 |
ภายหลังที่ ดั๊กลาส เควด ได้ใช้บริการของ Rekall แล้วนั้นทำให้เขาเริ่มสับสนว่าอะไรคือตัวตนในโลกความเป็นจริงของเขา ซึ่งถ้าดูจากมิติและประเด็นการค้นหาอัตลักษณ์ตัวตนแล้ว Total Recall มีพล็อตเรื่องและประเด็นที่น่าจับต้องให้คิดต่อได้อย่างยิ่งยวด เหมือนเช่น Blade Runner หรืออีกหลายเรื่องของภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมากจากผู้เขียน Philip K. Dick ที่ถูกผลิตออกมา แต่น่าเสียดายที่ Total Recall ไม่สามารถสะท้อนความคิดออกมาให้ขบคิดได้มากนัก เพราะหนังหันเหใช้เวลาหมดไปกับการเน้นการต่อสู้เป็นส่วนใหญ่จนไม่สามารถให้เวลากับเรื่องประเด็นที่ถูกปูไว้ตามบริบทท้องเรื่อง แต่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรให้คิดเสียเลยเพราะถึงอย่างไรมันแอบสอดแทรกไว้อยู่ ซึ่งเป็นไปได้ว่าต้องยกความดีความชอบให้ผู้ประพันธ์หนังสือต้นฉบับมากกว่าผู้ผลิตหนังด้วยซ้ำไป
ที่กล่าวเช่นนี้เพราะผู้กำกับเหมือนเน้นไปที่ฉากแอคชั่นซะส่วนใหญ่ และทำออกมาได้ดีมาก(ต้องยกความดีความชอบให้คนตัดต่อด้วย) แต่สิ่งที่ขาดไปอย่างมากคือชั้นเชิงของการกำกับ เพราะการเน้นการใช้ฉากต่อสู้มากๆนั้น ซึ่งแน่นอนว่า มันต้องใช้การตัดต่อเข้ามาช่วยเยอะมาก ทำให้หนังในฉากนั้นถูกหั่นทอนซีนเหลือเป็นช็อตๆ และยิ่งเป็นฉากต่อสู้ยิ่งต้องซอยเป็นช็อตให้เล็กลงมากขึ้นเรื่อยๆ จนภาพเหมือนถูกสังเคราะห์เข้าสู่สมองผู้ชมอย่างรวดเร็วและฉับไวภายในเสี้ยววินาที และด้วยการเน้นย้ำฉากแอคชั่นมากจนเกินไป จนไม่มีช่วงเวลาผ่อนคลายอารมณ์ให้กับผู้ชมในแต่ละช่วง หลังจากหมดซีนแอคชั่นในฉากนั้นๆ ซึ่งชั้นเชิงที่ว่าจึงหมายถึง การใช้มุกตลก,เศร้า,ซึ้ง,ขบขัน สอดแทรกเข้ามา หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้หนังไม่ได้เอะอะที่จะใช้ฉากต่อสู้เล่าเรื่องเพียงอย่างเดียว
แต่น่าเสียดายที่ Total Recall แทบจะไม่มีฉากเช่นนั้น ทำให้ผู้ชมเหมือนถูกยัดเยียดใส่ฉากแอคชั่นมากมาย จนบางครั้งตาลาย เกินกว่าที่หัวสมองจะรับไหวหรือถึงขั้นล้าในโสตประสาท(อาจไม่ได้เป็นทุกคน ) ดังนั้นชั้นเชิงการลำดับเรื่องจึงสำคัญกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างมากแต่กลับถูกละเลยไป ทำให้เมื่อถึงจุดไคลแม็กซ์ที่ต้องสู้กับคนสำคัญที่เปลี่ยนทิศทางของเรื่อง กลับกลายเป็นฉากแอคชั่นธรรมดา เพราะหนังไปเน้นย้ำการต่อสู้แบบถึงพริกถึงขิงตั้งแต่ช่วงต้นแล้ว จึงไม่เหลือความสำคัญอะไรเก็บไว้ให้ตื่นเต้นในตอนท้ายของเรื่อง ซึ่งเป็นส่วนที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก
กลับสู่เรื่องราวของภาพยนตร์ ถ้าวิเคราะห์กันในแง่ของบริบทผู้ชมจะเห็นว่า เมือง 2 เมืองในหนังมีแตกต่างกันของชนชั้นเป็นอย่างมาก โดยเมืองบริเทนที่มีประธานาธิบดี โคฮาเก้น (Bryan Cranston) ผู้ซึ่งต้องการรวบเมืองอาณานิคมเป็นของตนเอง(เผด็จการ) จึงทำให้เกิดผู้ต่อต้านขึ้น โดยมีแม็ทไธอัส (Bill Nighy ) หัวหน้ากลุ่มผู้ต่อต้านได้ซ่องสุมกองกำลังอยู่นอกเมืองเพื่อต่อต้านการกระทำของ โคฮาเก้น ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงต่อสู้กันทางอุดมการณ์ ที่ไม่คล้อยตามกัน ซึ่งจะว่าไปการกระทำเช่นนี้ยังมีอยู่ในโลกปัจจุบัน เพียงแต่ใส่เรื่องความความทันสมัยของเทคโนโลยีและความเป็นอนาคตเข้ามาเพียงเท่านั้น
--มีต่อ--
จากคุณ |
:
A-Bellamy
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ส.ค. 55 22:46:38
|
|
|
|
 |