Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
วุฒิ-ศักดิ์ VS นิติพล เกมพรีเซ็นเตอร์แรงเป๊ะ! ติดต่อทีมงาน

สงครามแคมเปญโฆษณาของ “วุฒิศักดิ์” และ “นิติพล” ยังคงเดินหน้าไม่หยุด สำหรับ2 แบรนด์คลินิกผิวพรรณที่กลายเป็นคู่กัดถาวรแห่งวงการธุรกิจความงามที่มีมูลค่าทะลุ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ล่าสุดมาจนถึงทุ่มเงินออนแอร์กันแทบไม่ทัน เฉพาะแค่ครึ่งปีควักเงินไปแล้ว 100 ล้านบาท  ในเกมพรีเซ็นเตอร์ชนพรีเซ็นเตอร์เป๊ะ

นี่คือปรากฏการณ์ของธุรกิจที่มาในกระแสความต้องการของผู้บริโภคที่อยู่ในโหมดอยากสวย จ่ายเท่าไหร่ไม่ว่า  และสวยเมื่อไหร่ต้องได้ทันที เกมนี้จึงคุ้มที่จะลงทุนแคมเปญโฆษณากันอย่างเต็มที่

หากย้อนหลังไปดูข้อมูลการใช้งบโฆษณาจากบริษัทวิจัยนีลเส่น พบว่าในปี 2007 “วุฒิ-ศักดิ์” ใช้งบประมาณ 64 ล้านบาท โดย “นิติพล” ใช้มากเป็นอันดับ 2 คือประมาณ 23 ล้านบาท เกือบทั้งหมดอยู่ที่ทีวีซี จากนั้นเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากหลักสิบล้านกลายมาเป็นหลักร้อยล้านภายใน 2 ปี จนทำให้แบรนด์อื่นๆ ต้องลงทุนโฆษณามากขึ้น  

ลากให้ทุกคนวิ่งตามจนเหนื่อยไปตามๆ กัน จนเห็นสภาพความอ่อนล้าได้ชัดเจนเมื่อบางแบรนด์ขอเว้นวรรคในบางปี อย่าง “พรเกษม”  “ราชเทวี” หรือแม้แต่ “แพน คอสเมติก” และมีแต่เพียง “นิติพน” และ “วุฒิ-ศักดิ์” ที่ตามติดกันราวกับการแข่งกับเงาของตัวเองตลอดเวลา ด้วยกลยุทธ์พรีเซ็นเตอร์ชนพรีเซ็นเตอร์ เฉพาะทีวีซีใช้งบออนแอร์รวมกันทะลุ 100 ล้านบาทในเวลาเพียง 5 เดือนแรกของปี 2012

ธุรกิจนี้ไม่อาจถอยได้ เพราะการแข่งขันระหว่างสองแบรนด์นี้ไม่ใช่การแข่งขันแบบธรรมดา แต่หมายถึงศักดิ์ศรี จากแต้มความขัดแย้งที่สะสมมานาน ที่ผู้บริหาร “วุฒิ-ศักดิ์” คืออดีตผู้ร่วมงานของ “นิติพล” ที่ออกมาตั้งธุรกิจแข่ง แถมยังแย่งตลาดจนชิงลูกค้าส่วนใหญ่ของตลาดไปมากขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบัน “วุฒิ-ศักดิ์” ประกาศว่ามีส่วนแบ่งตลาดแล้วถึง 50% จากมูลค่าตลาดรวม 10,000 ล้านบาท รวมไปถึงการได้ผู้ร่วมทุนใหม่ที่เป็นกองทุนต่างชาติพร้อมลงทุนเต็มที่

ดูปรากฏการณ์แล้วตั้งคำถาม เกมนี้บอกอะไรเราได้บ้างในทางการตลาด มาฟังคำตอบจาก “รศ.กิตติ  ศิริพัลลภ” อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Thammasat Business School)



อินไซท์ผู้บริโภค “ดูดีก็มีโอกาส”
เป็นธรรมชาติของคนที่อยากดูดี หน้าตาดี ไม่ว่าผู้ชาย หรือผู้หญิง ที่สำคัญมากกว่านั้น คือ วันนี้พิสูจน์ได้ว่าคนหน้าตาดีมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตสูง เพราะมีบางอาชีพที่ใช้หน้าตา อย่าง ดารา นักร้อง พิธีกร ที่สำเร็จในอาชีพ โดยวัดจากการมีรายได้สูง เพราะฉะนั้นคนจึงอยากหน้าตาดีเผื่อได้เป็นดารา

หรือในกรณีของคนทำงานที่ต้องไปพบปะลูกค้า หน้าตาดีก็มีโอกาสได้งาน ซึ่งหมายถึงรายได้ตามมา และรวมไปถึงการได้พบกับคู่ครอง โดยสรุปได้ว่าคนอยากสวยหล่อเพราะมีโอกาสทั้งในแง่ของงาน อาชีพ รายได้ และชีวิตคู่

เมื่อธุรกิจนี้มีเทคโนโลยีความงามมาช่วย ทำให้คนหน้าตาดีขึ้นได้ง่าย ธุรกิจนี้จึงเติบโตอย่างที่เห็น



RTB ด้วย “ดารา”
เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการ แต่จะเลือกใช้แบรนด์ใดนั้น ดร.กิตติบอกว่าขึ้นอยู่กับความสามารถของแบรนด์ว่าจะมีกลไกลดึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร โดยมีหลักการตลาดที่เรียกว่าการสร้าง Reason to Believe หรือ RTB หรือการสร้างเหตุลที่ทำให้ผู้บริโภคเชื่อแล้วซื้อ เช่น จากความเชื่อในชื่อเสียงของแบรนด์ องค์กร

กรณีของคลินิกความงามนี้ แบรนด์ “นิติพล” และ “วุฒิ-ศักดิ์” แสดงให้เห็นถึงการใช้ RTB   ที่กำลังแข่งขันกันใช้พรีเซ็นเตอร์ว่า เป็นการนำเสนอผลงานคือความสวย และดูดีของดารา จากฝีมือของหมอของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มเติมจากปกติคลินิก หรือการรักษาพยาบาลจะนำเสนอถึงชื่อเสียงขององค์กร แบรนด์ หรือการใช้ดีกรีจากต่างประเทศมาเป็นเหตุลผที่ทำให้ผู้บริโภคเชื่อและใช้บริการ

การใช้ดาราก็คือหาบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ผู้บริโภครู้จัก มาเป็น Endroser ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ซึ่งเหมาะกับธุรกิจลักษณะนี้ หากเป็นธุรกิจอื่นอาจไม่จำเป็น เช่น ธุรกิจอาหารที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อหรือไม่นั้น ไม่จำเป็นต้องมีคนดังมารับรองความอร่อย

จะเห็นได้ว่าทั้ง “วุฒิ-ศักดิ์” และ “นิติพล” มีการใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นดารานักร้องอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่นักร้องเกาหลีตามกระแสกิมจิฟีเวอร์ จนถึงดาราวัยรุ่น และรุ่นใหญ่ โดยเฉพาะ “วุฒิ-ศักดิ์” ที่ทุ่มจ้างพรีเซ็นเตอร์ที่แมสรู้จักอย่าง “ไก่ วรายุทธ” ดาราและผู้จัดละครช่อง 3 “ปุ้ย พิมลวรรณ” พิธีกรรายการแมสอย่างผู้หญิงถึงผู้หญิง พร้อมกับการสร้างคีย์เวิร์ด จนติดปากอย่างคำว่า “เป๊ะ” และสัญลักษณ์การทำนิ้วเป็นตัวอักษร W

จนมาถึงพรีเซ็นเตอร์ชุดล่าสุดที่เติมความหนักแน่นของเหตุผลที่จะเชื่อด้วย “แหม่ม สุริวิภา” “ลิเดีย” และ “ต่าย เพ็ญพักตร์”

ขณะที่ “นิติพล” ที่เคยมีเพียง “น้ำชา” นักร้องวัยรุ่นเป็นพรีเซ็นเตอร์มาหลายปี เริ่มขนทัพพรีเซ็นเตอร์มาชนเช่นกัน ตั้งแต่ “กาละแมร์” อีก 1 พิธีกรรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงที่ถือเป็น Influencer ทั้งในกลุ่มคนสังคมออนไลน์และออฟไลน์ จนมาถึงพรีเซ็นเตอร์คู่อย่าง “ชาย ชาตโยดม และ วิกกี้ สุนิสา” ที่มีกระแสฮอตยิ่งขึ้นเมื่อแต่งงาน



Me too ไม่ชนะ แต่ก็ไม่แพ้
การกระหน่ำใช้พรีเซ็นเตอร์ของ “วุฒิ-ศักดิ์” ไม่เพียงสะเทือน “นิติพล” แต่คู่แข่งเกือบทุกแบรนด์ก็อยู่นิ่งไม่ได้ มีการใช้เม็ดเงินการซื้อสื่อตอกย้ำ Positioning ของตัวเองกันอย่างเห็นได้ชัด เช่น พรเกษมคลินิก ที่ดึงจุดแข็งของตัวเองออกมาสื่อสารเรื่องการรักษาสิว ที่เป็นปัญหาของวัยรุ่น มานำเสนออย่างต่อเนื่อง แต่สายป่านของแต่ละแบรนด์ยาวไม่เท่ากัน เม็ดเงินพร้อมทุ่มซื้อสื่อต่างกัน ทำให้บางปีบางแบรนด์ก็ต้องถอย

แต่ “นิติพล” ไม่ถอย ด้วยการจัดทัพพรีเซ็นเตอร์มาชน แม้จะต้อง Me too ตาม “วุฒิ-ศักดิ์” ก็ตาม

กลยุทธ์เที่ยวล่าสุดนี้ นพ.นิติพล ชัยสกุลชัย ประธานกรรมการบริษัทนิติพล คลินิก ได้มอบหมายให้ฝ่ายการตลาดของนิติพล คลินิก อธิบายว่า ต้องการขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมมากขึ้น ไปยังกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ อายุ 25-35 ปี มีตัวแทนคือ “ชายและวิกกี้” “กาละแมร์” ตัวแทนผู้หญิงทำงานที่ดูแลตัวเองอยู่ตลอดและสวยขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแม้ว่าจะต้องทำงานหนัก และสุดท้าย “ก้อง ปิยะ” เป็นตัวแทนของกลุ่มคนในวงการบันเทิง เซเลบริตี้ซึ่งต้องดูแลผิวพรรณเป็นอย่างดีเพราะต้องออกสื่อตลอดเวลา

การใช้พรีเซ็นเตอร์จำนวนมากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคสับสนแล้วเดินเข้าผิดร้านหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตตลาดของนิติพลบอกเพียงว่า นี่เป็นกลยุทธ์ในการสื่อสารโดยพรีเซ็นเตอร์หลากหลาย เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายจดจำสินค้าและบริการได้แม่นยำ โดยโฆษณาทุกตัวจะมีเอกลักษณ์ เน้นสื่อสาร Key Messageชัดเจนเข้าใจง่ายว่า “ทุกความสวยเป็นไปได้”   

งานนี้ “รศ.กิตติ” บอกว่าชัดเจนว่า “นิติพล” ต้องการหา Endroser มาลดความร้อนแรงของ “วุฒิ-ศักดิ์”  และทำให้คนสนใจ “นิติพล” มากขึ้น โจทย์ก็คือ “วุฒิ-ศักดิ์” จะต้องป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคสับสน เดินเข้าผิดร้าน อย่างที่ “วุฒิ-ศักดิ์” ทำถือว่าได้ผล คือการตอกย้ำแบรนด์และหาคีย์เวิร์ดมาสร้างความจดจำ ด้วยการจบท้ายทุกโฆษณาว่า “วุฒิ-ศักดิ์ เป๊ะ”
อีกความเห็นจากนักโฆษณาหลายคนที่มองว่า โฆษณาที่ออกมาสะท้อนให้เห็นว่าทั้งสองแบรนด์แข่งกันดึงพรีเซ็นเตอร์ที่มีแฟนคลับของตัวเองมาดึงลูกค้า โจทย์นี้คือใครมีพรีเซ็นเตอร์ที่แรง มีแฟนคลับตามเยอะ แบรนด์นั้นก็ได้เปรียบ ถือเป็นมูลค่าเพิ่มสำหรับแบรนด์นั้น  

รศ.กิตติบอกว่าการทำตามหากทำไม่ดีก็เสียฟอร์ม แต่ถ้าทำดีกว่าก็ถือว่าไม่เสียฟอร์ม การใช้พรีเซ็นเตอร์ถ้านำพรีเซ็นเตอร์ที่ดังใกล้เคียงกันหรือดังกว่า ก็ชนะในแง่การจดจำมากกว่าของผู้บริโภค กรณีนี้มีข้อระวังคือผู้ตามอาจพลิกเป็นเจ้าของตำแหน่งในทางการตลาดไปได้  แต่สุดท้ายคือคนที่มีเงินอัดซื้อเวลาเต็มที่ และวางแผนการออกอากาศได้ดี มีกลยุทธ์ แบรนด์นั้นก็จะชนะในเกมพรีเซ็นเตอร์ชนพรีเซ็นเตอร์นี้ในที่สุด

จากคุณ : สายฝนกลางทะเลทราย
เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 17:58:38




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com