียนหัวไปหน่อย
สุดท้ายหลังจากที่ดูออกมาแล้ว กล้าพูดได้เลยว่าหนังเรื่องนี้ได้วางมาตรฐานไว้สูงมากสำหรับตลาดหนังซัมเมอร์ blockbuster ปีนี้
สำหรับหน้าใหม่ที่ยังไม่เคยรู้จัก The Hunger Games ผมว่าอย่างน้อยต้องไปพิสูจน์ดูครับ เพราะมันมีจุดดีหลายๆอย่างแบบที่หลายคนในที่นี้ว่าเอาไว้ และเป็นตัวอย่างผลงานที่ดี สำหรับหนังดัดแปลงวรรณกรรมเยาวชนที่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
The Hunger Games ให้ 8.2 คะแนน เต็ม 10
แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 55 01:40:26
แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 55 01:16:45
แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 55 00:37:01
แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 55 00:33:50
แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 55 00:33:00
แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 55 00:32:06
+++ Review The Hunger Games แบบไม่มีสปอย +++ หนังซัมเมอร์ม้ามืดมาแรงแห่งปี
