 |
วิจารณ์ This Must Be the Place (2011)
|
 |
คำกล่าวแรกที่ต้องเอ่ยอ้างแก่ภาพยนตร์ This Must Be the Place นั่นคือ มันไม่ใช่ภาพยนตร์ที่จะหาชมได้อย่างง่ายดายในโรงภาพยนตร์ที่เสียค่าบัตรเข้าชม ที่กล่าวเช่นนี้เพราะ This Must Be the Place มีมิติที่เสาะหาในระดับภาพยนตร์ประจำเทศกาลเสียมากกว่าภาพยนตร์ในระดับการค้าเชิงพาณิชย์ และโดยเฉพาะยิ่งประเทศไทยแล้ว รสนิยมมวลชนส่วนมากมิได้เสพย์ภาพยนตร์ศิลปะเพื่อการหล่อเลี้ยงชีพจรชีวิต นั่นจึงทำให้ภาพยนตร์บันเทิงเชิงพาณิชย์อื่นๆมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่มากกว่า จึงทำให้ไม่หลงเหลือที่ว่างให้แก่ภาพยนตร์ที่เดินทางในเส้นสายนี้
แต่ก็เป็นความน่าปลื้มปิติต่อภาพยนตร์ This Must Be the Place เป็นอย่างมากที่สามารถหลุดรอดระบบการค้าและออกมาเป็นภาพยนตร์การค้าที่มีมิติทางศิลปะได้อย่างดียิ่ง สิ่งแรกก็ต้องชมก็คือทางค่ายจัดจำหน่าย M Picture ที่ได้หยิบภาพยนตร์เรื่องนี้เข้ามาฉายที่โรง ลิโด้ (ไม่แน่ชัดว่าถ้าโรงลิโด้โดนทุบอย่างที่เป็นข่าว ภาพยนตร์แบบนี้จะสามารถยืนหยัดฉายได้ที่โรงมัลติเพล็กซ์หรือไม่ หรือมิเช่นนั้นข่าวการทุบ ลิโด้ ก็อาจเป็นนิมิตหมายอันชั่วร้ายที่บ่งบอกว่า ภาพยนตร์ในแนวทางนี้กำลังถูกปิดตายจากระบบการค้าของไทย เพราะมันไม่สามารถทำเงินในระบบธุรกิจได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอย่างแน่นอน)
อาจเปรียบเปรยได้ว่าโรงภาพยนตร์ลิโด้และสกาล่าเป็นสื่อสัญลักษณ์อันหนึ่งที่ผู้ใฝ่หาภาพยนตร์ทางเลือกรู้ดีว่า หากเมื่อใดที่ถึงขั้นกาลอวสานของโรงฯลิโด้และสกาล่า เมื่อนั้น ถือเป็นหนทางปิดตายของภาพยนตร์ที่มิได้เดินทางของสายกระแสหลักอีกต่อไป (แม้จะมีโรงฯเฮ้าส์อยู่แต่ก็อาจน้อยและอยู่ห่างไกลจนเกินไป)
เข้าสู่ตัวภาพยนตร์ This Must Be the Place ของผู้กำกับสัญชาติอิตาเลี่ยนนาม เปาโล ซอร์เรนติโน (Paolo Sorrentino) หากค้นประวัติและภาพยนตร์ของเขาจะพบว่า เส้นทางประนีประนอมแห่งการดำรงอยู่ด้วยการค้านั้นไม่ค่อยคุ้นเคยกับเขา เพราะภาพยนตร์ของเขานั้นมักเข้าไปเฉิดฉายอยู่ในเทศกาลทั่วโลกอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะเทศกาลเมืองคานส์ เช่นภาพยนตร์เรื่อง Il divo (2008), The Consequences of Love (2004) และหากจะกล่าวอย่างรวบรัด อาจพูดได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคอหนังชาวไทยกับผู้กำกับ เปาโล ซอร์เรนติโน แล้วนั่น อาจถึงขึ้นเป็นบุคคลที่ไม่รู้จักกันเลยทีเดียว
--มีต่อ--
จากคุณ |
:
A-Bellamy
|
เขียนเมื่อ |
:
25 มี.ค. 55 10:41:53
|
|
|
|  |