[Trans] 120812 ความล้มเหลวในการไกล่เกลี่ยระหว่าง JYJ กับ SM - ยุคแห่งการกดขี่จะสิ้นสุดลงได้หรือไม่?
120812 The Breakdown in Mediation of JYJ and SM Can Age of Oppression Come to an End?
แปลไทย: ลูกแก้วใสกิ๊งระริ๊ง
[ภาพประกอบ]
ข้อขัดแย้งทางกฎหมายระหว่าง SM กับ JYJ ซึ่งถูกทำให้ยืดเยื้อมากว่า 3 ปีมีกำหนดจะจบลงในเดือนกันยายนนี้ ที่จริงแล้ว รายละเอียดที่ทั้งสองฝ่ายได้ถกเถียงกันคือข้อตกลงร่วมกันในอนุญาโตตุลาการ (การไกล่เกลี่ย) คำว่า 'ข้อตกลงร่วมกัน' ดูจะมีความสำคัญ ณ ตอนนี้เพราะศาลได้ตัดสินเข้าข้าง JYJ ในเรื่องสัญญาผูกขาดไปแล้ว
เมื่อปี 2009 JYJ ยื่นขอคำสั่งศาลชั่วคราวเพื่อระงับผลบังคับใช้ของสัญญาผูกขาดของบริษัท SM และบริษัท SM ได้ยื่นฟ้องร้องยืนยันความถูกต้องของสัญญาผูกขาดและเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหายสำหรับปีถัดไป [T/N: คดีของ SM สิ้นสุดการไต่สวนไปเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2012 ดังนั้นจึงมีกำหนดการตัดสินพร้อมๆ กันในเดือนกันยายน] อย่างไรก็ตาม JYJ ยังได้ยื่นฟ้องร้องเพื่อยืนยันว่าสัญญาผูกขาดไม่มีความถูกต้อง ดังนั้นความขัดแย้งทางกฎหมายของพวกเขาจึงดำเนินมาเป็นเวลากว่า 3 ปี
ดูเหมือนว่าคดีฟ้องร้องยังคงไม่ได้รับข้อสรุปในแว้บแรก แต่ศาลไม่ได้ปฏิเสธเพียงแค่การคัดค้านของบริษัท SM ต่อ JYJ แต่ยังปฏิเสธการขอคำสั่งศาลชั่วคราวของ SM เพื่อระงับสัญญาผูกขาดระหว่าง JYJ กับ C-JeS Entertainment อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ศาลได้ตัดสินว่าบริษัท SM ไม่สามารถแทรกแซงกิจกรรมในวงการบันเทิงของ JYJ ได้ แน่นอนว่าเป็นความลับที่ทุกคนรู้ดีว่า SM ได้แทรกแซงการปรากฎตัวออกสื่อของ JYJ แม้ว่าจะมีคำตัดสินของศาล
การขอคำสั่งศาลชั่วคราวของ JYJ ยืนยันว่า 'เราอยากจะมีอิสระจากโซ่ตรวนของสัญญาที่ไม่เป็นธรรม' ได้รับการยอมรับบางส่วน ศาลรับทราบว่าสัญญาจ้างที่ JYJ เซ็นกับบริษัท SM นั้นเป็นสัญญาซึ่งไม่เป็นธรรม หมายความว่าข้อขัดแย้งที่สำคัญที่สุดว่ามันเป็นสัญญาจ้างที่ยุติธรรมหรือไม่ได้รับการตัดสินจากศาลแล้ว - นี่เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
ศาลได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าสัญญาจ้างไม่มีความเป็นธรรม แต่แยกแยะการตัดสินเรื่องการแบ่งส่วนของกำไรให้เป็นขั้นตอนการดำเนินการทางกฎหมายและพยายามกระตุ้นให้ทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลงร่วมกัน นี่ความหมายว่าทั้งสองฝ่าย ณ ตอนนี้มีเพียงข้อถกเถียงเรื่องการแบ่งส่วนกำไรเท่านั้น ตอนนี้ปัญหาที่เหลืออยู่ในความสัมพันธ์ของ JYJ และ SM คือข้อตกลงเรื่องรายได้ที่ JYJ ไม่ได้รับจากช่วงที่พวกเขามีกิจกรรมในประเทศญี่ปุ่น [T/N: ตัวแทนกฎหมายของ JYJ เผยว่าบริษัท SM ไม่ได้แสดงเอกสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับกิจกรรมในประเทศญี่ปุ่น]
ดูเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่ข้อขัดแย้งใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่ายคือปัญหาเรื่องการแบ่งกำไรที่ได้รับจากกิจกรรมของสมาชิกวงในประเทศญี่ปุ่น 'ข้อตกลงร่วมกัน หมายถึงการมีความคิดเห็นพ้องกันของผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไป' ในทางกฎหมาย เราไม่ได้ใช้ข้อตกลงร่วมกันในกรณีที่จะชี้ว่าอะไรผิดอะไรถูก เมื่อทั้งสองฝ่ายเห็นด้วยในรายละเอียดทั่วไปยกเว้นความเห็นซึ่งขัดแย้งกันบางความเห็น เราจะใช้ข้อตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา
ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสัญญาผูกขาดระหว่างบริษัท SM กับ JYJ ได้จบลงไปโดยเข้าข้างกับทาง JYJ และศาลแนะนำว่าทั้งสองฝ่ายหาทางออกอย่างมีเหตุผลด้วยการใช้อนุญาโตตุลาการ เพราะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันมากเกินไปในเรื่องการแบ่งส่วนกำไร และสิ่งที่สำคัญคือมันยากที่ทั้งสองฝ่ายจะมีข้อตกลงร่วมกันที่เหมาะสม ดังนั้นคำตัดสินสุดท้ายจะเป็นการตัดสินของศาลในเดือนกันยายน
คุณควรสังเกตข้อเท็จจริงที่ว่าศาลปฏิเสธการคัดค้านของบริษัท SM ต่อการที่ศาลอนุมัติการขอคำสั่งศาลของ JYJ รวมถึงการที่บริษัท SM เองขอคำสั่งศาลเพื่อระงับผลสัญญาผูกขาด (ระหว่าง JYJ กับบริษัท C-JeS Entertainment) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์อีกด้วย เรื่องนี้มีความสำคัญเพราะศาลได้ตัดสินไปอย่างชัดเจนแล้วว่าผู้ชนะการต่อสู้ทางกฎหมายครั้งนี้คือ JYJ นี่ยังเป็นข้อพิสูจน์ว่าการตัดสินทางกฎหมายนั้นถูกต้อง: สัญญาผูกขาดระหว่าง SM กับ JYJ ไม่มีผลทางกฎหมายและมันการันตีการทำกิจกรรมในวงการบันเทิงได้อย่างอิสระของ JYJ
อย่างที่ทุกคนทราบดี JYJ ไม่สามารถออกโทรทัศน์ได้แม้ว่าจะมีคำตัดสินของศาล การบอยคอตต์ที่เกิดขึ้นจากบริษัท SM และบริษัทอื่นๆ ในวงการบันเทิงยังคงมีต่อไป ปัญหาเกิดมาจากผลของความโกรธของคนที่เห็นแต่ประโยชน์ของตนเอง โดยกล่าวว่าศิลปินที่ทรยศ(ในความคิดของพวกเขา)จำเป็นต้องได้รับการควบคุมเพื่อที่จะไม่ได้มีกิจกรรมอีกเลย
มันเป็นสถานการณ์น่าเศร้าที่ JYJ ซึ่งเป็นนักร้อง ไม่สามารถปรากฎตัวในรายการเพลงทางโทรทัศน์เพราะแรงกดดันที่มองไม่เห็นแม้ว่าพวกเขาจะได้รับคำตัดสินที่สมเหตุสมผลจากศาลแล้วก็ตาม มันยังเป็นสถานการณ์ที่น่าหัวร่อที่การออกโทรทัศน์ของ JYJ ซึ่งไม่ค้านกับกฎหมายใดๆ นั้นถูกกีดกันโดยผู้คนที่พยายามจะอยู่เหนือกฎหมาย
ตอนนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าบริษัทที่ได้รับอำนาจจากกระแสเคป๊อปกำลังสร้างแรงกดดันอย่างเงียบๆ ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่ทำจนเป็นกิจวัตรในการกดดันสถานีออกอากาศเรื่องการนำศิลปินไอดอลของบริษัทไปปรากฎตัว [T/N: มีการรายงานว่าบริษัทต่างๆ กำลังบังคับแผนกรายการบันเทิงของสถานีออกอากาศ โดยกล่าวว่าพวกเขาจะระงับการปรากฎตัวของไอดอลจากทางบริษัท หากสถานีนำ JYJ มาออกโทรทัศน์]
ยกตัวอย่างเช่น การเผชิญหน้าระหว่างบริษัท SM กับ CJ ได้กลายเป็นตัวอย่างที่รู้จักกันดี บริษัท SM บอยคอตต์การปรากฎตัวของศิลปินทางสถานีโทรทัศน์ที่มีความเกี่ยวข้องกับ CJ โดยยืนยันว่าการปฏิบัติของ CJ นั้นไม่เป็นธรรมต่อไอดอลของ SM [T/N: การต่อสู้ครั้งนั้นหนักหนามากขึ้นเมื่อ Mnet ซึ่งเกี่ยวข้องกับ CJ อนุญาตให้แจจุง ยูชอนและจุนซูขึ้นบนเวทีเพื่อรับรางวัล Best Asian Star award ซึ่งมอบให้กับ TVXQ 5 คนในงาน MAMA เมื่อปี 2009 บริษัท SM บอยคอตต์การปรากฎตัวของศิลปินทั้งหมดจนถึงปี 2011] เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อ CJ เพราะคงเป็นการโดนทำร้ายครั้งหนักในเป้าหมายของการเป็นผู้นำวงการบันเทิงรายใหญ่
ตัวอย่างเช่นนี้มีผลเป็นแรงกดดันครั้งใหญ่ต่อสถานีออกอากาศหลัก ตราบใดที่พวกเขาทราบดีถึงกรณีดังกล่าว บริษัทที่ขอ 'ไม่ให้เลือก JYJ' คงจะมีอิทธิพลอย่างมาก ปัญหาคือว่ากลุ่มคนที่ไร้เหตุผลที่มีความคิดเชิงลบกลุ่มนี้มีอำนาจในการครอบครองระบบของสถานีออกอากาศ แทนที่จะเป็นคำตัดสินของศาล
บริษัท SM ที่ไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ในที่สุด กล่าวว่าทางบริษัทไม่มีอะไรจะพูดอีก และทนายของ JYJ อธิบายว่า "จุดยืนของบริษัท SM คือว่าให้ลืมเรื่องปัญหาในอดีต และทางเราได้แสดงความคิดเห็นว่าเราควรทำให้ประเด็นปัญหาอย่างเรื่องการแบ่งส่วนกำไรมีความชัดเจน ซึ่งต้องคุยกันด้วยกฎหมาย" ตอนนี้เรื่องได้รับการถ่ายทอดให้สาธารณชนเป็นผู้ตัดสินว่าเหตุผลที่บริษัท SM ลังเลในการตกลงเรื่องการแบ่งส่วนกำไรที่ได้รับจากกิจกรรมในประเทศญี่ปุ่นในฐานะ TVXQ เป็นเพราะอะไร
ในเดือนกันยายน ปัญหาต่างๆ รวมถึงเรื่องการแบ่งส่วนกำไรจะได้รับการตัดสินด้วยกฎหมาย นี่หมายความรวมถึงเรื่องอื้อฉาวทั้งหมดจะจบลงด้วยกฎหมายเช่นกัน ถ้าหากกลุ่มคนลับๆ ที่มีบริษัทในวงการบันเทิงเกี่ยวข้องยังคงข่มขู่สถานีออกอากาศต่อไปหลังจากนี้ มันอาจทำให้สาธารณชนเกิดความโกรธ ผู้คนที่เห็นแต่ผลประโยชน์ของตนเองไม่สามารถกีดกันการทำงานส่วนบุคคลโดยใช้วิธีมาเฟียเช่นนี้ มันทำให้เราสงสัยว่า JYJ จะทำให้ข้อขัดแย้งกับบริษัท SM และยุคแห่งการกดขี่นี้จบลงได้หรือไม่