|
:: บทสัมภาษณ์จากนิตยสารธรรมมะ "ธรรมดา" ฉบับที่ ๖ ปี ๒๕๕๔ http://www.kondee.com/flash_book/index.php?id1=6
ไมค์-พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล เข้าสู่วงการบันเทิงเมื่อสิบปีก่อนด้วยวัยเพียง 11 ขวบ แต่เขาผู้เป็นไอดอลของวัยรุ่นหลายๆ คนก็ไม่ได้เสียดายชีวิตที่สนุกสนานรื่นเริงในวัยมัธยมแต่อย่างใด เขาเคยจินตนาการชีวิตตนเองเหมือนกันว่า หากไม่ได้อยู่วงการนี้ แล้วต้องใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนหนังสือ อยู่บ้านเล่นเกม ดูหนัง จับจ่ายใช้สอย หรือออกไปเที่ยวข้างนอกกับเพื่อนๆ ทุกวันชีวิตคงเป็นกราฟที่ราบเรียบ ไม่มีขึ้นลง ซึ่งคงจะขัดกับนิสัยที่ชอบอะไรใหม่ๆ อยากพบเจอสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา หรือนี่อาจเป็นโชคชะตาที่นำพาเขามา ที่ตึกแกรมมี่ เพื่อเข้าคัดเลือกให้เป็นไอดอลรุ่นแรกของบริษัท ซึ่งคัดสรรเด็กในวัยใกล้เคียงกันจากเจ็ดร้อยกว่าคน จนสุดท้าย เหลือเพียงสองพี่น้อง กอล์ฟ-ไมค์
ตอนนั้นเป็นเด็กไม่คิดอะไร สนุกดีมาเจอเพื่อน ซ้อมเต้น 6 วันต่อสัปดาห์ เลิกเรียนก็มาซ้อม ระหว่างรอซ้อมก็ทำการบ้าน วันไหนไม่มีเวลาก็ทำการบ้านหลังซ้อมเสร็จ กลับถึงบ้านสี่ห้าทุ่มเที่ยงคืน ตีห้าตื่นไปโรงเรียนเพราะบ้านไกล เหนื่อยแต่สนุก ไม่เครียดอะไร ผิดกับช่วงนี้ทั้งเหนื่อยและเครียด แต่ชีวิตมีสองด้านเสมอ ด้านดีไปไหนมาไหนคนรู้จัก เป็นคนสำคัญ เป็นที่ยอมรับ แต่อีกมุมหนึ่ง เราไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องคิดมากกว่าคนอื่นหลายเท่า ทำตามใจตัวเองไม่ได้
ธรรมชาติของคน เมื่อเป็นอย่างหนึ่งก็อยากเป็นอีกอย่างหนึ่ง เราเป็นซูเปอร์สตาร์ เป็นดารา หรือคำที่คนอื่นชอบเรียกกัน ก็อยากเป็นคนธรรมดา คนธรรมดาก็อยากเป็นดาราศิลปิน
หากเป็นวัยรุ่นธรรมดาๆ คนหนึ่ง เมื่อมีปัญหาเพียงแค่หนึ่งก็ยากที่จะแก้ไขให้ผ่านไปได้ด้วยดี แต่เขาต้องผ่านเรื่องราวที่ซับซ้อนวุ่นวายในวงการมายาที่โหมกระหน่ำเข้าหา เรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่ขาดสาย ด้วยพื้นฐานที่เป็นคนหัวใจแข็งแรง เขาจึงก้าวข้ามความทุกข์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก วิธีการของเขาคือ การให้เวลากับปัญหานั้นๆ คิดทบทวนหาทางแก้ไขแล้วนำมาเป็นเครื่องมือปลดปล่อยให้ทุกข์กองโตนั้นผ่านไป
ต้องเปิดรับ อย่าปิดกั้นตัวเอง ระยะเวลาหนึ่งเราก็จะรับรู้ว่าต้องปล่อยวาง แล้วเราจะทำอะไรได้สบายขึ้น ไม่คิดเยอะจนเกินไป เราผ่านการร้องไห้ ผ่านความทุกข์ตรงนั้นมาแล้วถึงรู้ว่าต้องปล่อย รู้ว่าทำอะไรไม่ได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปตามคำที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ไม่ใช่แค่พูดว่าปล่อยอย่างเดียว แต่ต้องรู้สึกถึงความปล่อยวางจริงๆ
การปล่อยวางไม่ใช่เรื่องง่าย ความเป็นมนุษย์ของเรามีเรื่องกระทบใจได้ง่าย มีเรื่องทำให้ทุกข์ก็ร้องไห้ เสียใจ เพราะเราไปยึดติดกับมัน แต่เมื่อเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามันก็กลายเป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันกับทุกคน เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบใจแรงๆ แม้เป็นคนในวัยผู้ใหญ่ก็มีน้อยนักจะเข้าใจว่าต้องวางปัญหานั้นลง แต่ด้วยวัยเพียงเท่านี้เขาสามารถวางและปล่อย เพราะถูกหลอมจากเบ้าที่เข้าใจในพระธรรมคำสอน มีแม่เป็นผู้กล่อมเกลาให้สวดมนต์ไหว้พระตั้งแต่วัยประถมต้น เมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่นได้มีโอกาสเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
เขาเองอยากทำให้เด็กทุกคนเห็นว่าการเข้าวัดไม่ใช่เรื่องน่าอาย ให้การทำกุศลเป็นเรื่องอบอุ่นใจ เป็นเรื่องปกติ เหมือนแค่ถ้าวันนี้ไม่อยากไปเที่ยว แต่อยากเข้าวัด สงบใจ สวดมนต์ ฟังธรรม
เราเป็นไอดอลของพวกเขา จะใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ ไมค์ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เข้าวัด สวดมนต์ ฟังธรรม ปฏิบัติวิปัสสนา มีข่าวออกไปคนเห็นเขาก็จะดูเป็นตัวอย่าง ว่าไมค์ยังเข้าวัดแล้วทำไมเขาจะเข้าไม่ได้ เมื่อเขาเข้าไปศึกษาแล้วจะรู้เองว่าความสุขของชีวิตไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก แต่อยู่ที่ข้างในของเราเอง ภาพลักษณ์ภายนอก ไมค์ไม่ใช่แค่วัยรุ่นคนหนึ่งที่ได้โอกาสใช้ชีวิตบนเส้นทางสายแสงสี แต่เขาคือคนมีความสามารถเกินวัย และก้าวไปเติบโตบนเส้นทางนี้ถึงต่างประเทศ แต่เมื่อมองตนเองจากด้านใน ก็พบว่าภาพภายนอกถูกสร้างขึ้นทั้งสิ้น ยึดติดอะไรไม่ได้เลย แม้กระนั้นก็พยายามที่สุดเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวแทนวัยรุ่นที่ดีไว้ ด้วยเป็นห่วงความรู้สึกของคนรอบกายที่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ เพราะหากมีข่าวคราวออกไป คนส่วนใหญ่จะมองสิ่งที่เห็น ไม่เห็นสิ่งที่เป็น
ไมค์เหมือนอยู่ในที่สว่าง มีคนเห็นเราตลอดเวลา ทำให้อึดอัด เป็นทุกข์ เหมือนมีคนจ้องแล้วเอามีดมาแทงแล้วก็หายไปอยู่ในความมืด เรามองไม่เห็น ทำให้รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ต้องระวังตัวทุกวัน ทุกนาที เดินคนเดียว เดินกับเพื่อน เที่ยวกับใครไม่เคยรู้สึกว่าปลอดภัย ไม่ว่าจะทำอะไรไม่เคยไม่ระวังตัว สุดท้ายกลายเป็นว่าเวลาเราออกไปเที่ยวกับเพื่อน เราต้องอยู่คนเดียวเพราะกังวล แต่ไมค์ก็ยังเป็นคนมองโลกในแง่ดี คิดแต่แง่ดี แม้จะเป็นเรื่องที่ให้ร้าย ก็คิดมุมกลับว่า การคิดแง่ร้ายไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น การคิดในแง่ดีต่างหากที่จะทำให้คนเรามีความสุข โลกก็สดใส แม้จะเป็นไปได้ยากที่มนุษย์เราจะตัดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ลงได้ตราบใดที่ยังอยู่ในสังคม สิ่งแวดล้อมที่ทุกคนยอมให้ห่อหุ้มตนเองไว้ แล้วก็ติดและลุ่มหลง เพราะเราทุกคนล้วนมีชีวิตที่ยึดติดกับสิ่งภายนอก หากให้นักร้องสูงโปร่งผิวขาวใสคนนี้ยืนกับชายในวัยเดียวกัน แล้วดูว่าทั้งสองต่างกันตรงไหน ก็คงมีแค่รูปลักษณ์ภายนอก ส่วนภายในคนทุกเพศทุกวัยไม่ต่างกันแม้แต่น้อย มีผิวหนังห่อหุ้มโครงกระดูกและอวัยวะภายใน แต่เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่องแต่สิ่งภายนอกที่ตนชื่นชอบ จึงไม่เห็นความจริง ไม่เคยรับรู้รส รู้กลิ่น เสียง และสัมผัส จากข้างในตัวเอง
พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล เล่าว่าไม่ได้ยึดติดกับการเป็นศิลปิน นักร้อง ดารา จะเป็นหรือไม่เป็นก็ได้ เพียงในเวลานี้ยังไม่สามารถวางหน้าที่ตรงนี้ลงได้ ยังมีเป้าหมายที่ต้องเดินไปให้ถึงแม้ยากลำบาก ทั้งยังมีภาระที่อยากแบกเอาไว้เองและที่เข้ามาให้แบก จึงคอยทบทวนความคิดและดูแลระวังจิตใจตนเองเพราะรู้ดีว่าการยึดติดทำให้เป็นทุกข์ จึงต้องหาคำตอบภายในตัวเองให้ได้
เขาผู้เป็นทั้งซูเปอร์สตาร์ รูปร่างก็สูงใหญ่สมชาย หน้าตาผิวพรรณเป็นที่ต้องการของสาวน้อยสาวใหญ่ทั่วประเทศ อาจหมายรวมไปถึงสาวๆ ในแถบเอเชียด้วยก็ยังได้
มุมมองสีชมพูของหนุ่มดวงตามีเสน่ห์สดใสสยบหัวใจผู้หญิงได้ผู้นี้ จะเป็นเหมือนคนทั่วไปที่มองผู้หญิงแค่ความงดงามบนใบหน้า หรือรูปร่างที่น่าหมายตา
ไมค์อยู่ในสังคมที่มีแต่ผู้หญิงสวยๆ เราก็คิดว่าเขาสวย แต่พอกลับจากการปฏิบัติธรรม ความคิดเปลี่ยน มุมมองของเราก็เปลี่ยนตาม กลับมองว่าคนที่หน้าตาธรรมดาๆ แต่จิตใจดี เขาคือคนสวยจริงๆ เพราะเราหันมามองคนที่ใจมากขึ้น ข้างนอกสวย ข้างในไม่ได้ก็ไม่ได้ มีความรัก เป็นแฟนกัน เขาทิ้งเรา ร้องไห้ เศร้า หาย เจอคนใหม่ คบกันนานมาก เลิก เศร้าแทบจะบ้าตาย หาย คนเราก็เป็นอย่างนี้เพราะไม่ได้อยู่กับตัวเอง เราอยู่กับสิ่งอื่น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราค้นหามาตลอดชีวิต มันอาจจะอยู่ในตัวเรา ไม่ได้อยู่ข้างนอก ความรักนำความทุกข์ รักมาทุกข์มาเสมอ เราต้องรักให้เป็น มีชีวิตให้เป็น ความคิดของหนุ่มคนนี้เติบโตเกินวัย เป้าหมายชีวิตของเขาก็กว้างไกลไม่ต่างกัน เมื่อวางเป้าหมายไว้ห่างมือมาก หากต้องการไปให้ถึงจึงจำต้องยึด เพื่อเดินไปให้ตรงตามเป้า
แม้วันนี้ยังไม่ถึงก็ให้คิดในแง่ดีไว้ว่า หากวันนี้ยังไม่ใช่ เรามีหน้าที่เพียงเดินต่อไม่ละทิ้งเป้าหมายหากยังมีลมหายใจและสิ่งนั้นสำคัญจริงๆ กับเรา ก็ต้องทำให้ได้
ไมค์อยากเป็นศิลปินและนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก มีครอบครัวอบอุ่น เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ต้องในสูงไว้ก่อน ไม่ได้ไม่เป็นไร ถ้าเราไม่ยอมแพ้ต้องถึงเป้าหมายสักวัน ไมค์จะมองเป้าหมายแล้วทำให้มันเป็นอย่างเราต้องการ ไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่มาไม่ถึง วางแผนได้แต่ไม่ต้องกังวล เงินไม่มีก็หาไม่ได้ สุขภาพไม่ดีก็แก้ไขได้ แต่เวลาที่เสียไปแล้วเอาคืนมาไม่ได้ เพราะฉะนั้นให้อยู่กับปัจจุบัน มันคือคำตอบของการแก้ปัญหาทุกอย่างของไมค์
หากปัจจุบันเป็นคำตอบสุดท้ายของผู้ชายคนนี้ ปัจจุบันเขาก็คือไอดอลตัวจริงของวัยรุ่นยุค ๒๐๑๑
:: หากเกิดปัญหา และจะให้ใจปล่อยวาง กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้ได้ ก็ต้องอยู่กับปัจจุบัน มันคือทางแก้ที่ดีที่สุด ไม่ย้อนไปอยู่กับอดีต ไม่ไขว่คว้าไปถึงอนาคต ::  พิมพ์โดย : เดอะ วิตรูเวียนแมน (เหมียว)
| จากคุณ |
:
Tk คนของไมค์ (Takalot)
|
| เขียนเมื่อ |
:
19 พ.ค. 55 13:43:11
|
|
|
|