Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Movie Review ---- The Dark Knight Rises ---- ลุกขึ้นอย่างผู้ไม่แพ้ (สปอยล์น้อยมาก) ติดต่อทีมงาน

เกือบจะครบสัปดาห์แล้วสำหรับการเปิดตัวของหนังเรื่องนี้ ผมเพิ่งได้มีโอกาสไปดูมาเมื่อวานซืนและเมื่อวาน (25-26 กรกฎาคม 2012) เองครับ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดสำหรับการดูในโรงไอแมกซ์ เพราะตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง 44 นาที หนังพาผมเข้าไปโลดแล่นในเนื้อหาที่เข้มข้น การต่อสู้ที่ไม่ได้เน้นกันที่ท่วงท่า แต่เน้นกันที่มันสมองและสองมือ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมประทับใจอย่างมากจากเนื้อหาในหนังภาคก่อน (The Dark Knight) การกลับมาปิดฉากไตรภาค ซึ่งเป็นซีรีย์ที่เข้มข้นที่สุดของหนังซูเปอร์ฮีโร่ทั้งมวลในที่นี้ ผมตั้งความหวังเอาไว้สูงมาก ตลอดระยะเวลาที่หนังดำเนินเรื่องราวไปจนสู่ฉากจบนั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่หลุดคอนเซปต์ คอนเซปต์ที่หนังวางเอาไว้ตั้งแต่เริ่มแรก “ฮีโร่ที่ใครทุกคนก็สามารถเป็นได้” เป็นฮีโร่ที่จับต้องได้เพียงหนึ่งเดียวที่ผมรู้จักจริงๆ

The Dark Knight Rises เป็นการกลับมาอีกครั้งเพื่อปิดความยิ่งใหญ่ของหนังซูเปอร์ฮีโร่ไตรภาค ที่ไม่ใช่หนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วไปที่เน้นนำเสนอฉากการต่อสู้เพื่อความสนุก แต่เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ตีแผ่ประเด็นสังคมเสื่อมโทรมอย่างถึงกึ๋นและมี ชั้นเชิง เป็นการเล่าเรื่องราวที่มีการวางโครงเรื่องแฝงไว้ด้วยข้อคิดอย่างแยบคาย ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงไม่ได้ให้แต่เพียงความสนุกแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันให้อะไรมากกว่านั้นอีกมาก ตามแต่ความคิดของแต่ละคนจะหยั่งถึง

เรื่องราวความต่อเนื่องนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ Batman Begins ในปี 2005 ที่ถึงตอนนี้ผมก็แทบจำไม่ได้แล้วว่าเรื่องราวในภาคแรกนั้นมันเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งถ้าว่ากันตามจริง ตัวละครที่อยู่ในหนังภาคแรกได้มีการกล่าวในหนังภาคสุดท้ายนี้ด้วย ตัวละครที่ว่าก็คือ ราซอัลกุล (รับบทโดย เลียม นีสัน และเคน วาตานาเบ้ ใน Batman Begins) กับเหล่าพลพรรคใน “พันธมิตรแห่งเงา” (League of Shadows) แต่แม้ว่าผมจะจำไม่ได้แล้วว่าตัวละครที่ว่านี้มีการทำบุญทำกรรมอะไรไว้ในภาคแรก แต่ในหนังภาคสุดท้ายนี้ก็จะมีการกล่าวเรื่องราวคร่าวๆให้ทราบด้วย หากยังไม่ได้ดูภาคแรกหรือภาคสองก็ยังไม่ได้ดู แต่ก็ยังสามารถดูหนังภาคจบเรื่องนี้รู้เรื่องครับ แต่ว่าถ้าจะให้เนื้อเรื่องมีความคมคาย แนะนำว่าดูให้ครบทุกภาคจะดีที่สุด

แม้ว่าภาคแรกอย่าง Batman Begins ผมจะรู้สึกเฉยๆกับมัน แต่เมื่อได้ดูในหนังภาคต่อมาอย่าง The Dark Knight หนังกลับทำให้ผมรู้สึกอึ้งและทึ่งมากๆ สาเหตุก็คือ นี่เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องแรกที่ไม่รู้สึกว่าเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่เลย เพราะความเป็นมนุษย์ที่ซูเปอร์ฮีโร่ตัวนี้มี มันเด่นชัดเกินกว่าอะไรทั้งหมด ซูเปอร์ฮีโร่อะไรกันที่มันจับต้องได้ขนาดนี้ ใครจะไปคิดว่า The Dark Knight ทำให้ผมมองหนังซูเปอร์ฮีโร่เปลี่ยนไป จากที่เคยคิดว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ก็ดีเพียงแค่สู้ๆกัน แล้วก็จบลงด้วยความแฮปปี้ แต่แล้วมันก็ถึงจุดเปลี่ยน

การกลับมาใน The Dark Knight Rises ทำให้ผมอึ้งและทึ่งอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้เหมือนอย่างในครั้งแรก เพราะฮีโร่ตัวนี้ก็ยังคงจับต้องได้เหมือนเดิม มีความเป็นมนุษย์อย่างเด่นชัดเหมือนเดิม แต่ที่ผมอึ้งและทึ่งอีกครั้งก็คือ เนื้อหาในหนังยังสามารถคุมโทนความยิ่งใหญ่ ประเด็นเสียดสีการเมือง การต่อสู้ที่ใช้มันสมอง และแฝงแง่คิดอย่างแยบคายไว้ได้อย่างเดิม นี่เป็นอะไรที่สุดยอดมาก เป็นการวางหมากอย่างดีมาตั้งแต่เรื่องราวในภาคแรก โหมกระหน่ำอย่างเต็มที่ในภาคสอง ก่อนที่จะมาผงาดอย่างถึงขีดสุดในภาคสาม ปิดตำนานเรื่องราวซูเปอร์ฮีโร่ตัวนี้อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งจะต้องเป็นสิ่งที่กล่าวถึงไปอีกนานแน่นอน

แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 55 00:59:02

 
 

จากคุณ : Mckario
เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 55 00:39:55




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com