Home.....หนังที่ต้องดูซ้ำ เพราะความทรงจะบางอย่าง...(สปอยล์..มั้ง?)
|
 |
Home...มะเดี่ยว ขอบคุณสำหรับการพาผมกลับไปสู่ความทรงจำสีจางๆ.... ความทรงจำที่มีหลักฐานเหลืออยู่เพียงรูปใบเดียว ภาพผู้ชายสองคนยืนกอดคอกัน บนชายหาด ลงวันที่ -3 มกราคม 2539...นานโขอยู่
ผมและเขาคนนั้นไม่ใช่เพื่อนกันครับ ถ้านิยามคำว่าเพื่อน จะหมายถึงคนที่รู้จักกันคบกันมานานระยะหนึ่ง จนรู้นิสัยใจคอ จนกลายมาเป็นเพื่อนกัน แต่ ผมกับเขาคนนั้น ซึ่ง ชื่อผมยังจำไม่ได้ มีเวลาอยู่ด้วยกันแค่สองคืนกับสามวัน นานกว่า เน และ บีม ในหนังหน่อยหนึ่ง
หนังเรื่องโฮมช่วงแรก....พาผมย้อนเวลา กลับไป กลับไปหาเขา เพราะบรรยากาศมันแทบไม่ต่างกันเลย ต่างกันที่สถานที่ ไม่ใช่โรงเรียนว่างเปล่าที่เป็นฉากในหนัง แต่ที่เหมือนกันระหว่างเขา และผม กับ เนกับบีมในหนัง คือกล้อง...และ การอยู่เพียงลำพังสองคนครับ
เขา...คือคนเรือที่บริษัทที่ผมทำงานเช่าเหมาให้ขนพวกเราคนโฆษณา(อาชีพผมในตอนนั้น) ไปค้างแรมสองคืนบนเกาะกูด...เป็นเอ๊าติ้งประจำปีของบริษัท ผมกับเขาถ้าในสถานการณ์ปกติ รับรองได้ว่าไม่มีวันได้พูดคุยกันเกินสามประโยค เหมือนกับที่ผมไม่เคยพูดคุยกับ คนส่งเอกสาร แม่บ้าน ยาม หรือ คนทำสวน นอกจากเรื่องสั่งงาน เพราะสังคมที่เราอยู่มันมีกรอบ มีการจัดหมวดหมู่ ให้ผม คนมีการศึกษา คนทำงานบริษัท คนมีรถยนต์ คนจบนอก...ย่อมจะไม่มีเรื่องราวหรือความสัมพันธ์ กับคนงานรายได้น้อย การศึกษาน้อย เงินน้อย...ถึงไม่ได้เจตนาแบ่งก็เหมือนแบ่งแหละครับ
แต่สามวันสองคืนบนเกาะนั้น เปลือกห่อหุ้ม เหมือนจะถูกโยนทิ้ง เขา เรียกผมว่าพี่ แม้จะเป็นการเรียกที่พ่วงมากับอาการยอบตัวในตอนแรกๆแบบเกรงรัศมีคนกรุง...ผมเรียกเขาว่า น้อง...อายุเราคงต่างกันราวสามสี่ปี
เนื่องจากผมขี้เกียจกินเหล้า และไม่ชอบเล่นไพ่ และขี้เกียจไปอยู่กับวงผู้หญิงที่จะขยันร้องเพลงอะไรกันนักหนา ผมจึงคว้ากล้อง เดินถ่ายรูปไปทั่ว ถ่ายแมร่งดะ...ก้อนหิน ปลาตัวเล็กน้อยที่ว่ายอยู่ในแอ่งน้ำทะเลสที่กัดเซาะเข้ามาบนผืนหาดทราย ใบไม้สีสวยแปลกที่ตกลงมาทาบกับเมล็ดทรายสีขาวสะอ้าน...
เขาซึ่งว่างจากการขัดเรือ ช่วยงานหุงหาอาหารที่รวมอยู่ในการบริการ...เขาเป็นคนหนุ่มคนเดียวท่ามกลางคนเรือวัยกลางคน ตาสีน้ำตาลใสซื่อมองผมอย่างสนใจ เปล่าครับ ไม่ได้สนใจตัวผมหรอก...สนใจกล้องในมือผมน่ะ เขาคงสงสัยว่าผมจะขยันกดอะไรกันนักหนา...เขาเดินตามมาห่างๆอย่างเกรงใจ แต่ก็คงสนใจ ผมหันไปมอง เขาก็หยุดเพราะคงคิดว่าผมรำคาญ ผมเลยยิ้มให้และถามว่า ชอบถ่ายรูปเหรอ เขายิ้มเห็นฟันขาวแล้วบอกว่า "ไม่เคยถ่ายครับ ไม่มีตังค์ซื้อกล้อง..." ผมพยักหน้า แล้วเรียกเขามาดูภาพที่อยู่ในเลนซ์ สอนวิธีซูมเข้าออก เขาดูสนใจและเกร็งน้อยลง...เราเดินไปด้วยกันเงียบๆ ความอึดอัดผ่อนคลายลง
ผมถามเขาถึงการแล่นเรือ ถามว่าเขาอยู่อย่างไร ถ้าไม่ให้เช่าเรือเขาทำอะไร เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนเกือบบ่าย เขาต้องไปช่วยแม่เก็บล้างถ้วยชามที่พวกเรากิน...ส่วนผมกลับไปอยู่กับก๊วนไพ่ และวงกีต้าร์...
จนค่ำ รอบกองไฟ เขามายืนเมียงๆมองๆ ส่วนผมก็ชงเหล้าบางๆกินกับเพื่อนๆ พอเห็นเขา ผมก็ชงเหล้าบางๆส่งให้เขา แต่เขาปฏิเสธบอกว่ากินไม่เป็น....พอตกดึกไอ้พวกขี้เมาเริ่มอ่อนแรง ส่วนผมก็เริ่มเบื่อตลกสับปดนรอบกองไฟ จึงออกเดินไปตามแนวหาด เขาก็มาปรากฎตัว และยิ้มให้ คงอยากจะให้ผมชวนเขาเดินด้วย..แปลกนะครับ คำพูดจาระหว่างเราเป็นเรื่องที่ธรรมดาๆ ผมถามถึงชีวิตเขา อนาคตที่เขาอยากเป็น เขาเล่ามาอย่างซื่อๆ บางอย่างที่มันแสนจะเกินเอื้อมสำหรับเขา มันช่างเป็นสิ่งที่ผมมีอย่างง่ายดายและไม่รู้คุณค่า...ส่วนเขาก็ถามถึงที่ต่างๆในกรุงเทพที่เขายังไม่เคยไป....ความสนิทสนมมันมาอย่างไม่รู้ตัวเลยครับ กับเพื่อนๆที่กรุงเทพเสียอีกผมยังไม่รู้สึกผ่อนคลายเท่ากับคุยกับเขา อาจจะเพราะเขาไม่มีพิษมีภัย
อาจจะเพราะเขาดูซื่อและมีความสุขกับชีวิตง่ายๆของเขา จนทำให้ผมรู้สึกว่า ในบางจุดของชีวิตผมอาจจะด้อยกว่าเขาด้วยซ้ำ เขาเล่าว่า บางวันเขาก็นอนหนุนตักแม่ทั้งๆที่โตเป็นหนุ่ม และดูดาวที่พร่างพราย...ผมอดนึกไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมกอดแม่มันเมื่อไหร่หว่า...หรือ เวลาว่างเขาไปช่วยลุงเขาที่บวชเป็นพระทำความสะอาดและซ่อมแซมวัด เขาบอกซื่อๆว่า "ได้บุญดีครับ สบายใจ"....แต่ผมเผลอคิดว่า ทำงานฟรีๆ ได้แต่ความสบายใจไม่ได้ตังค์ เสียเวลาจะตาย!!.... ดูสิความคิดของมนุษย์วัตถุนิยมแบบผม(ในตอนนั้น) ช่างน่าละอายใจจัง...
เราเดินกันจนแสงเงินจับขอบฟ้า แสงชมพูส้มทาบทาไปทั่วท้องทะเล และชายหาด ผมดูนาฬิกา ตีห้าครึ่ง ผมพูดหัวเราะๆว่า "คุยกันจนเช้าเลยนะ"... เขายิ้มซื่อ "คุยกับพี่แล้วสบายใจครับ ผมนึกว่านักเรียนนอกจะไม่ชอบคุยกับคนจนๆ"..ผมสะอึกเลยครับ เพราะคำพูดซื่อๆของเขา ทำให้ผมนึกได้ว่า ที่แท้เราสองคนก็ต่างกันแค่ เปลือกนอก เสื้อผ้าที่ใส่ การศึกษา สังคม หน้าที่การงาน......
แต่ในห้วงเวลาสั้นๆ เช่นเช้ามืดบนชายหาดขาวสะอ้านของเกาะกูด ผู้ชายสองคน อายุใกล้เคียงกัน ผิวพรรณก็ออกจะคล้ายกันด้วยซ้ำ สิ่งที่เหมือนระหว่างเรา คือ ผมและเขารักธรรมชาติ แม้ว่าผมจะได้มาทะเลนานๆครั้ง ส่วนเขาทั้งชีวิตอยู่กับทะเล แม้ผมจะเป็นหนุ่มสำอางค์แห่งเมืองหลวงส่วนเขาลูกทะเลของแท้ ไม่จบแม้แต่มัธยมต้น ....แต่ถ้าถามผมนะเวลานั้น ผมอาจจะรู้สึกสนิทใจ สบายใจกับ เขา มากกว่าเพื่อนเมืองกรุงของผมด้วยซ้ำ...เพราะ มีบางช่วงของคืนเดือนเพ็ญนั้น เราเดินเคียงกันไป โดยไม่มีใครพูดอะไร มีแต่เสียงคลื่นเบาๆ และเสียงลม แต่เราสองคนสบายใจและคุ้นเคยราวกับ อยู่ด้วยกันมายาวนาน....เขาเป็นฝ่ายชี้ชวนให้ผมดูเมล็ดพืชที่ลอยมาตามน้ำ บอกว่ารูปร่างคล้ายหัวใจ ให้ผมถ่ายรูปเก็บไว้....เขาวิ่งไปช้อนปลาสีสวยมาไว้ในฝ่ามือให้ผมถ่ายรูป ก่อนที่จะปล่อยเจ้าปลาน้อยให้กลับคืนสู่ทะเลอบ่างอ่อนโยน....เราแทบไม่ต้องใช้คำพูดในการสื่อสาร
ในวันที่เรือของเขามาส่ง ที่ท่า หลังจากขึ้นมายืนบนบก และเขาอยู่ในเรือ ความรู้สึกใจหายเกิดขึ้นอย่างนึกไม่ถึง เขาเองก็มองมาที่ผมอย่างอยากจะพูดอะไรบางอย่าง....ผมซึ่งเป็นคนที่ใช้ภาษาในการทำงาน กลับคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร เขาเสียอีก กลับพูดขึ้นมาก่อนว่า "พี่ครับ...พี่จะลืมผมมั้ยเนี่ย?" เป็นคำพูดซื่อๆ ปราศจากการกลั่นกรองจนผมสะอึก....และตอบเขาไปว่า "ไม่ลืมหรอกวันหลังมาใหม่ไง"....บีมคงรู้สึกแบบเขากระมัง ก็โลกของเรามันแต่กต่างกัน จนราวกับเป็นคนละโลก คงยากที่จะเจอกันอีก...และ เราก็ไม่ได้เจอกันอีกจริงๆครับ
ครับ ถ้าผมจะเข้าใจ เนกับบีมว่ารู้สึกอย่างไรต่อกัน จนต้องไปดูเป็นรอบที่สอง และคงมีสามตามมา...ก็คงเป็นเพราะช่วงเวลาสั้นๆ บนเกาะแสนงาม...กับคนๆหนึ่งที่ผมไม่ได้เจออีกเลย...ผมลืมเขาเสียสนิท ถ้าความทรงจะไม่ได้ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาเพราะหนังเรื่องนี้
ถ้าจะยาวจนน่าเบื่อก็ขออภัยครับ ต้องโทษเน กับ บีม และ โฮมครับ
แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 55 16:12:16
จากคุณ |
:
ผู้ชายซอยสิบ
|
เขียนเมื่อ |
:
22 เม.ย. 55 16:01:53
|
|
|
|