ความคิดเห็นที่ 1 ต่อ...            คล้ายกับที่ตัวละครคุณครูในหนังบอกไว้ในฉากท้ายๆว่า                                          แท้จริงแล้วหนังทุกเรื่องมีพล็อตเรื่องแบบเดียวนั่นก็คือ “Who am I” หรือ “ใครคือฉัน”                                             The Amazing Spider-Man เล่าเรื่องราวง่ายๆว่า “Spider-Man คือใคร” เช่นกัน            หนังเปิดเรื่องด้วยการท้าวความไปถึงวัยเด็กของ Peter Parker (Andrew Garfield) ที่ต้องพลัดพรากจากพ่อและแม่ ผู้เต็มไปด้วย “ความลับ” ของเขา            ก่อนที่จะตัดเข้ามาสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของ Parker ที่ปัจจุบันอาศัยอยู่กับ ลุง Ben (Martin Sheen) และ ป้า May (Sally Field) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Spider-Man ได้ถือกำเนิดขึ้น            พล็อตหลักที่ว่าด้วยก้าวแรกในการเป็น Spider-Man ของ Parker ที่โดยรวมแล้วก็ไม่ต่างจากเดิมมากนัก จะต่างกันก็แค่รายละเอียดปลีกย่อย และพล็อตรองที่คราวนี้กรุ่นไปด้วยกลิ่นของหนังรักวัยรุ่นที่ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 55 12:43:02 จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 12:42:39

ความคิดเห็นที่ 2 ต่อ...            ฉาก Action ในหนังทำได้ดี และดูดีมากในระบบ 3D การต่อสู้ใช้ประโยชน์จากใยแมงมุม และลักษณะการเคลื่อนไหวของ Spider-Man ได้ดีเยี่ยม            ขณะที่งานกำกับภาพ และงาน Production design ทำให้ฉากห้อยโหนโจนทะยานของ Spider-Man ดูสมจริง ตึกสูงดูสูงจริง เมืองใหญ่ดูใหญ่จริง            ขณะที่ Spider-Man ถูกบีบให้ดูเล็กบนจอในหลายฉาก ช่วยเพิ่มความรู้สึกหนักหนาสาหัส จนทำให้ผู้ชมรู้สึกว่า                                                "Spider-Man คือคนตัวเล็กๆ ที่ต้องแบกรับกับปัญหาของเมืองใหญ่เมืองนี้ให้ได้"            แต่ที่ตรงกันข้ามคือบทหนังที่ให้รายละเอียดในสถานการณ์ต่างๆอย่างรวบรัด และ แก้ไขสถานการณ์ต่างๆอย่างง่ายดายเกินไป แม้จะมีข้อดีคือ ทำให้ผู้ชมเข้าใจง่าย และเพลิดเพลินกับหนังโดยไม่ต้องคิดมาก แต่ข้อเสียคือการขาดความสมจริงและความเป็นไปได้ในแง่ของเหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การขาดซึ่งอารมณ์ร่วมของผู้ชม” ที่น่าจะมีมากกว่านี้            นี่เองที่ทำให้ “ความประทับใจ” ที่หนังพยายามจะสร้าง ไปไม่ถึงเป้าหมายที่ต้องการ จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 12:45:20

ความคิดเห็นที่ 3 ต่อ...            หนังยังเต็มไปด้วย ประเด็นมากมายที่พยายามจะให้คมคาย และเป็นที่จดจำของผู้ชมอย่างที่ “พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่” ของ Spider-Man version Raimi เคยทำได้            แต่ใน The Amazing Spider-Man หนังยัดคำพูดเหล่านี้เข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็น “ความลับ มักมีราคาที่จะต้องจ่าย” หรือ “นี่ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความรับผิดชอบ” แต่ประเด็นเหล่านี้กลับไม่ “กระทบ” ไปที่ผู้ชมได้อย่างที่ต้องการ            สาเหตุหลักก็คือ แม้คำเหล่านี้จะคมคายสักแค่ไหนก็ตาม แต่มันไม่ได้ถูกส่งเสริมโดยบทให้กลายเป็นประเด็นหลักของหนัง            อีกทั้งจังหวะในการ “ปล่อยของ” ก็ยังไม่ถูกที่ถูกทางนัก            ทางที่ดีแล้วหนังไม่จำเป็นเลยที่จะต้องยัดเยียดประเด็นเหล่านี้ลงไปเพียงเพราะมันเป็น “ท่าบังคับ” ของหนัง Super Hero จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 12:46:39

ความคิดเห็นที่ 4 ต่อ...            Andrew Garfield ประสบความสำเร็จในการสร้างตัวละคร Peter Parker และ Spider-Man ในแบบของตัวเอง ด้วยเอกลักษณ์อันแตกต่างจนสลัดภาพของ Tobey Maguire ใน version ก่อนไปได้            แต่ที่ยังสู้ Maguire ไม่ได้ และต้องพยายามให้มากขึ้นคือ การทำให้ตัวละครเป็นที่รักของผู้ชมมากกว่านี้ ซึ่งถ้าทำได้หนังจะเต็มไปด้วยอารมณ์ร่วม และจะเป็นความประทับใจของผู้ชมได้มากกว่าที่เป็นอยู่            แต่ใช่ว่า Garfield จะต้องรับผิดชอบเรื่องเหล่านี้เพียงลำพัง บทหนังก็ต้องคอยส่งเสริมเขาด้วย            Emma Stone ในบท Gwen Stacy มอบความกระชุ่มกระชวยและความสดใสให้กับหนัง ทั้งทางตรง (โดยเฉพาะผู้ชมเพศชาย ) และทางอ้อม ผ่านเคมีที่เข้ากันระหว่างเธอกับ Garfield            บทหนังยังเปิดโอกาสให้เธอแสดงฝีมือเล็กน้อย ด้วยการเพิ่มบทบาทของตัวละครนี้ในสถานการณ์ต่างๆ มากกว่าการเป็นแค่คนรักของ Spider-Man หรือหญิงสาวที่เอาแต่ร้องขอความช่วยเหลือเท่านั้น จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 12:47:59

ความคิดเห็นที่ 5 ต่อ...            ในขณะที่บท Dr. Curt Connors หรือ The Lizard ของ Rhys Ifans นั้น หนังไม่ได้ให้ความสำคัญในระดับที่เป็นหัวใจของหนัง เพราะใน The Amazing spider-Man หนังเน้นไปที่เรื่องราวพัฒนาการของ Parker มากกว่า            (เป็นเรื่องปกติ ที่ตัวร้ายในภาคแรกของหนัง Super Hero จะไม่โดดเด่น เพราะหนังต้องให้ความสำคัญไปกับการแนะนำตัว Super Hero ต่อผู้ชม แต่ในภาคต่อไปเมื่อผู้ชมรู้จักดีแล้ว จึงแบ่งน้ำหนักมาที่ตัวร้ายได้มากขึ้น ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ Series Batman ของ Christopher Nolan ที่ภาค 2 เน้นไปที่ตัวร้ายแบบเต็มๆ)            แต่บทนี้ก็เป็นตัวละครที่ขาดไม่ได้ เพราะเป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่มีผลต่ออนาคตของ Parker ในอนาคต ซึ่ง Ifans ก็รับผิดชอบบทนี้ไปแบบสบายสบาย            ผู้กำกับ Marc Webb ทำการปรับลดอายุของตัวหนังลงมาทั้งด้านเนื้อหา และมุมมองที่ถูกใช้ถ่ายทอดออกมา ถ้าเปรียบเป็นคน The Amazing Spider-Man คือเด็กวัยรุ่นอายุ 17 ปี ที่กระฉับกระเฉงว่องไว ขณะเดียวกันเด็กคนนี้ก็กำลังจะเผชิญหน้าเข้าสู่วัยผู้ใหญ่            แต่การที่หนังเดินเรื่องอย่างรวดเร็วเกินไป โดยไม่ปล่อยจังหวะให้ผู้ชมซึมซับอารมณ์ที่จำเป็นในบางครั้ง ทำให้ความผูกพันระหว่างตัวละครทั้งหลายดูบางเบา            นี่ถ้าหนังแก้ไขในจุดนี้ได้ (โดยเฉพาะในส่วนของ Parker, ป้า May และ ลุง Ben) ความผูกพันระหว่างตัวละคร น่าจะส่งผลมาเป็นความผูกพันระหว่างผู้ชมด้วย            Webb ยังผสมผสานอารมณ์ในแบบหนังเรื่องแรกของเขาลงไป แต่ก็ยังไม่เข้มข้นถึงขั้นที่จะกลายเป็น (500) days of Parker จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 12:49:21

ความคิดเห็นที่ 6 ต่อ...            The Amazing Spider-Man ประสบความสำเร็จในการฉีกตัวเองออกจาก version เก่า หนังมีอารมณ์และสไตล์ที่เป็นตัวของตัวเอง และเป็นความบันเทิงที่สอบผ่าน แม้ในภาพรวมจะยังไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยมก็ตาม                                                ถ้าคำถามพื้นฐานของหนังทุกเรื่อง คือ “Who am I” หรือ “ฉันคือใคร” แล้ว                                          The Amazing Spider-Man ก็ตอบคำถามนั้นกับตัวเองและผู้ชมได้อย่างชัดเจน จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 12:50:56

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือมีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับหนังอย่างไรคุยกันได้ครับ แนะนำให้ไปอ่านใน Blog ดีกว่าครับ ซึ่งมีการจัดรูปแบบและใช้สี น่าจะอ่านง่ายขึ้นเยอะครับ ที่สำคัญมีการให้คะแนนของผมด้วย เชิญตาม Link เลยครับ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=navagan&month=07-2012&date=13&group=2&gblog=104 ขอบคุณที่อ่านและแสดงความเห็นครับ   จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 12:54:44

ความคิดเห็นที่ 8 ผมชอบภาคนี้อย่างมากในแง่ของ ความเป็นธรรมชาติของตัวละคร (โดยส่วนใหญ่) ไม่ perfect มากเกินและไม่หดหู่มากเกินไป มองแล้วคล้าย ๆ มนุษย์ธรรมดา ๆ ที่ดันทะลึ่งเป็นผู้สือบทอดวิทยายุทธโบราณ 1000 ปี ที่เปิดเผยไม่ได้ สำหรับผมข้อเสียหนังเรื่องมี หลัก ๆ จะเป็นประเด็นที่ปูพรหมไว้ แต่ไม่ได้สานต่อ(อย่างน้อยก็ในภาคนี้) เช่น ความเป็นเซียนด้านการถ่ายรูปของพาร์คเกอร์ ฯลฯ (จำชื่อไม่ได้ ไม่พิมพ์ดีก่า) ผมดูออกมาแล้วชอบนะ แต่ก็อยากตั้งชื่อเรื่องใหม่ว่า                                                      ================================                                                      บันทึกรัก นักชักไย : The Amazing Spider                                                      ================================ จากคุณ : SuperTee (itCrazy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 13:10:13

ความคิดเห็นที่ 9 ผมกลับไม่ชอบภาคนี้อย่างแรง เพราะความไม่สมเหตุสมผลคับ เสน่ห์ความเป็นคนธรรมดาออกแนวชีวิตรันทดที่จับต้องได้ของสามภาคก่อน กลายเป็นมิสเตอร์เพอเฟค หล่อ แฟนสวย เก่งวิทยาศาสตร์(อย่างเว่อร์มากๆ ที่เด็กระดับม.ปลายจะประดิษฐ์นั่นนี่ได้อย่างใจ อ่านสมการอัลกอริธึ่มเข้าใจรู้เรื่องด้วยตัวเอง ยิ่งผมจบด้านวิศวะมา ยิ่งรู้สึกว่าตรงนี้เว่อร์เกิน - -') แถมยังกร่าง กับลุงป้าก็กร่างมั่วซั่วจนทำให้ความซึ้งจากความผูกพันธ์มันหายไปหมด แล้วยังพยายามเกรียนอีก ตอนตามล่าคนฆ่าลุง ก็มาเกรียนเล่นเฉย ทั้งๆตอนที่เป็นคนก็ไม่เกรียน เลยยิ่งทำให้น้ำหนักความรู้สึกซึ้งระหว่างหลานกะลุงหายเข้าไปอีก - -' จากคุณ : บรึ๋ยศักดิ์ เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 15:40:16

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่มีความรู้สึกน่าจดจำอะไรเลยกับภาคนี้ ดูจบก็จบ จากคุณ : Cookiefish เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 15:53:12

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยเรื่องคำพูด “ความลับ มักมีราคาที่จะต้องจ่าย”  กับ  “นี่ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความรับผิดชอบ” ตอนดูในโรงก็ไม่เข้าใจคำพูดนี้นัก ไม่รู้สึกมันเท่ หรือสื่อความหมายอะไร พอออกจากโรงก็ลืมมันจนหมดสิ้น (-_-") ผิดกับ Batman Begins  คำพูดเปรียบเทียบความยุติธรรมกับการแก้แค้นของนางเอก Justice is about harmony. Revenge is about you making yourself feel better. มันคือธีมของหนังเลย กับคำพูดซึ้งๆของอัลเฟรดต่อบรูซ มันได้ฟิลมากกว่านะ ขนาดนี่เป็นแค่พ่อบ้าน และคำพูด It's not who I am underneath, but what I do that defines me. มันแสดงตัวตนของแบทแมนได้ เหมือนกับที่ "With great power comes great responsibility." แสดงถึงตัวตนของปีเตอร์ได้เช่นกัน เพราะด้วยวัยขนาดนี้ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากขนาดนี้หรอก แต่ด้วยพลังที่มี ทำให้มีโอกาสช่วยผู้อื่นได้อีกมาก และถ้าไม่ทำนั่นคือความผิด (รู้สึกผิด) จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 16:56:21

ความคิดเห็นที่ 12 ตอนนี้ก็ต้องรอดูภาคหน้าหล่ะครับ ว่าจะออกมาแบบไหน สมัย Version ของ Raimi ภาคแรกผมก็ไม่ได้ชอบมากนะ แต่พอมาภาค 2 นี่ลงตัวจริงๆ จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 17:47:56

ความคิดเห็นที่ 13 เห็นด้วยแล้วตรงใจกับจขกท. หลายๆเรปเลยครับ ผมว่าคำคมมันไม่โดนถึงขนาดจดจำไว้ในใจเรา ภาค3ที่ว่าแย่(แค่ตัวร้ายเยอะเอง)แต่ผมก็ยังจำได้ถึงประโยคโดนๆเลย" ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ความขัดแย้งในจิตใจของเรา เรามีทางเลือกเสมอ" "ฉันให้อภัย" สั้นๆแต่โดน spider-man2 ยอดเยี่ยมที่สุดทั้งความลงตัวและข้อคิด เนื้อหามากมาย ชอบที่ป้าเมย์พูดมากๆ + ความฮาจาก โจน่า เจมมิสัน จากคุณ : spidyman (Lay-O) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 18:10:31

ความคิดเห็นที่ 14 ชอบค่ะ ในแง่ของความบันเทิงตอบโจทย์เราได้ ดำเนินเรื่องเร็วไม่มีช่วงที่น่าเบื่อ  ส่วนที่ชอบในภาคนี้คงเป็นเรื่องเทคนิค CG มุมกล้อง ฉากต่อสู้ ที่ทำออกมาได้ดีกว่าที่เราคาดไว้ ดูแล้วสมจริงดี หลายๆท่าที่เราคิดว่าเค้าออกแบบมาได้สวย โดยเฉพาะช่วงไต่ โหน กระโดด ตีลังกา ในส่วนตรงนี้เราชอบมากกว่าของเก่า ตอนสไปดี้ไต่พันใยไปรอบๆตัวลิซซาร์ดชอบมาก การเคลื่อนไหวของภาคนี้เราว่าเค้าใส่รายละเอียดของความเป็นแมงมุมได้ดีทีเดียว ส่วนตัวเราไม่เอามาเทียบของเก่ากับของใหม่นะ ถึงพล็อตเดียวกันก็จริงแต่การนำเสนอแตกต่างกันสิ้นเชิง มันอยู่ที่มุมมองของคนสร้างว่าจะเลือกนำเสนอออกมายังไง ภาคนี้ไม่หดหู่ ไม่ดาร์ด ไม่ดราม่าจัด เหมือนแค่ได้ดูเด็กม.ปลายธรรมดาๆคนนึงที่กำลังก้าวข้ามพ้นช่วงวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ เรียนรู้กับความรับผิดชอบในเรื่องเล็กๆภายในบ้านไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ ปีเตอร์เองก็ยังไม่มีความรู้สึกที่เหมือนต้องแบกโลกเอาไว้ทั้งโลก แต่เพียงแค่ต้องรับผิดชอบเพราะตัวเองเป็นคนทำให้ลิซซาร์ดกำเนิดขึ้นเท่านั้น ขนาดรักษาสัญญายังดูจะทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ 555  ยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก ทั้งด้านอารมณ์ การแสดงออก ความยับยั้งชั่งใจ  ก็หวังว่าภาคหน้าหนังจะโฟกัสไปที่เรื่องการเติบโตและความรับผิดชอบของปีเตอร์ได้มากกว่านี้ สุดท้าย ถ้าถามว่าชอบเวอร์ชั่นไหนมากกว่ากัน ตอบได้เลยว่าชอบทั้งคู่ แต่ถ้าถามว่าประทับใจอันไหน ก็ตอบได้เลยว่าของเก่าแน่นอนค่ะ เหตุผลก็เหมือนหลายๆคนที่ไม่ชอบภาคนี้นั่นล่ะ แต่เราคิดซะว่าเหมือนได้ดูสไปดี้ในอิกมุมนึงก็เท่านั้น จากคุณ : dne เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 18:11:44

ความคิดเห็นที่ 15 ผมดูมาทุกภาค ดูมาหลายรอบ (ของแต่ละภาค) กล้าฟันธงได้เลย  ภาค 2 (ของไรมี่) ดีที่สุดจริงๆ แต่ที่แย่ที่สุดคือ ภาค 3 (ของไรมี่ เช่นกัน) สำหรับภาคล่าสุด ผมให้คะแนนแค่ดี เท่ากับ ภาค 2 ไรมี่ ครับ จากคุณ : D is me เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 19:13:19

ความคิดเห็นที่ 16 ชอบภาคสองมากที่สุด ภาคนี้ ก็โอเคระดับหนึ่ง แต่ภาคสามผมว่าแย่สุด จากคุณ : bigwores เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 20:56:57

ความคิดเห็นที่ 17 สำหรับเวอร์ชั่นนี้ ชอบเฉพาะฉากแอคชั่นที่สวยงามและลื่นไหลค่ะ แต่ไม่ชอบคาแรกเตอร์ของก่อนเป็นสไปเดอร์แมนเลย(ตอนเป็นสไปเดอร์แมนจะพูดมาก+เกรียนๆ นั่นถูกต้องแล้วค่ะ) แต่นี่ดูเหมือนปาร์กเกอร์จะเท่สมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่างตั้งแต่ตอนเป็นคนปกติไปจนถึงเป็นสไปเดอร์แมน ดูแล้วไม่ค่อยถูกใจ จากคุณ : กระป๋องออเครสตร้า เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 01:21:09