ส่วนตัวคิดว่าดาราที่จะได้เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า ต้องมีความนิยมสูง ณ ปัจจุบัน ขณะ สามารถเพิ่มฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อได้ แล้วศิลปินคนนั้น ต้องมีภาพลักษณ์ ที่ดี เชิงบวก ต้องมีเสน่ห์ เอกลักษณ์ส่วนตัว รูปร่างหน้าตาที่ดี ส่งเสริมให้สินค้าน่าสนใจ ง่ายต่อการจดจำ ยกตัวอย่างจากของณเดชน์ (ที่มา วิกิพีเดีย) ผลงานโฆษณาทางวิทยุโทรทัศน์ ชิ้นแรกของณเดชน์ที่ได้รับคือ หมากฝรั่ง Trident Recaldent คู่กับ "พัชราภา ไชยเชื้อ" ก่อนที่ณเดชน์จะเข้ามาแสดงละครโทรทัศน์ ในฐานะนักแสดงอย่างเต็มตัว ตามมาด้วย ครีมอาบน้ำ โชกุบุสซึ โมโนกาตาริ โชกุบุสซึ เป็นชิ้นที่สอง และเมื่อณเดชน์มีชื่อเสียงจากผลงานละครโทรทัศน์ ทำให้ณเดชน์ได้เป็นผู้นำเสนอโฆษณาสินค้าต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย โดยเจ้าของสินค้าต่าง ๆ ได้กล่าวเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการเลือกณเดชน์มานำเสนอ อาทิเช่น มินิทเมด พัลพิ "เพื่อใช้ภาพลักษณ์ของณเดชน์ ในการตอกย้ำความแข็งแกร่งของตราสินค้าในฐานะผู้นำตลาด" เครื่องดื่มชาเขียว โออิชิ ฟรุตโตะ ก็ได้ชี้แจงเหตุผลที่ใกล้เคียงกันว่า "ณเดชน์ คูกิมิยะ มีภาพลักษณ์และสามารถเชื่อมโยงถึงกลุ่มเป้าหมายของสินค้า คือกลุ่มวัยรุ่นได้ เป็นอย่างดี สามารถใช้ความหล่อ ทะเล้น กวน ถ่ายทอดออกมาในภาพยนตร์โฆษณาได้ ตรงกับคอนเซปต์ของโออิชิ ฟรุตโตะ ที่เป็นชาเขียวแท้ผสานผลไม้สายพันธุ์อารมณ์ดี" ทางด้านบริษัทรถยนต์ มาสด้า 2 ซีดาน ซึ่งต้องการขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้นกว่าเดิมให้เหตุผลว่า "กลุ่ม ผู้ที่ถูกใจในรูปลักษณ์สปอร์ต ทันสมัย ขยายออกไปสู่กลุ่มผู้ที่มองในเรื่องความสามารถของรถ ผ่านการสร้างการรับรู้ถึงรายละเอียด คุณสมบัติ และฟังก์ชั่นต่างๆ ของรถ โดยเสนอผ่าน "ณเดชน์ คูกิมิยะ" ซึ่งสามารถเป็นตัวแทนของลูกค้ามาสด้า 2 ซีดาน ซึ่งก็คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิตอล เอจ (Digital Age)"
ส่วนสินค้าที่คัดเลือกโดยใช้จุดขาย จากท้องถิ่นเกิดภาคอีสานของณเดชน์ เจาะกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัด อย่างทรูมูฟ ธุรกิจให้บริการเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ มีจุดประสงค์คือ "เพื่อ ถ่ายทอดเรื่องราวให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความฝัน และความต้องการในฐานะตัวแทนลูกอีสานคนหนึ่ง ที่มีความภูมิใจในความเป็นอีสาน และประสบความสำเร็จตามความใฝ่ฝันของตนเอง" รวมทั้งวงสุดา มนัสบุญเพิ่มพูล ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายโฆษณาและส่งเสริมการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ได้กล่าวว่าเลือกณเดชน์ มาเป็นผู้นำเสนอโฆษณา เนื่องจาก ปีที่แล้วทางบริษัททำโฆษณาโดยใช้สโลแกนว่า "We Love Fino" ซึ่งให้ดาราแต่ละคนพูดถึงฟีโน่ในมุมมองของตนเองโดยไม่มีบท ซึ่งก่อนหน้านี้ณเดชน์ได้ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อนี้ เป็นพาหนะเดินทางไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ในการนำเสนอณเดชน์ได้ใช้การพูดภาษาอีสาน เวลาถ่ายทำสกู๊ปก็ได้ใช้รถของณเดชน์เอง เปลี่ยนแค่หมวกเก่า ๆ ของณเดชน์ มีความตอนหนึ่งว่า "สิ่งที่เราได้ก็คือความเป็นธรรมชาติ ผู้บริโภคสมัยนี้ถ้าพรีเซ็นเตอร์โกหก หรือมัวแต่เก๊ก เขาดูออก สำหรับโฆษณาฟีโน่ ณเดชน์ไม่ใช่ดาราแต่เป็นตัวของเขาเอง"
จากคุณ |
:
noonlucky
|
เขียนเมื่อ |
:
12 ก.ค. 55 23:59:32
|
|
|
|