ความคิดเห็นที่ 1 จะว่าไปแล้ว Alien กับ Blade Runner ของ ริดลี่ย์ สก็อตต์ นั้นเป็นภาพยนตร์ที่เปิดประเด็นให้ถกเถียงในตัวเรื่องได้อย่างต่างๆนานา แต่ดูท่าแล้ว  เรื่อง Blade Runner มีทีท่าจะได้รับความนิยมในการถกเถียงเสียมากกว่าเรื่อง Alien หลายเท่าตัว อาจเพราะว่า Alien ดำเนินเรื่องอยู่ในสูตรของภาพยนตร์สยองขวัญที่แปรเปลี่ยนจากบ้านร้างหรือที่เปลี่ยวเหงากลายเป็นจักรวาลอันห่างไกล ซึ่งดำรงอยู่ด้วยความตื่นเต้นและลุ้นเอาใจช่วยตัวละครเพียงเท่านั้น ต่างจาก Blade Runner ที่มีประเด็นเกี่ยวข้องในความเป็นมนุษย์อย่างเต็มขั้น มีการตั้งคำถามถึงเรื่องของความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง จนผู้ชมอาจรู้สึกได้ว่า หุ่นยนตร์แอนดรอยด์ในเรื่องช่างน่าสงสารที่ถูกสร้างขึ้นมาสมบูรณ์ดั่งมนุษย์ ใช้งานด้วยความซื่อสัตย์ แต่กลับถูกให้ค่าเพียงแค่ทาสและไม่ถูกยกย่องคุณค่าเทียบเท่ามนุษย์เลย ประเด็นเรื่องทุนนิยม เรื่องวิทยาศาสตร์ และความเป็นมนุษย์หุ่นยนตร์นั้น ยังถูกใส่เข้ามาอยู่ในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของ สก็อตต์ อย่าง Prometheus อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เหมือนกับว่านี่คือภาพยนตร์ไซไฟที่รวบรวมความนึกคิด ประเด็นสำคัญที่ค้างคาใจ และการตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆตลอดระยะเวลาที่อยู่ในวงการภาพยนตร์ของเขา นำมาผสมกลั้วรวมกัน จนเกิดเป็นหนังไซไฟที่ผสมรวมกันเป็นฉบับ ริดลี่ย์ สก็อตต์ อย่างเต็มรูปแบบ แต่นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด ด้วยอายุอานามที่เลยหลัก 70 ปีของเขานั่นหมายถึงความเก่งกล้าสามารถทางรอยหยักทางสมองบวกทั้งการผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนทำให้เขากล้าที่จะใส่ประเด็นอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของมนุษย์ลงไป ประเด็นจุดเริ่มต้นที่กล่าวมานั้นถ้าเรียกกันในคำถามเชิงปรัชญาอาจหมายถึงว่านี่คือการตั้งคำถามทางอภิปรัชญา(METAPHYSICS) ซึ่งถ้าเรียกกันด้วยภาษาชาวบ้านนั้นคงหมายถึง การตั้งคำถามว่าความจริงคืออะไรนั่นเอง ก่อนที่ผู้เขียนจะพาท่านผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นใน Prometheus ผู้เขียนขอเกริ่นนำเล็กน้อยถึงคำถามทางอภิปรัชญาว่ามีอะไรบ้างเสียก่อนเพื่ออันเป็นการเข้าใจตรงกัน ซึ่งปัญหาหลักๆ 3 ข้อปัญหาที่นักปรัชญามุ่งหน้าแสวงหาความจริง คือ 1. ปัญหาเกี่ยวกับความจริงของโลก หรือจักรวาล คำถามนี้ถ้าจะให้ย่นย่อคงหมายถึงการค้นหาความแท้จริงของโลกและจักรวาล เช่นคำถาม ที่ว่าโลกเราเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? เรื่องระบบสุริยะจักรวาล รวมไปถึงเรื่องธรรมชาติในโลกของเรา 2. ปัญหาเกี่ยวกับความเป็นจริงของจิต โดยนักปรัชญาพยายามสืบค้นถึงความเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์ คำถามที่มักถูกตั้งก็คือ จิตหรือวิญญาณของมนุษย์คืออะไร ? มนุษย์มีจิตกับกายแยกจากกันจริงหรือไม่ ? 3. ปัญหาเกี่ยวกับความเป็นจริงของพระเจ้า โดยคำถามข้อนี้ก็คือ พระเจ้ามีจริงหรือไม่ ? อะไรคือข้อพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง ? และข้อพิสูจน์สมเหตุสมผลหรือไม่? ดังนั้นถ้าเราจับกรอบของปัญหาทางอภิปรัชญามาใช้ในภาพยนตร์เรื่อง Prometheus จะพบว่าคำถามข้อ 1 และข้อ 3 คือคำถามที่ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามจะค้นหาคำตอบมากที่สุด และยังมีความเชื่อกันอีกว่า หากเรา(มนุษย์)รู้ถึงตัวผู้สร้างมนุษย์ด้วยแล้ว มนุษย์ก็มีโอกาสที่จะรู้ไปถึงสิ่งต่างๆนานาที่อาจหมายถึงรู้ว่าแท้จริงแล้วนั้นโลกของเราเกิดขึ้นมาได้อย่างไร --มีต่อ-- จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:09:20

ความคิดเห็นที่ 2 สิ่งหนึ่งที่บทความนี้จะละเลยที่กล่าวถึงมิได้คือ คำว่า โพรมิเทียส(Prometheus) ซึ่งหมายถึงชื่อของเทพองค์หนึ่งของตำนานกรีกโบราณที่ขโมยไฟลงจากสวรรค์เพื่อนำไปมอบให้แก่มนุษย์ เทพซุสจึงได้ทำการลงโทษโพรมิเทียส เพราะไฟในความหมายของเทพคืออำนาจที่จะทำให้มนุษย์รู้สึกกระด่างกระเดื่อง หรือรู้สึกมีบารมีเท่าเทียมกับเทพ และในบริบทของปัจจุบันหากจะมีสิ่งใดที่เท่าให้มนุษย์รู้สึกจะสามารถเข้าถึงความแท้จริงของโลกได้นั่นอาจหมายถึง วิทยาศาสตร์ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นไฟ นั่นเอง   อลิซาเบ็ธ ชอว์ เรื่องราวของภาพยนตร์ Prometheus เกิดขึ้นปี ค.ศ. 2085 ซึ่งยาน Prometheus ได้ขึ้นไปสู่ห้วงอวกาศ เพื่อไปสำรวจสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาต่างเรียกกันว่า ผู้สร้าง (Engineer) โดยหวังว่าการสำรวจครั้งนี้จะทำให้ค้นพบถึงที่มาว่า มนุษย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร โดยตัวละครหลักของภาพยนตร์ดำเนินเรื่องโดยใช้ อลิซาเบ็ธ ชอว์ (Noomi Rapace) หญิงสาวนักโบราณคดี ที่มีความศรัทธาในเรื่องของศาสนาคริสต์(เธอใส่สร้อยคอไม้กางเขนอยู่ตลอดเวลา) แม้ตามหลักความจริงแล้วนั้น ความเป็นนักวิทยาศาสตร์กับความศรัทธาของเธอจะถือเป็นความย้อนแยงกันอยู่ในตัวก็ตาม แต่เต็มไปด้วยความเชื่อและศรัทธา เธอจึงออกหาความหมายของชีวิต เธอชื่อว่าหากพบผู้สร้างของเธอ ซึ่งอาจนำพาไปพบพระเจ้า(God) และหากพระเจ้ามีอยู่จริง เขาจะต้องได้พบพ่อและแม่ของเธอ ซึ่งต้องอยู่กับพระเจ้า ตามหลักความเชื่อของศาสนาคริสต์ที่เชื่อว่า เมื่อตายไปจะได้เข้าไปอยู่หรือเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์  ดังนั้นการมาหาผู้สร้างของเธอเพื่อเป็นการตอกย้ำความศรัทธาว่าเธอคิดไม่ผิดที่เลือกเชื่อและศรัทธาพระเจ้ามาตลอดชีวิตของเธอนั่นเอง --มีต่อ-- จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:10:14

ความคิดเห็นที่ 3 ชาร์ลี ฮอลโลเวย์ ตัวละคร ชาร์ลี ฮอลโลเวย์ (Charlie Holloway) นักวิทยาศาสตร์ขนานแท้ ผู้เป็นคนรักของ ชอว์ การขึ้นมาค้นพบครั้งนี้แฝงไปด้วยความตื่นเต้นที่มีโอกาค้นพบถึงที่มาของมวลมนุษยชาติว่ากำเนิดขึ้นมาบนโลกได้อย่างไร นี่คือตัวละครที่แยกระหว่างความเป็นวิทยาศาสตร์และความเชื่อความศรัทธาห่างออกจากกัน เป็นตัวละครที่มองหาความยิ่งใหญ่ ในคำถามที่มนุษย์ยังตอบไม่ได้ ดังนั้นคนแบบ ชาร์ลี จึงมีความตื่นตัวแค่การทดลองทางวิทยาศาสตร์  หรือสนุกกับการตั้งคำถามเพียงเท่านั้น และหากคำถามใดถูกตอบลงแล้ว สิ่งนั้นอาจเป็นแค่เพียงวัตถุและผลการทดลองเลวๆ ชิ้นหนึ่งของชาร์ลีเท่านั้น เหมือนดังที่ชาร์ลีย์ ค้นพบว่า DNA ของ หัวผู้สร้าง ตรงกันกับมนุษย์ ชาร์ลีย์ ก็ได้แต่รู้สึกเฉยๆ และหมดคำน่ายินดีใดๆ กับคำตอบ เพราะมันไม่หลงเหลือคำถามใดๆ ให้เหลืออยู่ และไม่ตื่นเต้นใดๆ ดังนั้นผู้สร้างก็ไม่ต่างจากชาร์ลีย์ ที่มีความสามารถสร้างกำเนิดทายาทได้ผ่านทางการผสมพันธุ์ ไม่ได้ยิ่งใหญ่องอาจอย่างที่เขาตั้งสมมติฐานไว้ในคราวแรก --มีต่อ-- จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:11:22

ความคิดเห็นที่ 4 ปีเตอร์ เวย์แลนด์ ปีเตอร์ เวย์แลนด์ (Guy Pearce) คือ บุคคลยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยทุนนิยมผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรเวย์แลนด์ ซึ่งสามารถเนรมิตอุปกรณ์ไฮเทคล้ำยุดรวมทั้งสร้างหุ่นแอนดรอยด์ขึ้นมารับใช้คำสั่งเหมือนทาสได้อย่าง เดวิด (Michael Fassbender )ด้วยบุคลิกอันอ่าอังผ่าเผยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรมนุษย์ ปีเตอร์ เวย์แลนด์ จึงเสมือนเป็นพระเจ้าแห่งโลกมนุษย์ ที่มีความเย่อหยิ่ง ทะเยอทะยาน ทุกคนต่างนอบน้อมและเชื่อฟังเขา เพราะเขาเป็นผู้นำพาให้โลกเดินหน้าสู่ยุคสมัยแห่งวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง แม้ว่าเขาจะมีลูกสาว เมเรดิทธ วิคเกอร์ (Charlize Theron) แต่เขาก็ยังสร้างหุ่นยนตร์ เดวิด ขึ้นมาให้เป็นลูกชายสุดที่รักของเขา เพราะอะไร ? ... ด้วยความยิ่งใหญ่ของ ปีเตอร์ ซึ่งเปรียบเทียบง่ายๆ ว่าเขาคิดว่าตนเอง คือ พระเจ้าซึ่งทุกคนล้วนต้องเชื่อฟังเขา แต่ลูกสาวของเขากลับขัดใจ และขัดคำสั่งเขาเสมอมา นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาสร้าง เดวิด มาเป็นลูก(ทาส) ที่คอยรักและเชื่อฟังเขาในทุกๆอย่างนั่นเอง จุดประสงค์หลักของ ปีเตอร์ ในการสร้างยาน Prometheus เพื่อเป็นหนทางในการรวบรวมนักวิทยาศาสตร์เพื่อออกค้นหาผู้สร้าง เพื่อก้าวสู่ความยิ่งใหญ่แห่งมวลมนุษย์ แต่อุดมการณ์เลิศหรูเหล่านี้ กลับแฝงเร้นด้วยความรู้สึกเย่อหยิ่งทะเยอทะยานของตนเอง ดังที่กล่าวไว้ว่า ปีเตอร์ เวย์แลนด์ ต้องการสถาปนาตนองเป็นพระเจ้า พระเจ้าที่เป็นอมตะ ไม่รู้จักความตาย นี่จึงเป็นสิ่งที่ ปีเตอร์ ต้องการจากผู้สร้างมากที่สุด เพราะหากเขาเป็นผู้สร้างเราจริง เขาก็อาจรู้วิธีที่ทำให้เรามีชีวิตต่อไป และความคิดแบบนี้นี่เองที่ทำให้ วิคเกอร์ ลูกสาวของเขา รู้สึกไม่เห็นด้วยกับพ่อเท่าไหร่นัก --มีต่อ-- จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:16:53

ความคิดเห็นที่ 5 เมเรดิทธ วิเกอร์ เมเรดิทธ วิเกอร์ (Charlize Theron) ลูกสาวเจ้าของอาณาจักรเวย์แลนด์ ผู้ซึ่งอยู่ในยาน Prometheus ในฐานะเจ้าของยาน หรือนายทุนนั่นเอง คำสั่งของเธอเป็นคำศักดิ์สิทธิ์เปรียบดังกฎหมายที่ทุกคนไม่มีสิทธิ์ต่อต้าน แม้ผู้ชมอาจงุนงงสงสัยในบุคลิกการกระทำเธอไม่มากก็น้อย แต่มันทำให้เธอดูมีเสน่ห์บวกกับหน้าตาและหุ่นอันยั่วยวนเซ็กซี่ด้วยแล้ว เธอจึงเป็นตัวละครอันผ่อนคลายสายตาจากเนื้อเรื่องอันเคร่งเครียดถึงแม้ว่าเราจะไม่เข้าใจเธอมากก็ตาม ผู้ชมอาจพอคาดเดาได้ว่า เธอไม่ได้ต้องการขึ้นยานมาค้นหาผู้สร้างเท่าไหร่นัก เธอคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แต่หากว่ามันมีอะไรอยู่นอกยานจริงก็คงจะเป็นเพียงสัตว์ประหลาด ที่ไม่ใช่ผู้สร้างอะไรนั่นที่เราต่างค้นหา ใจเธอเย็นชาและแข็งดังก้อนหิน แต่ก็ไม่น่าแปลกอีกเช่นกันที่เธอจะได้บุคลิกเฉกเช่นนี้มาจากใคร นอกจากพ่อของเธอ เธอรู้สึกว่าพ่อของเธอรักเดวิดมากกว่าตัวเธอ ไม่ใช่เพราะเธอทำตัวไม่ดี หรือไม่รักและกตัญญูต่อพ่อตนเอง แต่เธอคิดว่าคนเราเมื่อถึงเวลาก็ต้องตาย ซึ่งสิ่งนี้เป็นสัจธรรมที่พ่อของเธอไม่ยอมรับ คำพูดจากปากเธอก่อนที่พ่อจะไปหาผู้สร้าง “ราชันย์ได้ครองบัลลังก์ จากนั้นย่อมสิ้นพระชนม์ ไม่อาจเหลี่ยกเลี่ยงได้” นี่เป็นประโยคเชิงสอนพ่อของเธอ แต่พ่อเธอไม่สนใจ นี่จึงเป็นเหตุผลที่พ่อของเธอรักเธอน้อยลง มีความน่าสนใจในช่วงที่ทุกคนกำลังเดินทางไปหาผู้สร้าง และเธอดูภาพในจอมอนิเตอร์อยู่ ซึ่งในขณะที่เดวิดกล่าวภาษาโบราณกับผู้สร้าง ผู้สร้างกลับดึงหัวเขาออกเสีย ก่อนที่จะตบหน้าพ่อเธอจนถึงความตาย กล้องจับมาที่ใบหน้าของ เมเรดิทธ ด้วยแววตาเศร้าสร้อยก่อนที่จะเอ่ยปากคำพูดอุทานถึงพระเจ้าขึ้นมา แต่แทนที่คำที่เอ่ยคือ God แต่เธอกลับเอ่ยด้วยคำว่า JESUS CHRIST นั่นคือพระเยซูนั่นเอง นี่อาจเป็นไปได้ว่าเธอนับถือในศาสนาคริสต์ เธอจึงไม่เชื่อว่าที่ดาวแห่งนี้จะมีอะไรก็ตามที่มนุษย์เราต่างค้นหา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้าด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีทาง นี่จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกแต่อย่างใดที่เธอจะยอมรับสัจธรรมในความตายข้อนี้ตามหลักศาสนา แม้ว่าในตอนท้ายเธอจะแสดงความกลัวตายแบบน่าแปลกใจก็ตาม --มีต่อ-- จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:18:11

ความคิดเห็นที่ 6 แอนดรอยด์เดวิด ตัวละครสำคัญคนสุดท้าย หุ่นยนตร์แอนดรอยด์เดวิด (Michael Fassbender) ผู้เขียนต้องกล่าวว่าหากเราเข้าใจตัวละครตัวนี้อย่างแจ่มแจ้งเด่นชัดทั้งทางตรงและทางอ้อม ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่า ปัญหาแก่นสารสาระของเรื่องนี้ คงจะไม่หนีหายจากผู้ชมเป็นแน่แท้ แต่ด้วยความสัจจริง เดวิด คือตัวละครที่มีความเข้าใจยากถึงยากที่สุด นี่จึงทำให้ตัวละครตัวนี้ เป็นได้ทั้งสองขั้วทั้งดีและร้าย ทั้งน่ารักและน่ากลัว หรืออีกต่างๆมากมาย ที่เป็นคุณธรรมต่างๆที่มนุษย์พึงมีหรือไม่ควรพึงมี และสร้างปัญหาให้ผู้ชมต้องขบคิดอยู่ตลอดเวลา สิ่งแรกที่เราจะเข้าใจ เดวิดได้ง่ายที่สุดนั่นคือเขาเป็นหุ่นยนตร์ของปีเตอร์ เวย์แลนด์ ที่มีหน้าที่หาวิถีทางที่จะทำให้ ปีเตอร์ สามารถหลุดพ้นจากความตายไปได้ เดวิด เปรียบได้กับลูกชายของ ปีเตอร์ ที่ทำตามคำสั่งอย่างที่เขาต้องการมากที่สุด ไม่ขัดคำสั่งหรือมีอุดมการณ์ใดๆที่ขัดต่อ ปีเตอร์ – เดวิด สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างมนุษย์พึงกระทำ เสียอย่างเดียวที่เขาไม่มีจิตวิญญาณหรือความรู้สึกต่อสิ่งใดๆ อย่างที่มนุษย์พึงมี มีสิ่งที่น่าสงสัยในตัวเดวิด ต่อ ชาร์ลี ที่เป็นคำถามอันหนักอึ้งว่า เพราะเหตุใดเขาจึงทดลองใส่ของเหลวสีดำในแก้วเหล้าของชาร์ลี แม้ผู้เขียนจะไม่สามารถหาคำตอบได้อย่างชัดเจน แต่ก็ให้ความน่าสงสัยว่า เดวิดที่ชัดเจนว่าต้องหาวิธีทางที่จะทำตามคำสั่งของปีเตอร์ในการหาวิธีทำให้ ปีเตอร์ เป็นอมตะ แม้เดวิด จะเป็นเหมือนทาสรับใช้ของปีเตอร์ แต่ผู้ชมจะเห็นว่าในความเป็นทาสนั้น เขาก็มีความอิสระไม่ต่างกัน เพราะเขาสามารถเรียนรู้ได้อย่างที่มนุษย์กระทำได้ และชาร์ลีต้องการค้นหาคำตอบอันยิ่งใหญ่ มีประโยคนึงที่ เดวิด ถามชาร์ลีว่าทำไมต้องอยากรู้ด้วยว่าผู้สร้าง สร้างมนุษย์ขึ้นมาทำไม และหันไปบอกกับชาร์ลีว่า ก็เหมือนกับเขา มนุษย์สร้างเขาขึ้นมาทำไม ชาร์ลี ตอบได้แค่ว่า เพราะมนุษย์ทำได้ เดวิดเลยตอบกลับไปว่า ผู้สร้างก็อาจจะตอบเหมือนกับที่ชาร์ลีตอบก็เป็นได้ หลังจากบทสนทนาของเดวิดกับชาร์ลีข้างต้นก็ทำให้ เดวิด ตัดสินใจหยดน้ำดำที่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆ เป็นดั่งการทดลอง และยังเป็นเหมือนคำตอบของชาร์ลีด้วยว่าผู้สร้างอาจสร้างมนุษย์เพราะเพียงแค่ทำได้เพียงเท่านั้น และการหยดน้ำดำของเดวิด ก็เป็นเหมือนการปะชดประชนของเดวิดด้วยว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าเขาสามารถสร้างบางสิ่งได้ ไม่ใช่เพราะความยิ่งใหญ่ฉันใดแต่เพราะ เดวิด สามารถทำได้ก็เท่านั้นเอง --มีต่อ-- จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:19:58

ความคิดเห็นที่ 7 แม้สิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดคือตามหาผู้สร้างของมนุษย์เพียงเพื่อการค้นหาจะนำพามนุษย์ไปพบกับคำตอบมากมายซึ่งในตัวละครแต่ละคนก็ต่างมีเป้าหมายและแรงจูงใจในการค้นหาที่ต่างกันออกไป แต่ถ้าหากมองย้อนกลับมาในสิ่งรายล้อมของตัวละครโดยยังไม่สนใจปัญหาอันยิ่งใหญ่ ภาพยนตร์ได้เล่นแร่แปรธาตุกับคำว่าผู้สร้าง-ผู้ถูกสร้างอยู่ตลอดเวลา โดยยังไม่จำเป็นต้องรู้ถึงผู้สร้างที่แท้จริงด้วยซ้ำไป ผู้เขียนจะยกรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างคำถามและคำตอบที่พอจะมองให้เห็นภาพว่า มนุษย์เกิดขึ้นมาทำไปมาอธิบายซึ่งสิ่งที่ยกมานั้นอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดในภาพยนตร์ เพียงเลือกมาให้เห็นภาพเพียงเท่านั้น รูปแบบความสัมพันธ์ที่ 1 ผู้สร้างและผู้ถูกสร้าง แม้เรายังไม่สามารถค้นหาคำตอบที่ยิ่งใหญ่ได้ว่า ใครคือผู้สร้างมนุษย์ที่แท้จริง อาจเป็นผู้สร้าง Engineer ที่ DNA ตรงกันกับมนุษย์ แต่เราก็ยังต้องค้นหาอีกต่อไปว่าพวกเขาสร้างเราขึ้นมาทำไม รูปแบบตรงนี้ย้อนแยงไปยังมนุษย์ที่แปรผันเปลี่ยนเป็นผู้สร้างทันทีถ้าเทียบความสัมพันธ์ตรงนี้กับ หุ่นแอนดรอยด์เดวิด ว่ามนุษย์สร้างเดวิดขึ้นมาทำไม คำตอบจากชาร์ลีที่บอกว่าเพราะมนุษย์แค่ทำได้ คำตอบนี้มีความสำคัญที่จะลองตอบคำถามที่ว่า ผู้สร้างสร้างสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาทำไม และคำตอบก็อาจไม่ได้ยิ่งใหญ่ เหมือนที่คำถามเลยก็ตาม คำตอบ – ผู้สร้าง อาจสร้างบางสิ่งได้เพราะแค่ทำได้เท่านั้นเอง --มีต่อ-- จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:21:09

ความคิดเห็นที่ 8 รูปแบบความสัมพันธ์ที่ 2 พ่อแม่-ลูก มีความสัมพันธ์ระหว่างปีเตอร์และเมเรดิทธ ,ชอว์และพ่อของเธอ อาจรวมถึงปีเตอร์กับเดวิด ด้วย ความสัมพันธ์ชุดนี้เป็นความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างด้วยจิตวิญญาณที่ดีของผู้สร้าง ดังนั้นความสัมพันธ์ชุดนี้เป็นความสัมพันธ์พื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ซึ่งเรียกว่าพ่อแม่ ส่วนผู้ถูกสร้างในฐานะลูกนั้นจะมีความสายใยความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ความกตัญญูเกาะกุมหัวใจพ่อแม่-ลูกเข้าไว้ด้วยกัน แต่ใช่ว่าความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้จะราบลื่นเสมอไป เหมือนกับเมเรดิทธกับปีเตอร์ ซึ่งปีเตอร์รักลูกน้อยลงเรื่อยๆหรือแทบไม่รักเลย หากว่าสิ่งที่สร้างในฐานะลูกขัดแย้งอุดมการณ์ต่อพ่อ(ผู้สร้าง) และการสร้างเดวิดเพื่อเป็นลูกนั่นก็เพื่อทดแทนเมเรดิทธเพราะเดวิดไม่ขัดแย้งอุดมการณ์ต่อปีเตอร์(ผู้สร้าง) และหากลองเทียบความสัมพันธ์ของชอว์กับพ่อของเขา เราจะเห็นความสัมพันธ์นี้ในความฝันของเธอ(เดวิดแอบดู) พ่อของชอว์สอนสั่งชอว์ไปทางด้านมุมมองศาสนาซึ่งชอว์ก็ฟังด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้ขัดแย้งแต่อย่างใด มิหนำซ้ำเมื่อโตขึ้นมาชอว์ยังได้รับอุดมการณ์ความศรัทธามาจากพ่อเต็มๆ ดังนั้นทำให้มองเห็นรูปแบบนี้ได้ว่า สามารถแปรผันกันไป แต่ที่สำคัญคือ พ่อแม่(ผู้สร้าง) ต้องการให้ลูกมีอุดมการณ์เดียวกันนั่นเอง คำตอบ – พ่อแม่สร้างลูกให้มีอุดมการณ์เดียวกันกับตน     --มีต่อ-- จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:22:40

ความคิดเห็นที่ 9 รูปแบบความสัมพันธ์ที่ 3 ผู้สร้าง-ทำลาย ความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้เป็นความสัมพันธ์ที่ ชอว์เกิดความสงสัย ว่าเหตุใด หาก Engineer ในฐานะผู้สร้างมนุษย์จริง ทำไมถึงต้องเปลี่ยนใจกลับมาทำลายมนุษย์นี้ คำถามข้อนี้ไม่มีคำตอบ และอาจเป็นหัวข้อหลักที่หนังพยายามปูคำถามไว้ใช้หากมีการสร้างในภาคต่อไป ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งเกิดขึ้นกับชอว์อีกครั้ง นั่นคือหลังจากมีความสัมพันธ์ทางเพศกับชาร์ลีแล้ว ชอว์ได้เกิดการตั้งครรภ์ขึ้น ซึ่งนั่นเท่ากับว่าชอว์ อยู่ในฐานะผู้สร้างโดยทันที แต่ผู้ชมจะเห็นว่า ชอว์ไม่ต้องการให้สิ่งใดก็ตามอยู่ในท้องของเขา และต้องการกำจัดออกโดยทันที นั่นแสดงว่าชอว์กำลังเป็นผู้ทำลายสิ่งที่ถูกสร้างด้วยตัวของเขาเอง(แม้ไม่ชัดเจนว่าใช่ทายาทของเขาหรือเปล่า แต่ก็อาจจัดได้ว่า สัตว์ประหลาดตัวนั้นเกิดขึ้นจากการสร้างของชอว์และชาร์ลี) เราจะพบว่า ชอว์กลับต้องกลายเป็นผู้ทำลายสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา(แม้อาจจะไม่ตั้งใจสร้างก็ตาม เพราะการสร้างสรรพสิ่งบนโลกนี้ อาจเกิดขึ้นมาโดยไม่เจตนาเลยก็ได้)       ดังนั้น คำตอบของการทำลายของชอว์อาจพบว่า ผู้สร้างรู้โดยทันทีว่าสิ่งที่ถูกสร้างอาจเกิดการคุกคามผู้สร้างและต้องการกำจัดทิ้ง แล้วไฉนเลยคำถามข้างต้นที่ว่า เหตุใด Engineer จึงเปลี่ยนใจกำจัดมนุษย์ ก็อาจเป็นไปได้ว่าเพราะมนุษย์กำลังคุกคามผู้สร้างอยู่นั่นเอง คุกคามในที่นี้ตีความได้หลากหลายทั้งการขึ้นมาค้นพบผู้สร้าง หรืออาจเลยเถิดคิดไปไกลก็ได้ว่าอาจเป็นเพราะมนุษย์นับถือพระเจ้าผิดองค์ เพราะมนุษย์ดันไม่ได้นับถือผู้สร้าง แต่ดันไปนับถือพระเจ้าในแบบศาสนา(การตีความทางศาสนาในแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้เพราะ ช่วงเวลาของการเกิดศาสนาคริสต์กับหัวผู้สร้างขาดที่พบบนยานมีอายุไล่เลี่ยกัน แสดงว่าผู้สร้างอาจตั้งใจมาทำลายโลกในช่วงที่ศาสนาคริสต์เฟื่องฟูก็เป็นได้ (แนวคิดหลังอาจเกิดขึ้นได้ตามบริบทเวลา แต่ผู้เขียนไม่เชื่อว่า ริดลี่ย สก็อตต์ จะใช้ทฤษฎีนี้มาสร้าง Prometheus เพราะเป็นการขัดแย้งศาสนาคริสต์อย่างสุดโต่งจนเกินไป)   คำตอบ – ผู้สร้าง สร้างและกลับมาทำลายเพราะกลัวสิ่งที่สร้างมาคุกคาม --มีต่อ-- จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:23:58

ความคิดเห็นที่ 10 รูปแบบความสัมพันธ์ที่ 4 ผู้ถูกสร้าง กลับมาหาผู้สร้าง ความสัมพันธ์นี้เป็นความสัมพันธ์ที่ยอดนิยมที่สุดในบรรดา 3 ความสัมพันธ์ที่กล่าวมาข้างต้น เพราะเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างปกติสุข จนเลยเถิดไปเป็นแบบไม่ปกติ ยกตัวอย่างแบบปกติสุข ลูกในฐานะผู้ถูกสร้างมักชอบเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อและแม่ตัวเองในฐานะผู้สร้าง ซึ่งเป็นในรูปแบบธรรมดาสามัญที่อยู่ในมนุษย์ทุกๆคน จะมีสำนวนสุภาษิตที่กล่าวว่า “ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น” เป็นต้น หากยังจดจำได้ แอนดรอยด์เดวิด(ผู้ถูกสร้าง)มักลอกเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์(ผู้สร้าง) นั่นแสดงว่าถึงอย่างไร เดวิดแม้จะรู้ตัวว่าไม่สามารถเป็นได้อย่างผู้สร้างก็ตาม แต่ก็ยังอยากจะเป็นอย่างผู้สร้าง ซึ่งในภาพยนตร์แสดงให้เห็นหลายสิ่งต่อหลายอย่างที่ เดวิด พยายามเข้าใจความเป็นมนุษย์เพื่อให้มนุษย์มองเขาเป็นดังอย่างมนุษย์พวกเดียวกันนั่นเอง เดวิดเรียนรู้ที่จะเข้าใจมนุษย์ เดวิดเรียนรู้ที่จะเข้าใจความตาย และความเชื่อความศรัทธา(แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม) เป็นต้น นั่นเป็นการแสดงว่าเดวิดต้องการเป็นหรือมีความเสมอภาคเป็นพวกเดียวกับเหมือนผู้สร้าง ความสัมพันธ์ต่อมาเป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่ใช้เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์อันทันสมัยเพื่อบากบั่นมาตอบคำถามความสัมพันธ์ในข้อนี้ นั่นคือ ปีเตอร์ เวย์แลนด์ ที่ต้องการมาหาผู้สร้างเพราะหวังจะหลุดพ้นจากความตาย แม้ปีเตอร์ยังไม่แน่ชัดว่า Engineer จะหลุดพ้นจากความตายได้หรือไม่ (มีภาพหลุดออกมาว่า Engineer แก่แสดงว่าอาจตายได้) แต่ความเสมอภาคของ ปีเตอร์ เกิดขึ้นในระดับที่ต้องการที่จะมีชีวิตเป็นอมตะ หรือเป็นสิ่งสมบูรณ์ เป็นที่ชี้ชัดได้ว่า ปีเตอร์ต้องการเป็นพระเจ้า หรือเป็นสิ่งอนันตภาวะ (ภาวะที่เป็นอยู่โดยไม่รู้จักสลายไป) สิ่งเทียบเท่ากับคำว่า God นั่นเอง ซึ่งการมีแนวคิดแบบปีเตอร์ ถือเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากในระดับมนุษย์สามัญเพราะต้องการฝืนสัจธรรม(ความตาย) (ตามปกติของชีวิตคนเมื่อถึงวัยอันแก่ชรา จะเริ่มเข้าหาศาสนาเพื่อทำให้เกิดการยอมรับกับความตาย แต่สำหรับปีเตอร์นั้นหันหลังให้ศาสนาและหาวิธีกำจัดความตายให้จงได้) ความสัมพันธ์ของชอว์ก็อาจจัดอยู่ในข้อนี้ แต่ความสัมพันธ์ของชอว์มีในลักษณะนอบน้อมศรัทธาในตัวผู้สร้าง ไม่ได้ต้องการทัดเทียมเสมอภาคผู้สร้าง การมาหาผู้สร้างในตอนแรกนั้น ชอว์มาเพื่อมายลโฉมอานุภาพอันงดงามของผู้สร้าง(God) และคิดว่าจะได้พบพ่อของเขาอีกด้วย เป็นการกลับมาพบผู้สร้างแบบ 2 ทอด แม้สุดท้ายจะพบว่า Engineer หรือผู้สร้างของเธอ ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เธอถึงกลับสูญสิ้นความศรัทธาที่เคยมี (การถอดไม้กางเขนเป็นสัญญะแห่งการสูญสิ้น) แต่ผู้ชมจะพบว่าสุดท้ายเธอก็กลับมาศรัทธาในความเชื่อของเธออีกครั้ง เพราะเธอยังคิดว่า Engineer ก็ยังมีที่มา และอาจยังไม่ใช่ผู้สร้าง (God) ที่แท้จริงในความหมายของเธอ และอาจโยงไปถึงการถูกสัตว์ประหลาดที่กำเนิดมากจากน้ำดำที่กลับมาทำลาย Engineer เสียเองเป็นการบอกถึงว่าสิ่งที่ถูกสร้างก็มีอานุภาพที่จะกลับมาทำลายผู้สร้างได้เหมือนกัน ตัวอย่างสุดท้าย ผู้เขียนขอยกตัวอย่าง สิ่งถูกสร้างที่กลับมาทำร้ายผู้สร้าง จากภาพยนตร์ Blade Runner ที่หุ่นยนตร์เน็กซัสก่อการปฎิวัติและฆ่าคนเพื่อหาทางกลับมาหาผู้สร้าง เพื่อเรียกร้องความเสมอภาคกับผู้สร้างด้วยการขอให้ผู้สร้างช่วยต่ออายุให้ตัวเองได้อยู่อย่างยาวนานเหมือนมนุษย์ แต่ผู้สร้างไม่สามารถทำได้ ทำให้หุ่นยนตร์ฆ่าผู้สร้างทิ้งเสีย นี่เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ผู้ถูกสร้างต้องการความเสมอภาคเทียบเท่ากับผู้สร้าง -คำตอบ ผู้ถูกสร้างต้องการเสมอภาค  และอาจถึงขั้นทำร้ายผู้สร้างได้ --มีต่อ-- แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 55 20:31:57 จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:25:37

ความคิดเห็นที่ 11 ความสัมพันธ์ที่ยกตัวอย่างมากล่าวข้างต้นนั้นแม้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งก็ตามแต่ก็เพียงพอให้เห็นถึงภาพรวมถึงความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆของคำถามที่ไกลเลยออกไปจากตัวมนุษย์ โดยสามารถเอามาเทียบเคียงกันกับความสัมพันธ์ในระดับสามัญ(คำถามทั่วๆไป) ซึ่งสิ่งที่ค้นพบในความสัมพันธ์เหล่านี้จะพบว่า รูปแบบความสัมพันธ์เกิดขึ้นในระดับซับซ้อนไม่ตายตัว ไม่มีอะไรที่เป็นเส้นตรง สามารถย้อนแยงกลับมาได้ทั้งดีและร้ายได้ จะเห็นว่าบางคำถามในระดับสามัญบางทีมนุษย์ยังหาคำตอบไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่าเกิดขึ้นหรือเป็นไปเพราะอะไร ดังนั้นความยากยิ่งในระดับคำถามอภิปรัชญาจึงเป็นอะไร ที่ไม่มีทางที่มนุษย์จะทราบคำตอบแบบแท้จริงหนึ่งเดียวได้เลย ด้วยการเชื่อมโยงที่ผู้เขียนอธิบายให้เห็นความสำคัญว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นมาอย่างสลับซับซ้อนเกินกว่าที่ภาวะขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์จะเข้าถึงและหาคำตอบได้ทั้งหมด และสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลยนั่นคือภาวะความตาย แม้มนุษย์ต้องหยั่งรู้มากเท่าไร สิ่งเหล่านั้นจะจบลงทันทีที่ความตายมาเยือนถึงมนุษย์  Prometheus นอกจากจะให้ภาพความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างและสิ่งที่สร้างแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความตายเป็นรอยเชื่อมสำคัญ ที่มนุษย์ที่ต่างดิ้นรนแฝงหาความท้าทายเพื่อให้เข้าใจถึงบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยมักหลงลืมมองไปว่าความจำกัดของตนเองมีมากเท่าไหร่กัน เดวิด คือ ตัวละครที่แม้จะเป็นหุ่นยนตร์แต่กลับมีการเรียนรู้เพื่อเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ มนุษย์ที่ต้องการเข้าใจความตาย(ที่จริงมนุษย์เคยเรียนรู้เท่าเดวิด แต่โลกวิทยาศาตร์ทำให้มนุษย์หาทางลองดีกับจักรวาล) หลังจากการทดลองหัวผู้สร้างจนระเบิด เดวิด เอ่ยคำเสียดสีว่า “สุดท้ายก็ตายอยู่ดี” หลังจาก ปีเตอร์ ตาย เดวิดเอ่ยคำว่า “เดินทางปลอดภัย” นี่คือคุณสมบัติสำคัญที่ตัวละครที่ถูกเสียดสีว่าไม่ใช่มนุษย์แต่กลับรู้จักสัจธรรมในข้อนี้ได้อย่างดียิ่ง --มีต่อ-- จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:27:10

ความคิดเห็นที่ 12 เดวิด เรียนรู้กลการเล่นกับไฟที่ได้จาก Peter O’Toole ในภาพยนตร์ Lawrence of Arabia และลอกเลียนคำจนติดปากว่า “นี่คือกล William Potter อย่าไปคิดว่ามันเจ็บสิ” แม้จะดูเป็นคำเล่นๆ ที่ไม่ได้สลักสำคัญแต่อย่างใด แต่หากลองเชื่อมโยงคำพูดนี้แล้วอาจจะแสดงให้เห็นว่า เดวิด เรียนรู้แม้กระทั่งว่า หากเราจะคิดเล่นกับไฟ ใจเราต้องนิ่งแล้วไม่กลัวเจ็บ ไฟในที่นี้มันเชื่อมโยงเข้ากับภาพยนตร์ทั้งเรื่องได้อย่างน่าสนใจ ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน “ไฟ” คือสิ่งยิ่งใหญ่ ซึ่งถ้าย่อให้คับแคบลงในบริบทของภาพยนตร์จะเห็นว่า หากเทียบเคียงไฟ จะเท่ากับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ คำถามอภิปรัชญาที่ได้กล่าวไปนั่นเอง แต่หากลองนึกถึงตัวละครทุกตัวหลังจากได้พบกับหรือใกล้เคียงกับคำถามกลับพบว่า ทุกคนแตกตื่น อลเวง กล่าวให้สั้นและง่าย คือทุกคนเปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่เริ่มต้นจากค้นหา ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้รอดชีวิตอย่างชอว์ ที่ถึงแม้ยังคงมีความศรัทธาแต่เป้าหมายกลับเปลี่ยนผันไป --มีต่อ-- จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:31:13

ความคิดเห็นที่ 13 ยกเว้นแต่เพียง เดวิด คนเดียวที่ยังคงเป็นแบบเดิมไม่เสื่อมคลาย มิหนำซ้ำยังพยายามเข้าใจเรียนรู้ ถึงวินาทีสุดท้ายของภาพยนตร์ว่า ชอว์ยังจะสนใจว่า Engineer จะเปลี่ยนใจมาฆ่ามนุษย์ทำไม และหากเทียบเคียงข้างต้นก็คงกล่าวได้ว่า เดวิด เรียนรู้การที่จะเล่นกับไฟ โดยเราไม่รู้ว่าเดวิดจะเจ็บหรือไม่ แต่เดวิดเข้าใจและยอมรับว่าต้องอย่าไปคิดว่ามันเจ็บ สิ่งสุดท้ายที่ผู้เขียนจะกล่าว(หลังจากตรากตรำเขียนมาถึง 5 วัน) หุ่นยนตร์ที่ถูกมนุษย์ดูแคลนว่าเป็นเพียงเครื่องจักรไม่มีหัวใจ ทั้งเรื่องนี้และ Blade Runner กลับพยายามสร้างคุณค่าขึ้นมาเพื่อให้เป็นดังเช่น มนุษย์ที่สร้างพวกเขาขึ้นมาเห็นความสำคัญมากกว่าเป็นทาส แต่มนุษย์กลับไม่สนใจแต่พยายามดิ้นรนหาสิ่งที่สูงส่งกว่าเพื่อเป็นการไล่ตามอันเป็นวัฎจักรไม่รู้จบ มนุษย์ต่างหาคำตอบโดยหารู้ไม่ว่า มันเป็นการสร้างคำถามอย่างที่ไม่รู้ตัวขึ้นมาอีกทอดหนึ่ง สุดท้ายแม้เราไม่อาจเข้าใจว่าทำไม ชอว์ต้องกลับไปหาผู้สร้างจากดินแดนที่เขามา เหมือนที่เราไม่สามารถเข้าใจเดวิด ในการกระทำได้ อาจเพราะทุกอย่างเป็นวัฏจักรแห่งการไม่รู้จบ ที่คงจะสิ้นสุดด้วยความตายกระมัง ไม่ว่าผู้ชมจะเลือกเทียบเคียงตนเองกับสิ่งไหน ไม่ว่าจะเป็นผู้สร้าง หรือสิ่งที่ถูกสร้าง เราต่างวิ่งตามหาสิ่งที่มีค่าความหมายในใจของตน เราต่างตั้งคำถาม เพื่อหาคำตอบ แต่คำตอบกลับยิ่งมีคำถาม เป็นความสัมพันธ์ในแบบสลับซับซ้อนที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ แม้ในปัจจุบันโลกของมนุษย์จะเดินทางไกลโพ้นจักรวาลได้เพียงแค่ไหน เราไม่เพียงแต่จะหาคำตอบเท่านั้น แต่ได้สร้างคำถามขึ้นมาจากคำตอบอันน่าปวดหัวไม่รู้จบ คงมีสิ่งเดียวที่เป็นจริงแท้และเป็นนิรันดร์ในคำตอบ คือความตาย อยู่ที่เราจะเลือกยอมรับ หรือเราจะคิดจะต่อต้านมันอย่างปีเตอร์ เวย์แลนด์ “ถ้าเป็นเช่นนั้นหวังว่าทุกคนคงรู้จักวิธีรับมือกับไฟ”       คะแนน 8/10 ติดตามบล็อกของผมที่ : http://a-bellamy.bloggang.com เฟสบุค: http://www.facebook.com/A.Surrealism จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:32:57

ความคิดเห็นที่ 14 มารออ่านต่อนะคะ ปล.อ้าว พอโพสต์ไป กลับจบแล้ว ขอบคุณที่เขียนให้อ่านค่ะ คิดเหมือนกันตรงที่เดวิดเอาน้ำดำให้ชาลีกิน ว่าเค้าคงไม่ได้แค่ทำตามคำสั่งเวย์แลนด์แน่ๆ แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 55 18:46:15 จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:45:03

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณคับบ . . . . นั่งอ่านจนจบวิเคราะห์ได้ลึกดีครับ . . . จากคุณ : rambleszaa เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:48:05

ความคิดเห็นที่ 16 ^ ^ ^ ขอบคุณครับที่มาอ่านของผม บทความนี้ผมเขียนอยู่หลายวัน เขียนไปเขียนมา มีแต่จะยืดยาวก็เลยต้องหาบทจบซะก่อนครับ เพราะเชื่อว่า ส่วนอื่นๆ คงมีหลายคนเขียน อย่างมากมายแล้วแน่ๆ จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 18:52:41

ความคิดเห็นที่ 17 วิเคราะห์ได้ดีมากคับ  อ่านแล้วขนลุก  ชักชอบเดวิดขึ้นมาแล้วสิ  แล้วภาคต่อจะชื่อว่าอะไรนิในเมื่อ PROMETEUS ก็พังแล้ว? จากคุณ : PuhAporlo เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 19:14:41

ความคิดเห็นที่ 18 เหมือนเราจะคุยกันในเฟสไปแล้ว จขกท.ทำให้เราต้องมานั่งคิดเรื่องศาสนากับทฤษฏี ชาร์ล ดาร์วินส์ อีกรอบเลย TT จากคุณ : city of the damn เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 19:26:41

ความคิดเห็นที่ 19 ริดลี่ย์ สก๊อตต์ไม่เคยบอกว่า Prometheus เป็นภาคก่อน Alien นะครับ จากคุณ : ยัยกำปุ๊ง เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 20:09:18

ความคิดเห็นที่ 20 เป็นบทความที่มีประโยชน์มากคับ ทำให้ได้คิดแตกประเด็นตามแต่ล่ะจุดของหนัง แถมมีการเปรียบรูปแบบความสัมพันธ์อีก ยอดเยี่ยมคับ จากคุณ : Devil_AusTin เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 20:28:25

ความคิดเห็นที่ 21 ตอบ ยัยกำปุ๊ง คห.19 ผมพยายามไปหาคำตอบว่า สรุปว่าสก็อตต์ให้คำนิยามอย่างไรกับ Prometheus ส่วนมากแหล่งข่าวจะบอกว่า เป็น Prequel(ภาคก่อน) ของเอเลี่ยน แต่ผมก็พยายามหาแหล่งข่าวที่สัมภาษณ์กับสก็อตต์โดยตรง และไปพบเจอว่า สก็อตตบอกว่า Prometheus  เป็น quasi-prequelของ Alien ถ้าแปลเป็นไทย ก็น่าประมาณว่า กึ่งๆภาคก่อน แสดงว่า ไม่ได้เป็นภาคก่อนแบบชัดเจน ยังไงก็ขอบคุณในคำทักท้วงด้วยครับ เอาไว้โอกาสหน้าจะแก้ไขให้ชัดเจนกว่านี้ครับ จากคุณ : A-Bellamy เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 20:54:30

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณมากค่ะ  อ่านเพลินเลย ทำให้เข้าใจหนังได้มากขึ้นเยอะ จากคุณ : ปุริมาน เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 23:10:44

ความคิดเห็นที่ 23 บางทีลึกๆแล้ว ริดลียส์ สก๊อตทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะ  "เค้าทำได้" ว่าไปนั่น แหะๆๆ จากคุณ : Whisper_Ray เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 23:27:17

ความคิดเห็นที่ 24 ...ผมว่าบทความ/บทวิเคราะห์ หนังเรื่องนี้ของจขกทจะดีกว่านี้ ถ้าหาก.... -ไม่เขียนเยิ่นเย้อเเละใช้คำมากมายเพื่อให้อ่านดูสละสลวย เเต่จริงๆเเล้วกลับทำให้กลุ่มคำฟุ่มเฟือยจนเกินไป จขกทสามารถเขียนให้สั้น กระชับเเละชัดเจนกว่านี้ได้อีกเยอะ -ไม่เเน่ใจว่าประเด็นเรื่องทุนนิยมกับวิทยาศาสตร์ จขกทได้ไปอ่านบทความ/บทวิเคราะห์ ของคนอื่นมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า  เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วันผมเพิ่งอ่านความเห็นของท่านหนึ่งในpantipนี้เเหละ เเละท่านนั้นได้วิเคราะห์หนังเรื่องนี้ได้คล้ายกับจขกทในประเด็นเรื่องทุนนิยมกับวิทยาศาสตร์จนน่าเเปลกใจ .....ต้องขอโทษหากท่านนั้นก็คือจขกทเอง...... เเต่หากไม่ใช่ เเนวความคิดในประเด็นนี้ก็คล้ายกันจนน่าเเปลกใจอย่างมาก เเต่...โดยรวมเขียนได้น่าสนใจดีครับ จากคุณ : borderline เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 00:06:19

ความคิดเห็นที่ 25 เดวิด ผมไม่มองว่ามันมีจิตสำนึกรักโกรธแค้น อะไรหรอกนะ มันทำตามตรรกะที่กำหนดมาโดยผู้ผลิตเท่านั้น ที่ใส่ยาแก้ไอให้ดื่มไม่ใช่เพราะอยากเอาชนะอะไร แค่เพราะ เวย์ต้องการให้เดวิดหาวิธีเจอ engineer ทุกวิธี"ที่ทำได้" และเดวิดถามดร.แล้วว่าเพื่อจะพบ engineer คุึณยอมลงทุนแค่ไหน ดร.ดันไปบอก ว่าทุกอย่าง เดวิดเลยจัดให้ แต่ที่เดวิดไม่บอกว่าวางยาเพราะ ดร.ไม่ได้ถามเขาเลยไม่จำเป็นต้องตอบ จากคุณ : Trisha Foster เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 00:17:16

ความคิดเห็นที่ 26 ^ ถึงถาม เดวิดก็อาจจะไม่ตอบ เพราะเดวิดไม่ได้ใช้กฏสามข้อของอาสิมอฟ จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 13:09:47

ความคิดเห็นที่ 27 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 13:51:16

ความคิดเห็นที่ 28 ใน A.I. ตัวเอกก็ชื่อ เดวิด?(ถ้าจำไม่ผิด) จงใจหรือเปล่านะ? ม๊าววววววววววววว จากคุณ : แมวกักขฬะ เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 14:23:56

ความคิดเห็นที่ 29 วิเคราะห์และตีความได้น่าสนใจดีครับ ในบางประเด็นอาจไม่เห็นด้วย 100 % แต่บางประเด็นก็เห็นคล้ายกันครับ ผมเคยเขียนวิเคราะห์ไว้เมื่อาทิตย์ที่แล้ว เชิญไปอ่านกันครับ *** Prometheus *** หนังครอบครัวชั้นดี http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=navagan&month=15-06-2012&group=2&gblog=102 จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 55 15:06:19