ความคิดเห็นที่ 1 ในช่วงที่หนังกำลังถ่ายทำ (กลางปีที่แล้ว) ก็มีข่าวปล่อยมาเป็นระลอกๆอยู่แล้วว่าหนังนั้น "สอดแทรก" ประเด็นทางการเมืองลงไป ข่าวว่าโนแลนด์เองก็สนใจกรณี Occupy Wall Street ไม่น้อย หลายอย่างในหนังจึงบ่งชี้ไปที่ประเด็นและเหตุการณ์ทางการเมืองของอเมริกาอย่างไม่ต้องสงสัย (เรื่องนี้จำเป็นต้องมีพื้นฐานทางการเมืองอเมริกาอยู่บ้าง นักวิจารณ์หลายแหล่งต่างพูดถึงประเด็นการเมืองในหนังกันหมด) ตัวละครจึงมีคำพูด ที่กระทบกระแทกเสียดสีสังคมอยู่ค่อนข้างมาก และยิ่งรู้ว่ามันเป็นความจริงมากเท่าไหร่ เรายิ่งรู้สึกแย่กับมันเท่านั้น กลับไปที่แกนหลักของหนังที่สร้างจากการ์ตูน คือการปกป้องเพื่อนมนุษย์และเมืองอันเป็นที่รัก ก็ไม่ใช่ว่าหนังจะทิ้งแนวคิด American Hero ไปเสียทีเดียว ฉากที่ตัวเอกบอกว่า "เขายังทำเพื่อเมืองนี้ไม่พอ"  (ฉากนี้พบได้ตั้งแต่ในตัวอย่างภาพยนต์แล้ว) ทำให้เรานึกถึงบท Ranger เล็กๆคนหนึ่ง ผู้เป็นทหารมือดีในสงครามกลางเมืองโซมาเลีย จาก Black Hwak Down ใจความเด็ดๆก็ประมาณว่า "ไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าเราทำมันไปเพื่ออะไร แต่เรารู้แค่ว่าเราต้องทำ" ทว่าคนที่มีแนวคิดเช่น แบทแมน คงหายากเย็นแสนเขญในโลกแห่งความเป็นจริง แต่กระนั้น โนแลนยังอุตส่าห์หาคนใกล้เคียงกับความเป็นจริงมาช่วย Batman แล้วหนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จใน TDK นั่นคือ Harvey Dent คร่าวๆคือ หนังของโนแลนด์ยังคงชอบเล่นกับ "ความเป็นมนุษย์" ที่ถูก "ยั่วยุ" เสมอ จากคุณ : city of the damn เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 08:58:04

ความคิดเห็นที่ 2 TDK ฉายในปี 2008 ท่ามกลางขนบหนังซุปเปอร์ฮีโร่ ที่เต็มไปด้วยคิวบู๊ล้างผลาญและ VFX สุดอลังการ สิ่งที่โนแลนด์เลือกในการทำหนังซุปเปอร์ฮีโร่ของตัวเองคือ การดำเนินเนื้อเรื่องสุดลึกล้ำและพลอตเรื่องที่ชวนระทึก TDKR ในปี 2012 ก็ดำเนินตามรอยนั้นมาอย่างซื่อสัตย์ และภักดี แต่ดูเหมือนแฟนหนังจะมีข้อเปรียบเทียบมากมายกับหนัง Genre เดียวกัน เหตุเพราะมันมีแอคชั่น ระเบิดระเบ้อ "น้อยเกินไป"​แบบที่ขนบหนังซุปเปอร์ฮีโร่ "ควรเป็น" ใครบอกกันเล่า? โนแลนด์เป็นหนึ่งในผู้กำกับไม่กี่คนในฮอลลีวู้ด ที่ยังคงนิยมเทคนิค "ทำงานให้เสร็จในกล้อง" คือ พยายามทำทุกอย่างให้เสร็จสมบูรณ์บนการถ่ายทำด้วยกล้องให้ได้มากที่สุด การดึง VFX มาช่วยถึงจะเป็นทางออกต่อมา นั่นคือ โนแลนด์ถือคติ พยายามใช้ VFX ให้น้อยที่สุดในงานของตน เพราะยังมั่นใจในคุณภาพการทำงานของกล้องถ่ายภาพยนตร์มากกว่า ครั้งหนึ่งโนแลนด์เคยบอกว่า "ตอนที่เราทำงาน มีเก้าอี้อยู่ที่มุมภาพ ถ้าเป็นคนอื่น เค้าคงถ่ายต่อไป เพราะยังไงก็ต้องไปใช้เทคนิคในคอมพิวเตอร์ลบออกอยู่ดี แต่ที่เราทำก็แค่ ยกมันออก แล้วถ่ายใหม่" เป็นเหตุผลว่าทำไมงานของโนแลนด์จึง "ดิบ" และดู "จริง" ท่ามกลางยุคที่ VFX และ 3D ครองโลก กล่าวกันว่านี่อาจเป็นงาน 2D ชิ้นสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่และอลังการที่สุดของยุค... แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 55 09:13:41 จากคุณ : city of the damn เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 08:59:33

ความคิดเห็นที่ 3 เนื้อหาส่วนนี้มีการชี้นำ ว่ากันว่าหากจะดูหนังผีไม่ให้น่ากลัวให้ลองปิดเสียงดู วิธีดังกล่าวสะท้อนความจริงที่ว่า ดนตรีประกอบ มีส่วนช่วยสร้างอารมณ์ให้กับหนังแค่ไหน แน่นอนว่าเรากำลังจะพูดถึง Hans Zimmer ผู้ทำ Score ประกอบ The Dark Knight Rises Hans Zimmer นั้นทำเพลงประกอบให้กับโนแลนด์แทบจะทุกเรื่อง แต่เรื่องที่เราจี๊ดๆกับเพลงประกอบทั้งอัลบั้มมากที่สุดเห็นจะเป็น ตอนทำ Black Hawk Down (Ridley Scott) กับ Inception (Christopher Nolan) 2 เรื่องนี้มีเพลงประกอบที่ "สุดยอด" ทั้งกระบวนจริงๆ ก็...ยังไม่ได้ฟังเพลงประกอบของ TDKR ทั้งหมดแต่เท่าที่ฟังๆในหนังก็รู้สึกว่า "ไม่ได้ฟัง" สักเท่าไร บางคนบอกว่า เรื่องนี้ใช้เพลงบิวด์กันสุดๆ ตื่นเต้นตามเพลงมากๆ แต่จุดหนึ่งที่เราจำได้แม่นยำ กลับเป็นช่วงที่หนังเงียบ... ฉากการต่อสู้ในท่อน้ำทิ้ง เป็นอีกฉากสำคัญที่นำไปสู่ความพลิกผัน ที่... "ควรจะ" มีดนตรีโหมประโคมชวนมันส์ในอารมณ์ ก็กลับเงียบกริบ... ปล่อยให้เสียงน้ำ เสียงหมัดลุ่นๆ เสียงร่างกระแทกกับแผงเหล็กเป็นตัวสื่ออารมณ์แทน มันดิบๆจริงนะพี่น้อง จากคุณ : city of the damn เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 09:01:04

ความคิดเห็นที่ 4 จากที่กล่าวมาเยิ่นเย้อ ยืดยาว ทั้งหมดนี่ เพียงเพื่อจะสื่อว่า นอกจากการไปดูหนังเพื่อจะตัดสินว่า มัน "สนุก" หรือ "ไม่สนุก" เราได้อะไรจากมัน หรือ เรามองเห็นอะไรนอกจากภาพที่เคลื่อนไหวไปมาบนจอ บ้าง เราเชื่อมั่นในความรู้สึกแรกหลังจากเดินออกมาจากโรงเสมอ เพราะความรู้สึกนั้นมันจะสดใหม่และเป็นความรู้สึกที่เรามีต่อหนังอย่างแท้จริง ปราศจากการชี้นำจากนักวิจารณ์ (แบบที่หลายคนเป็นเวลาดูเสร็จสนุกๆกลับมาบ้านอ่านเจอนักวิจารณ์เขียนติเยอะ ทำให้บางครั้งคล้อยตามไปว่า หนังก็ "งั้นๆ" ไปโดยปริยาย) ก่อนไปดู TDKR เลยไม่ได้ดูตัวอย่างและอ่านข้อมูลพิเศษอะไรเพิ่มเติมก่อนไปดูเลย จะได้ดูหนังเรื่องนี้ได้อย่าง "สบายใจ" ไร้ความคาดหวังและการชี้นำจากคนอื่น และความรู้สึกแรกหลังดูเสร็จ คือ "ปวดหัว" เราปวดหัวจากการร้องไห้และอินมากเกินไป (ละมั้ง) จากการที่ได้พบเห็นและซึมซับเรื่องราวที่หนังพยายามจะสื่อ แม้ปลายทางพยายามที่จะปรับโทนหนังให้ RISES ในที่สุด แต่สุดท้ายคนดูแบบเราก็ยังไม่ลืมภาพของความสิ้นหวังที่ฉายชัดบนตัวหนังอยู่ดี นี่อาจเป็นหนังที่ "ควรค่า" และ "น่าแนะนำ" อย่างยิ่งให้ไปดู แต่คงปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าบางครั้ง หนังดีๆ ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกดีๆเสมอไป ความจริงในหนัง ก็ทำร้ายเราให้รู้สึกแย่ จริงๆ และ The Dark Knight Rises ก็คือหนังอีกเรื่องที่โบยตีเราด้วย "ความจริง" ได้อย่างเจ็บปวดที่สุด และไม่ว่ามันจะสนุกหรือไม่ในสายตาท่าน ก็ขอให้มันเป็นหนังอีกเรื่องที่สะท้อนความเป็นจริงของสังคมในปัจจุบันแก่ท่านได้บ้าง ไม่มาก..ก็น้อย... แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 55 09:12:58 จากคุณ : city of the damn เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 09:04:27

ความคิดเห็นที่ 5 จบแล้วจ้า ผิดพลาดตรงไหนเชิญแนะนำติชมได้ แสดงความเห็นกันด้วยความสุภาพ พยายามอย่าสปอล์ยกันหนักเกินไปนะจ๊ะ เผื่อคนอื่นเค้าจะได้ไปลุ้นเอาเองบ้าง สำหรับเราภาคนี้ เราคิดว่ามัน "ดีเยี่ยม" แต่ไม่ใช่ดีที่สุด หากให้เปรียบเทียบการเล่าเรื่องระหว่าง TDK และ TDKR ยังคงยกให้ TDK คือภาคที่เล่าเรื่องได้ดีที่สุดใน Batman Trilogy ค่ะ และเนื่องในโอกาสนี้ เมื่อวานได้ถูกประกาศให้เป็นวันรำลึกเหตุการณ์ สังหารณ์หมู่ที่โคโรราโด ค่ะ RIP ผู้เสียชีวิตทุกท่าน... จากคุณ : city of the damn เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 09:08:48

ความคิดเห็นที่ 6 เป็นกระทู้ที่ดีที่ครบดีครับ ผมขออนุญาตโหวตนะครับ จากคุณ : Barca'naL_uffy เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 09:22:04

ความคิดเห็นที่ 7 ชอบกระทู้นี้จังเลยค่ะ เราเห็นด้วยนะคะว่าโนแลนฉลาดมากๆที่ใส่เหตุการณ์ที่ดูจริงและดูเป็นปัจจุบันมากๆลงไป เรานึกถึง Occupy Wall Street เหมือนกันเลยค่ะ ในขณะเดียวกัน เราคิดว่าภาคนี้นอกจากดู "จริง" แล้วยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคนด้วย ตัวร้ายในแบทแมนพื้นฐานมาจากคนธรรมดาที่มีความเห็นต่าง มีเจตนารมณ์ไม่เหมือนกัน (เหมือนธีมของสไปดี้ที่ตัวร้ายเป็นนักวิทยาศาสตร์ซะส่วนใหญ่) และภาคนี้ก็ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าคนธรรมดาทำอะไรได้บ้าง คือไม่ใช่รอให้แบทแมนมาปกป้องอย่างเดียว อีกอย่างที่โดนใจมากๆคือเรื่องเพลงประกอบค่ะ ฟังงานของ Hans Zimmer แล้วขนลุกจริงๆ มันดูถูกที่ถูกเวลามากๆ ถึงช่วงที่จะไม่มีก็พอดีได้ใจสุดๆ ถ้าไม่มีเพลงหรือถ้าเพลงไม่ใช่ฝีมือ Hans Zimmer หนังคงไม่ลงตัวขนาดนี้จริงๆค่ะ เราว่าภาคนี้เสียงมีส่วนช่วยยิ่งกว่า 2 ภาคแรกอีก คือใส่มาได้ลงตัวจริงๆค่ะ จากคุณ : กุหลาบทราย เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 09:42:52

ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อวานไปดูมา สนุกสมที่รอคอยจริงๆ จากคุณ : mekabeam เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 10:01:02

ความคิดเห็นที่ 9 ผมขอเปรียบเทียบกับ TDK ผมรู้สึกว่า ตอน TDK คล้ายว่าผมได้เข้าไปอยู่ในเมืองก็อธแทมกับเขาด้วย กดดันและบีบจิตใจมาก (โดยเฉพาะ Sound ที่เป็นเสียว วี๊ดดดดดดดด ยาวๆ) แต่ TDKR ผมชอบในการเล่าเรื่อง การพูดคุยและสื่ออารมณ์ แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นกลุ่มคนนอกเมืองที่คอยดูเหตุการณ์มากกว่า และเห็นด้วย ว่า Sound ที่ผมนึกถึงในเรื่องนี้ก็ การเงียบแบบหยุดกึก (ไม่ใช่ว่า Sound อื่นไม่ดีนะครับ แต่ประทับใจช่วงเงียบได้จังหวะของหนังมาก) ส่วนตัวผมให้ TDK ดีกว่านิดหน่อยครับ แต่ยังอยากดู TDKR อีกอย่างน้อย 1 รอบครับ แล้วจะมาดูว่าความคิดผมเปลี่ยนไปหรือเปล่า จากคุณ : แข้งบวม เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 10:09:26

ความคิดเห็นที่ 10 กระทู้นี้มหัศจรรย์ครับ แสดงว่า คุณเข้าใจ แมสเซจ ที่โนแลนส่งออกมา หนึ่ง โนแลน เลือกแนวทางการทำหนัง ของ สแตนลีย์ คูบริกส์ คือหนังจิตวิทยา อิงปรัชญา ด้านมืด ด้านดิบของมนุษย์ สอง หนังอิงการเมือง...ทั้งสามภาค เป็น พรีเซนเทชั่น ของ โอบามา โดยเฉพาะ ภาค Begins ฉายในปีที่ โอบามา เป็น วุฒิสมาชิก อิลลินอยส์ ภาคถัดมา The Dark Knight โนแลนจึงเลือก ชิคาโก เมืองเอกของ อิลลินอยส์ เป็น โลเกชั่น และออกฉายในปีที่ โอบามาเป็น ปธน. ภาคนี้ก็เช่นกัน ฉายก่อนจะมีการเลือกตั้ง ปธน. คือ กระตุ้นให้คน สนใจการบ้านการเมือง เลิกใช้ชีวิตปัจเจกวิถี รวมกลุ่ม ลากไส้ปัญหาทุกอย่างที่มีออกมา สร้างความกดดันไปที่การเมือง ให้การเมือง เปิดทางให้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา คนอเมริกัน อ่อนแอ และขี้เกียจ การใช้สื่อ ทำจิตวิทยา เพื่อ สร้าง oppose active จึงเป็นกระบวนการที่ยอดเยี่ยมมาก อเมริกา ไม่มี practical หรือ "เหง้า" จึงต้องไปเอา แนวคิดของอังกฤษ มาล้างสมอง ปรับพฤติกรรม อิสระที่ไร้ขอบเขตตามหลักการอเมริกัน ซึ่งก็คือคำตอบในหนัง ว่าทุกคนเป็นฮีโร่ได้ ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง จากคุณ : เด็กคน เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 10:14:16

ความคิดเห็นที่ 11 ฉากในท่อน้ำที่เงียบกริบ ชวนนึกถึงฉากโจ๊กเกอร์ขับรถบันทุกไล่ล่าเดนท์เลย เงียบกริบเหมือนกัน แต่สุดยอดมาก จากคุณ : Home_Nature เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 10:18:27

ความคิดเห็นที่ 12 คห. 10 Morgan Freeman ก็พึ่งบริจาคเงิน 1 ล้านเหรียญเข้ากองทุนโอบาม่า (มอร์แกน ฟรีแมน แสดงเป็น Mr.Fox ผู้ช่วยบริหารบริษัท ของบรูซ เวย์น) เรื่องการเมืองในหนังเราว่ามันมีมาพักใหญ่ๆแล้ว ไม่ใช่แค่พึ่งเห็นใน TDKR นอกเหนือจากหนังที่เล่าประวัติการเมืองตรงๆ หนังแบบที่ สอดแทรกแบบเนียนๆกลับน่าขบคิดมากกว่า ตามข่าวว่ากันว่า เบนก็คือ Romney ฝั่งรีพับลิกันต์ที่ตีความกันได้ตามนี้ก็คงยี้หนังกันน่าดู กลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้อุตสาหกรรมหนังก็กลายเป็นอีก 1 เครื่องมือทางการเมืองไปโดยปริยาย ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแค่โนแลนนะคะ หนังหลายเรื่องที่มีสัญญะทางการเมืองสอดแทรกอยู่ ไม่ได้เกิดที่ขั้นตอนของสตูดิโอผู้สร้าง แต่เป็นเมสเซจเนียนๆของผู้กำกับและเหล่านักแสดงนี่เอง.. แต่...เราก็ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นหรอกค่ะบางครั้ง แต่รู้ว่ามันมีอยู่จริง :) แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 55 10:32:44 จากคุณ : city of the damn เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 10:30:49

ความคิดเห็นที่ 13 ในภาค TDK โนแลน พยายามตัดเอาส่วนที่เป็นบีกินส์ทิ้งไปให้หมด แล้วเน้นเรื่องที่ ให้เกิดขึ้นในมหานครขนาดใหญ่ อาชกรในเมืองใหญ่ โดย มีประเด็นเรื่อง ศีลธรรม มาเป็นตัวชูโรงครับ ซึ่งโนแลนเอาประเด็นนี้มาใส่ได้อย่างดีมาก ดูจบกลับเอามาคิดวิเคราะห์ ตีความ ไ้ด้หลากหลาย มีฉากที่ดูแล้วตราตรึงอยู่หลายฉาก โดยเฉพาะฉากกดระเบิดบนเรือทั้งสองลำที่เน้นเอาตัวประกอบมาแสดงความกดดันให้คนดูแทนที่จะใช้ตัวละครเด่นๆมาเล่น น้อยมากน่ะครับ ที่จะมีหนังที่เอาตัวประกอบมากระตุ้นความรู้สึกคนดูได้ แถมการแสดงของ ฮีด ในบท โจ๊กเกอร์ ที่ผมบอกได้เลยว่ายากส์มาก ที่จะทำ ฮีดลงทุนขนาด เช่าโรงแรมอยู่คนเดียวเพื่อศุกษาและคิดค้นตัวละครตัวนี้ด้วยตัวเอง ถึงขนาดใช้ยา จนพบจุดจบไป แต่ในภาค TDKR ออกแนวการเมืองในด้านการปฏิวัติ และ เผด็จการณ์ เน้นที่ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และ วรรณะ มาปกครองประเทศ คล้ายๆกับกรณีที่เหมา เจ๋อ ตุง เอาคอมมิวนิสเข้ามาในจีนแหละครับ คือเอาหมอมาไถนา และ เอาชาวนา ไปเป็นหมอ โดยอ้าง ความเท่าเทียม ในขณะที่ประชาธิปไตยเน้น ความถูกต้อง และ ความยุติธรรม จากคุณ : wat451 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 11:44:43

ความคิดเห็นที่ 14 เห็นด้วยสุด ๆ กับประเด็นที่ว่า "ชี้นำ" บางคนดูหนังไม่สนุกเพราะชี้นำตัวเองก็มี มีคนอื่นชี้นำก็มี สุดท้ายแล้วการดูหนังมันเพื่อความบันเทิง และถ้าคิดนิดหน่อยก็จะได้สาระเพิ่มเข้ามาด้วย จากคุณ : Canon in Science Major เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 12:27:36

ความคิดเห็นที่ 15 จิตวิทยาของเบน เจ๋งไม่แพ้โจ๊กเกอร์เลยต่างที่การนำเสนอ ซึ่งการนำเสนอของเบนจะดูตรงไปตรงมา ต่างกับโตจ๊กเกอร์ที่ไม่รู้คิดไรอยู่ สรุปคือโหดทั้งคู่ จากคุณ : Emo-cRazyZ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 14:07:35

ความคิดเห็นที่ 16 กระทู้นี้ว่ายอดแล้ว แต่เจอ คห 10 เล่านี่ยอดเยี่ยมเข้าไปอีก จากคุณ : Cookiefish เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 15:53:50

ความคิดเห็นที่ 17 เขียนได้ดีจัง ชอบ ^^ จากคุณ : นางาเสะจัง เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 16:11:22

ความคิดเห็นที่ 18 เขียนดีมากเลยครับ :D จากคุณ : jarman เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 16:27:44

ความคิดเห็นที่ 19 ผมหมั่นไส้เบนมากครับ ทำไมมันเก่งจังฟระ ต่อยพี่แบทผมกลายเป็นขยะ หรือพี่แบทเราร้างสนามไปนานนะ อิอิ จากคุณ : อ๊อบบี้ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 16:52:23

ความคิดเห็นที่ 20 เจ้าของกระทู้เขียนได้ดีมากเลยค่ะ ^^ แต่ขอตินิดเดียวเท่านั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับเนื้อหากระทู้เลย.... Nolan --- เวลาเขียนทับศัพท์เป็นภาษาไทยว่า "โนแลน" ไำม่น่าจะมี  "ด์" นะคะ จากคุณ : Lose Myself เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 55 21:35:56