เป็นหนังที่เพียงแค่เข้าโรงแค่สองวันก็มีกระทู้พูดถึงเต็มพรืดไปหมดแล้ว (จะโดนด่าแบบละครณเดชไหมเนี่ย-ฮา)
เท่าที่ผมตามอ่านมาความเห็นบางส่วนที่ไม่ชอบ เนื่องจากมันยังเทียบกับ TDK ไม่ได้เลยในแง่ของความเข้มข้น กดดัน ความโดดเด่นของตัวร้าย โดยเฉพาะประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างเรื่องชนชั้น ความเหลื่อมล้ำ เศรษฐกิจ ซึ่งนำเสนอผ่านตัวละครเบน แต่ประเด็นเหล่านี้ก็กลับถูกพูดถึงแบบผิวๆ ไม่ได้ลงลึกหรือต่อยอดให้เห็นความลุ่มลึกแต่อย่างใด ผมจึงเห็นด้วยกับที่หลายๆคนวิจารณ์ว่ามันเบาโหวงไปมากในจุดนี้ เมื่อเทียบกับประเด็นเรื่องของ "สันdาน" ของคนที่โจ๊คเกอร์เล่นในฉากเรือเฟอร์รี่ ก็ยิ่งห่างชั้นทั้งความแหลมคมและความกดดัน
มาถึงตรงนี้อาจกล่าวได้ว่า TDKR หากพิจารณาในความเป็นหนัง Thriller ที่เข้มข้นมีประเด็นที่ลุ่มลึก ก็ยังห่างชั้นอยู่มากกับ TDK ภาคก่อนหน้าของมัน
อย่างไรก็ตามผมคิดว่าที่ภาคนี้มันดร็อปลงไปในส่วนนั้น เป็นเพราะโนแลนได้เทน้ำหนักของประเด็นไปในส่วนของ "ความเป็นแบทแมน" มากกว่า "ความเป็นหนังอาชญากรรม" ทำให้หลายคนวิจารณ์ว่าเป็นการเอาใจแฟนคอมิค แต่ผมเห็นแย้งนะ ผมเห็นว่ามันเป็นความพยายามรวบยอดประเด็นที่ถูกนำเสนอตั้งแต่ Begin ร้อยเรียงผ่าน TDK มาจนถึงภาคนี้มากกว่า ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นไปเพื่อ "ปิดตำนาน" แบทแมนของโนแลนให้จบอย่างสมบูรณ์มากกว่า
หากจะสรุปประเด็นดังกล่าวในคำสั้นๆ ก็น่าจะเป็นคำว่า Fall-Rise-ก้าวผ่าน
Fall - ถ้ายังจำได้ฉากเปิดใน Begin จะมีฉากที่บรู๊ซตอนเด็กตกไปในบ่อน้ำร้าง แล้วพ่อของเขามาช่วย ประโยคหนึ่งที่พูดกับบรู๊ชคือ Why do we fall Bruce? และพ่อก็ให้คำตอบว่า "เพื่อให้เราเรียนรู้ที่ลุกขึ้นอีกครั้งไง" ในภาคนั้นบรู๊ซต้อง "ลุกขึ้น" จากความเจ็บปวดที่พ่อแม่ถูกฆ่าตาย มาในภาค TDKR บรู๊ซเองก็กำลัง fall อยู่ในความเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยราเชลไว้ได้ ซึ่งยืนยันด้วยบทพูดที่บรู๊ซพูดกับอัลเฟรดในตอนต้น
Rise - คำๆนี้เป็นคำที่นักโทษในคุกหลุม(ขอเรียกยังงี้ละกันเนอะ) กู่ร้องเมื่อบรู๊ซพยายามจะปีนขึ้นไป น่าสนใจมากว่าหลุมที่ว่านี้ช่างสอดรับกับภาพบ่อน้ำที่บรู๊ซเคยตกลงไปเมื่อตอนเด็กอย่างชัดเจนทีเดียว การ rise อีกครั้งของแบทแมนก็คือการ "ลุกขึ้น" ภายหลังความเจ็บปวดและความสูญเสีย ซึ่งนับได้ว่าเป็นแก่นสำคัญประการหนึ่งของซีรีย์นี้ของโนแลน
ก้าวผ่าน - ประเด็นที่น่าสนใจคือการลุกจากความพ่ายแพ้และการ fall อาจไม่ใช่สิ่งที่ยากและสำคัญที่สุด คำพูดที่น่าสนใจคืออัลเฟร็ดบอกกับบรู๊ซว่า "คุณกำลังรอให้เมืองนี้กลับมาแย่อีกครั้ง" ผมตีความว่าการที่บรู๊ซ เวย์น ไม่ปรากฏตัวไปเลยแปดปีพร้อมๆกับการหายไปของแบทแมน แสดงให้เห็นว่าบรู๊ซเอาตัวตนของตนไปผูกกับความเป็นแบทแมน และแบทแมนก็เป็น "เครื่องมือ" ที่บรู๊ซใช้ในการต่อสู้/หลีกหนีจากปมในจิตใจเรื่องพ่อแม่ของตัว ดังนั้นกล่าวได้ว่าบรู๊ว เวย์น จะสามารถใช้แบทแมนในการช่วยให้ตนเอง getting up after fall ได้ แต่สุดท้ายเค้าก็ยังไม่อาจ "ก้าวผ่าน" ความเจ็บปวดได้อยู่ดี
การก้าวผ่านนี้ได้รับการตอกย้ำจากตัวละครคือ นักสืบเบลค เบลคเองก็เป็นเด็กกำพร้าเช่นกัน บทสนทนาที่เบลคพูดกับบรู๊ซในครั้งแรกนั้นแทบจะเป็นกุญแจของปมสำคัญในเรื่องเลย เบลคบอกว่าเค้าต้องพยายามก้าวผ่านความเจ็บปวดไปให้ได้ ในที่สุดก็ต้องใช้วิธีฝึกยิ้มเพื่อซ่อนความเจ็บปวด ซึ่งเค้าบอกว่าไม่ต่างจากการใส่หน้ากาก ตรงนี้เองที่เป็นการตบหน้าแบทแมน เพราะการมีอยู่ของแบทแมนก็คือหน้ากากที่ใช่้ซ่อนความเจ็บปวดและปมของบรู๊ซ เวย์นเอง
ท้ายที่สุดแล้วการเรียนรู้ที่จะก้าวผ่านความเจ็บปวดต่างหากที่สำคัญสำหรับบรู๊ซ ทั้งความเจ็บปวดในอดีต ความเจ็บปวดเรื่องราเชล ไม่ใช่การหลบหนีอย่างที่ทำ ซึ่งในตอนจบของหนังก็ได้แสดงให้เห็นว่าบรู๊ซก้าวผ่านมันไปได้อย่างไร และด้วยวิธีไหน
เมื่่อพิจารณาในประเด็นข้างต้น โดยนับตั้งแต่ Begin TDK มาจนถึงภาคสุดท้าย ผมจึงเห็นว่าโนแลนได้ทำบทสรุปที่สมบูรณ์แบบมากๆสำหรับ Nolan's Batman แล้ว เพราะได้ให้คำตอบสำหรับทุกประเด็น ซึ่งจะเห็นว่าเค้าได้ร้อยเรียงหนังทุกภาคเข้าไว้ด้วยกันอย่างดีทีเดียว ถึงแม้ว่าจะโดนตำหนิในเรื่องบทที่อ่อนในบางส่วน ก็คงจะเป็นข้อบกพร่องเล็กๆที่เราน่าจะเข้าใจได้นั่นเอง