หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 ไมค์ พิรัชต์ ใต้ หัวโขน ที่ไม่เคยหายไป จากก้าวเริ่มต้นเมื่อปี 2545 ในฐานะ จี จูเนียร์ ศิลปินฝึกหัดวัย 13 ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ถึงวันนี้ ไมค์ พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล กลายเป็นศิลปินที่มีผลงานมากมาย ทั้งในด้านดนตรีและการแสดง ตอนนี้โตขึ้น ความคิดต่างๆ นานาก็เปลี่ยนไป หนุ่มวัย 22 ซึ่งดังมาควบคู่กับพี่ กอล์ฟ-พิชญะ ก่อนจะแยกกันไป เดี่ยว ตามแต่ถนัดบอก โดยเขานั้นตอนนี้นอกจากงานเพลงที่กำลังเตรียมการ งานแสดงก็กำลังจะมีละคร รากบุญ หลัง ลิขิตฟ้า ชะตาดิน จบไปพร้อมเสียงตอบรับของคนดู "ก่อนหน้านี้ไม่เคยเรียนแอ๊กติ้งแล้วก็ไม่รู้เรื่องเลย" ช่วงเริ่มเล่นเมื่อ 4 ปีก่อน เขาเลยว่ามีลักษณะ แอ๊บแบ๊วไปวันๆ แต่ปัจจุบันเมื่อรวมประสบการณ์ชีวิต มุมมอง วิธีคิด สิ่งต่างๆ ที่สังเกตเห็น รวมถึงการไปเรียนแอ๊กติ้ง ก็เริ่มรู้แล้วว่าควรจะแสดงอย่างไร ขอบคุณที่ให้โอกาสนะครับ เขาพูดพร้อมเปิดรอยยิ้มกว้าง เหมือนจะส่งผ่านไปถึงบริษัท เอ๊กแซกท์ และ ทีวีซีน ที่ชวนให้แสดง ดีใจที่ได้โอกาสขนาดนี้ เพราะไมค์เป็นคนที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสเท่าไหร่ พอได้โอกาสจะแสดงฝีมือจึงตั้งใจจะไม่ทำให้ผิดหวัง ขนาดไมค์เนี่ยนะ ไม่ค่อย ได้โอกาส เราอดไม่ได้ที่จะถาม และเขาก็ตอบทันที โอกาสในการแสดงความสามารถครับ เพราะมีงานไม่ได้หมายความว่าได้แสดงความสามารถเต็มที่ บางงานไมค์อาจไม่ต้องใช้ความสามารถ แค่เอาหน้าตาออกไป พอได้โอกาสและไม่อยากให้คนที่เชื่อมั่นในตัวเราผิดหวัง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ไมค์จะเฟลมากกับชีวิต ทุกวันนี้จึงต้องทำการบ้านเยอะ ทั้งเรื่องงานและเรื่องเรียนที่กำลังอยู่ชั้นปี 1 คณะอักษรศาสตร์ภาคอินเตอร์ จุฬาฯ "ไมค์จะกดดันตัวเองว่าเราต้องไม่ทำให้ใครผิดหวัง อยู่ในกองทุกคนจะเสียเวลากับเราไม่ได้ แต่ถ้าทำไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เครียดนะครับ เพราะจะคิดว่าเราไม่มีเวลาพอจะมาเครียดหรือเสียใจ เพราะแทนที่จะเอาเวลามาทำแบบนั้น เอาเวลาไปทำให้มันได้ชะดีกว่า" ไมค์เป็นคนที่ภายนอกมองเข้ามาอาจดูเหมือนวัยรุ่นคนนึงที่ไม่คิดอะไร วันๆ ไม่ทำอะไร แต่จริงๆ แล้วจะจริงจังกับชีวิตมาก ไมค์มีอะไรอยู่ข้างในมากมาย แต่เก็บไว้ก่อน ค่อยๆ ปล่อยฮะ ถ้ามีของแล้วปล่อยออกหมดทีเดียว คนตื่นตาตื่นใจแต่สักพักก็เบื่อ แต่ถ้าเราค่อยๆ ปล่อยทีละชิ้น คนจะตื่นตาว่า เฮ้ย! นั่นมีอีกแล้ว จะได้ระยะเวลายาวกว่า อันนี้คือทฤษฎีการอยู่ในวงการของไมค์ คือเราต้องทำสิ่งใหม่ๆ เสมอ ต้องพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมพยายามเรียนรู้ทุกอย่าง พยายามรีบเรียนให้จบ จะได้เอาเวลาไปพัฒนาในด้านอื่นให้มากขึ้น เผื่ออนาคตจะได้เป็นอย่างหวัง แต่มันก็เป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ของเด็กคนนึงนะครับ ประโยคนี้มาพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ และกิริยาเหมือนจะเขินๆ ฝันที่ว่าคือการได้ไปแสดงภาพยนตร์ในฮอลลีวู้ด ซึ่งเรารู้ละว่ายาก หาก... ก็แล้วเราจะเลือกอะไรที่มันง่ายทำไมละฮะ ถ้าทำงานต่างประเทศมันยาก แล้วไม่เลือกแสดงว่าเราขี้เกียจ ไมค์ขี้เกียจนะ แต่ก็ไม่ใช่ในทุกเรื่อง คือเป็นคนชอบทำอะไรยากๆ ทำอะไรที่ท้าทาย ไม่งั้นชีวิตจะนิ่ง แล้วไม่ตื่นเต้นไง คิดๆ ดูแล้ว ไมค์บอกว่าการอยู่ในวงการมาได้ถึง 9 ปี สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่อง ไม่น่าเชื่อ ถามว่าวงการนี้ให้อะไร สำหรับไมค์ไม่ใช่เงินที่มีค่า แต่คือประสบการณ์ต่างหากที่ล้ำค่าสำหรับไมค์ ไมค์ไม่ได้มองเป็นรูปธรรม ส่วนใหญ่เวลามองสิ่งของหรือคน จะมองเป็นนามธรรมมากกว่า สิ่งที่ได้มาเป็นรูปธรรมทั้งหลายแหล่ อย่างรถ 5 ล้าน 6 ล้าน ไมค์ไม่ได้สนใจ แต่มองเรื่องของนามธรรม คือประสบการณ์ที่ทำให้โตขึ้นและมีความคิดที่ต่างออกไปมากกว่า ทุกวันนี้ไมค์เรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเองได้มากขึ้น เพราะการเป็นผู้ใหญ่คือการคอนโทรลตัวเอง และการมีเหตุผล บางคนความเป็นผู้ใหญ่คืออายุ แต่ไม่ว่าจะอายุ 30-40 ถ้าคุณมีความคิดเป็นเด็ก ก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ และถ้าอายุเยอะ แต่ทำตัวเด็กกว่าผม ผมจะไม่เคารพ ไม่ใช่ว่าไม่เห็นหัวนะ เจอก็สวัสดี แต่อินเนอร์ผมไม่ได้เคารพ แล้วผมเป็นคนไม่ยอมแพ้ ถ้ามีใครดูหมิ่นหรือสบประมาท ผมไม่พูด ไม่เถียง ไม่แก้ตัว แต่จะทำให้เห็น ไม่ว่าจะใช้เวลาอีก 10 ปี ผมก็จะทำให้เห็น และถ้าผมสัญญาแล้วผมจะทำ แล้วผมว่าผมใจเย็นลง คิดบวกมากขึ้น ถ้าเป็นแต่ก่อนเวลามีคอมเมนต์ด่า ไมค์คงด่ากลับ แต่เดี๋ยวนี้ถ้ามีคนพิมพ์ว่า You are ugly ไมค์จะตอบกลับว่า And you are beautiful ใครพิมพ์อะไรมา ผมจะพิมพ์กลับด้วยเหตุผลและข้อมูล ไม่ใช่ความคิดเห็น ถ้าเขาเถียงผมได้ ผมก็ยอมแพ้ เหมือนกับเมื่อเราคิดลบมาถึงจุดๆ หนึ่งแล้วมันจะมีคนที่คิดได้กับคิดไม่ได้ คนที่คิดไม่ได้ก็อาจจะชีวิตพัง แต่ถ้าคิดได้ทัน ควบคุมมันได้ เราก็จะสามารถคิดบวก นี่ไม่ใช่ไมค์แบบที่ เห็น เลยนะเนี่ย ฟังคำเราพูด แล้วเขาก็หัวเราะขำ ผมเป็นคนชอบแกล้งคนอย่างหนึ่ง ตาเขาเป็นประกายเทียวละ เวลาที่พูด ถ้าออกไปข้างนอก ผมจะแต่งตัวดูเซอร์ น่ากลัว เห็นภาพเป็นมาเฟีย ดูแล้วไอ้นี่ลูกคนรวย เพลย์บอย แบดบอย แต่ผมจะชอบมากเลยเวลาที่ใครมาเจอตัวจริงแล้วบอกว่าไม่ใช่ ไม่เหมือนที่มองเห็นเลย คือคนส่วนใหญ่มองแต่รูปธรรม จึงไม่รู้ว่าตัวตนจริงๆ ของเขาเป็นยังไง แต่จะว่าก็น่าจะรู้ยาก ไมค์บอก เนื่องจากทุกวันนี้เขาติดกับการ สวมหัวโขน เสียแล้ว วงการนี้เอาทุกอย่างในชีวิตของไมค์ไป ยิ่งเราเข้ามาตั้งแต่เด็ก แล้วจริงจังกับวงการ รู้สึกว่ามันคืออาชีพ มันก็จะเอาชีวิตส่วนตัว เวลา ครอบครัว เพื่อน ตัวตน ทุกวันนี้เวลาไมค์ออกไปข้างนอก ไมค์สวมหัวโขนตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนนี้ ตอนนั่งคุยกับเราอยู่นี่ละ มันติดเป็นนิสัย เอาออกไม่ได้ ออกจากบ้านปุ๊บมันออกมาเลย พยายามถอดนะ แต่ไม่ได้ ไมค์ยืนยัน ยกตัวอย่าง ไมค์ไปพารากอนคนเดียวก็อาจมีหัวโขนอยู่อย่างเรื่องเสื้อผ้า ลุค การเดิน แต่หัวโขนจะเพิ่มความหนักขึ้นเมื่อเจอเพื่อนผู้หญิงที่เป็นดารา เพราะความกลัวจะเกิดขึ้นทันทีว่าจะมีกล้อง มีคนพูดโน่น นี่ แล้วไมค์ก็ไม่เป็นตัวเองกับเพื่อนทันที จะรีบทัก รีบไป แทนที่จะชวนไปกินข้าว ทั้งที่หิว แต่กินคนเดียวสบายใจกว่า เพราะสิ่งที่ตามมาอาจจะไม่ดี ทุกคนเลยจะไม่เคยเห็นว่าจริงๆ ไมค์เป็นยังไง ยกเว้นคนที่บ้าน ที่จะรู้ว่าเขาเป็นคนสบาย ๆ ตลกมากและชอบทำให้คนอื่นหัวเราะ อีกทั้งยังชอบชวนเพื่อนมาเล่นกังฟูในห้อง เหมือนกับเด็กก็ไม่ปาน นี่แหละไมค์ ภายใต้หัวโขนที่เราไม่เคยได้เห็น  พิมพ์โดย : Thanwakom (พี่แป๋ว) |