ความคิดเห็นที่ 1 ต่อ...            The Bourne Legacy เล่าเรื่องของ Aaron Cross (Jeremy Renner) สายลับหมายเลข 5 ใน Operation Outcome (อีกหนึ่งโครงการสายลับนอกระบบที่เป็นเหมือนลูกพี่ลูกน้องกับ Treadstone ของ Bourne)            Cross กลายเป็นเป้าสังหารหลังจากที่ Jason Bourne และ Pamela Landy (Joan Allen) อดีต รอง ผอ. CIA พยายามเปิดโปงโครงการลับผิดกฏหมายของ CIA            Ezra Kramer (Scott Glen) ผอ. CIA สั่งเก็บกวาดทุกโครงการลับ โดยขอความช่วยเหลือไปที่ Mark Turso (Stacy Keach) อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ U.S. Navy ซึ่ง Turso ก็ขอความช่วยเหลือไปที่ Eric Byer (Edward Norton) อดีต US Air Force ปลดประจำการอีกทอดหนึ่ง สาเหตุน่าจะเป็นเพราะ Byer เป็นผู้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับ Project นี้ตั้งแต่แรก (เขาคือคนที่ดึง Cross เข้าโปรแกรมนี้)            ดังนั้นเหตุการณ์ทั้งหมดในหนังก็คือการตามล่า Cross            ขณะที่ Cross เองก็พยายามตามหา “ยา” ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อที่ชีวิตของเขาจะได้อยู่รอดต่อไป จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 12:52:08

ความคิดเห็นที่ 2 ต่อ...            เหมือนว่า Gilroy ไม่รู้จะหาไอเดียที่ไหนมาสร้างภาคต่อเมื่อไม่มีตัวละคร Jason Bourne อีกต่อไปแล้ว Gilroy เลยหยิบเอาชีวิตตัวเองมาล้อเลียนซะเลย                          - Cross ต้องซวยเพราะการถอนตัวจากการเป็นสายลับของ Bourne และการพยายามเปิดโปงของ Landy                        - Gilroy เองก็ต้องซวยเพราะการถอนตัวของ Greengrass ที่พ่วงเอา Damon ไปด้วย                        - Cross ต้องตามหายา 2 เม็ด ที่ตอนนี้ไม่มีเหลืออีกแล้ว เม็ดแรก คือ ยาที่ใช้เพิ่มศักยภาพของสมอง เม็ดที่สอง คือ ยาที่ใช้เพิ่มศักยภาพทางร่างกาย เพื่อรักษาความสมบูรณ์พร้อมของตัวเอง เพื่อเอาตัวรอดจากการไล่ล่า                        - Gilroy ต้องหา 2 บุคคลสำคัญเพื่อรักษา franchise นี้เอาไว้ คนแรกคือผู้กำกับ ที่เป็นเหมือนมันสมองของหนัง ส่วนคนที่สอง คือ นักแสดงนำที่เป็นเหมือนหัวใจของหนัง                        - สุดท้าย Cross ก็ต้องเปลี่ยนแผน เขาไปที่แหล่งผลิตยา แล้วให้ Dr. Shearing (Rachel Weisz)ผลิตยาใหม่ที่ทำให้พันธุกรรมของเขาถูกดัดแปลงอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องพึ่งยา2 เม็ดอีกต่อไป                        - สุดท้าย Gilroy ก็เปลี่ยนแผน เขาเริ่มต้นเรื่องราวใหม่ แล้วให้ Aaron Cross สายลับคนใหม่เป็นตัวเดินเรื่อง โดยไม่ต้องพึ่งผู้กำกับและนักแสดงคนเดิมอีกต่อไป แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 55 13:15:24 จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 12:58:51

ความคิดเห็นที่ 3 ต่อ...            นี่อาจเป็นเหมือน “มรดก” ที่ตกทอดมาถึงพวกเขา ทั้งที่ไม่อยากรับเอาไว้ แต่หากมองอีกมุมหนึ่งนี่คือโอกาสในการเริ่มต้นใหม่            Cross จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ขณะที่ Gilroy จะได้เริ่มต้น Series สายลับชิ้นใหม่ของตัวเองไปด้วย            ด้วยความที่หนังยังคงขายชื่อ Bourne และการที่ The Bourne Ultimatum ได้สร้างมาตรฐานที่สูงมากเอาไว้ ดังนั้น The Bourne Legacy ย่อมหนีไม่พ้นความคาดหวังจากแฟนๆแน่นอน            ส่วนตัวแล้วไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเหมือนเดิมนัก เพราะนี่คือผลงานกำกับจากคนที่เคยมีปัญหาขัดแย้งกับผู้กำกับคนเดิม ดังนั้นจะให้ผลงานออกมาเหมือนภาคเก่าๆก็คงจะไม่ใช่อย่างแน่นอน            ดังนั้นสิ่งที่คาดหวังก็คือ งานกำกับในสไตล์ Gilroy ที่เคยสร้างความประทับใจให้ผมจาก Michael Clayton และ Duplicity            แต่บทสรุปของหนังที่ Cross ล่องเรือออกทะเลนั้น จะสอดคล้องกับอนาคตของ series นี้ ที่จะลอย “ออกทะเล” ไปด้วยหรือไม่นั้น ต้องรอพิสูจน์กัน   แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 55 13:13:44 จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 13:02:18

ความคิดเห็นที่ 4 ต่อ...            ระหว่างวิจารณ์เรื่องนี้ผมขอเขียนถึง Gilroy และ Greengrass ไปพร้อมกันเลยแล้วกัน            สิ่งที่ผมชอบจากงานของ Gilroy คือ สถานการณ์ในการปฏิบัติงานแบบมืออาชีพ ซึ่งปรากฏเน้นๆเพียงฉากเดียวใน The Bourne Legacy นั่นก็คือ ฉากการพยายามจัดฉากฆ่าตัวตายให้ Dr. Shearing ที่ดูแล้วรู้สึกว่าถ้าเป็นเหตุการณ์จริงมันควรจะเป็นแบบนี้แหล่ะ ขั้นแรกเข้ามาล้วงข้อมูลให้หมด ต่อมาก็เริ่มลงมือแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งรายละเอียดต่างๆ การวางท่าทาง การล็อกเท้า ดูน่าเชื่อถือมาก            ฉากแบบนี้เห็นได้ชัดว่าออกแบบมาอย่างดี หรือมีการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญมาก่อนแน่นอน            ใน Michael Clayton ก็มีฉากฆาตกรรมอำพรางแบบเนียนๆแบบนี้เหมือนกัน ใครดูแล้วคงนึกออก อีกฉากที่ประทับใจใน Michael Clayton คือ “การค้นบ้าน” แบบมืออาชีพอีกเช่นเคย มีการถ่ายรูปเพื่อระบุตำแหน่งก่อนการเคลื่อนย้าย เมื่อค้นเสร็จแล้วก็จัดเก็บตามรูปเดิมที่ถ่ายไว้ จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 13:04:14

ความคิดเห็นที่ 5 ต่อ...            นอกจากนี้ Gilroy ชอบที่จะใส่รายละเอียดแน่นๆ ดูฉลาด และเป็นไปได้จริงๆ ในการปฏิบัติงาน จนทำให้ผู้ชมรู้ว่าแผนการเป็นอย่างไร ทำเพราะอะไร ทำอย่างไร ซึ่งเป็นการโชว์การวางแผนอันชาญฉลาด ซึ่งผมขอเรียกว่า “การอวดฉลาดแบบ Gilroy” แล้วกัน            ซึ่งใน The Bourne Legacy ก็ยังพอสัมผัสถึงสไตล์แบบนี้ได้บางๆในฉาก control room ทั้งหลาย            ที่กล่าวมาเป็นอย่างไรนั้นจะให้อธิบายด้วยคำพูดก็คงจะยาก แนะนำให้ไปหา Duplicity มาดู เพราะนี่เป็นหนังที่น่าจะมีความเป็นส่วนตัว และสะท้อนสไตล์ของ Gilroy ได้ดีที่สุดแล้ว เพราะนี่เป็นหนังทุนค่อนข้างต่ำที่เขาเขียนบทและกำกับเองคนเดียว แถมตอนนั้นเพิ่งประสบความสำเร็จไปกับ Michael Clayton อีก Studio คงปล่อยเขาเต็มที่            พูดมาซะยาว แต่จะบอกว่าสไตล์แบบนี้ของ Gilroy มีให้เห็นน้อยมากใน The Bourne Legacy ขนาดภาค 2 และภาค 3 ที่เขาไม่ได้กำกับยังมีสิ่งเหล่านี้มากกว่า            ขณะที่การชิงไหวพริบอันเป็นจุดเด่นหนึ่งของ Gilroy กลับมีให้เห็นชัดๆเพียงฉากเดียว ในฉากเปิดเลื่อยทิ้งไว้เพื่อเช็คว่ามีคนลงไปที่ตำแหน่งนั้นหรือยัง (หากมีการปิดเลื่อยแสดงว่ามีคนที่ตำแหน่งนั้น) จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 13:05:25

ความคิดเห็นที่ 6 ต่อ...            ส่วน Greengrass เขาคือ ผู้กำกับที่สร้างความระทึก และความน่าติดตามได้เก่งมาก สไตล์การถ่ายภาพแบบ hand-held การตัดต่ออันฉับไว รวมถึงจังหวะการเล่าเรื่อง ก็โดดเด่นและยอดเยี่ยม เรียกได้ว่ากำกับอารมณ์ผู้ชมได้อยู่หมัด ซึ่งผลงานที่ Top form จากการกำกับในสไตล์นี้ก็คือ The Bourne Ultimatum และหนังที่สร้างจากเหตุการณ์จริงอย่าง United 93            United 93 คือข้อพิสูจน์อย่างดีว่า อาวุธลับของ Greengrass คืออะไร เพราะกระทั่งหนังที่สร้างจากเรื่องจริง และผู้ชมทุกคนรู้ตอนจบอยู่แล้ว ยังเป็นความลุ้นระทึกได้มากขนาดนี้            เมื่อพิจารณาจากสไตล์ของทั้งคู่ ก็คงจะพบว่ารายละเอียดส่วนไหน ใครควรเป็นคนได้เครดิต            แต่ความขัดแย้งของทั้งคู่คืออะไร ผมเองก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ก็พอจะพบจุดขัดแย้งในสไตล์ของแต่ละคนอยู่บ้าง จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 13:07:03

ความคิดเห็นที่ 7 ต่อ...            Gilroy จะเน้นไปที่เรื่องราวความสมจริงมากกว่า Greengrass ดังนั้นบางฉากบางตอนจะไม่มีให้เห็นในหนังของ Gilroy            อย่างใน The Bourne Ultimatum ฉากที่ Bourne โดนระเบิดในระยะประชิด แต่ยังลุกขึ้นมาวิ่งได้สบายๆ หรือตอนที่ Bourne ขับรถตกจากที่สูง หรือถูกชนอัดยับ แต่ยังลุกขึ้นมาวิ่งได้ในแบบที่แทบจะไม่สะทกสะท้าน            รายละเอียดเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ Gilroy ชอบใจมากนัก            สำหรับ Gilroy สายลับเก่งกว่าคนทั่วไปได้ก็ต้องมีเหตุผลที่เพียงพอซึ่ง Gilroy เลือกการใช้ยามาเป็นสาเหตุใน The Bourne Legacy            หลายคนอาจบ่นว่า ทำไมนักฆ่าที่สู้กับ Cross ในฉากบ้านของ Dr. Shearing ถึงดูไม่เก่งกาจพอจะต่อกรกับ Cross ได้ นั่นก็เพราะทีมนี้ถูกส่งมาแค่ฆ่า Dr. Shearing ไม่ได้ถูกส่งมาสู้กับ Cross โดยตรง            หรือ LARX #3 (Louis Ozawa Changchien) ที่โดน Dr. Shearing ถีบตกมอเตอร์ไซค์ แล้วแน่นิ่งไป จนไม่ได้โชว์ลีลาพะบู๊กับ Cross เลยนั้น อาจไม่สาแก่ใจผู้ชมนัก            ฉากที่ชาวประมงมองไปข้างหลังคล้ายกับจะมีใครตามมานั้น ผมลุ้นเลยนะว่าอย่าให้ LARX #3 ลุกขึ้นมา เพราะถ้าลุกมาได้ก็ไม่ใช่คนแล้ว ล้มกลิ้งขนาดนั้น              (อาจมีคนสงสัยว่า แล้วไอ้ฉากมอเตอร์ไซค์ไถไปกับราวบันไดมันไม่เว่อร์ไปเหรอ สำหรับผมคิดว่า ถ้ามันถ่ายออกมาได้จริงโดยไม่ใช้ CG มันก็คงจะทำได้จริงหล่ะนะ  ) จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 13:08:22

ความคิดเห็นที่ 8 ต่อ...            หลายคนอาจจะถามว่า หนัง Action สายลับสไตล์นี้ จะต้องสมจริงขนาดไหน จะต้องสมจริงมากกว่านี้ไปอีกหรือ ทั้งๆที่ series นี้ก็สมจริงกว่าหนัง Action สายลับเรื่องอื่นๆอยู่แล้ว            สำหรับผม Series Jason Bourne เป็นหนังสายลับที่สมจริง แต่ถ้าเทียบกับหนังสายลับอื่นๆเช่น Syriana หรือ Tinker Tailor Soldier Spy แล้ว ความจริงจังและสไตล์ของหนังเป็นคนละเรื่องเลยทีเดียว เพราะ series นี้ถูกจัดอยู่ใน genre เดียวกับ series James Bond มากกว่า            Gilroy คงกำกับเรื่องนี้ได้ไม่เต็มที่มากนัก เพราะแน่นอนว่า franchise ที่มีมูลค่ามากขนาดนี้ ต้องถูก Studio เข้ามาแทรกแซงอยู่บ้าง หนังเลยออกมาไม่สุดสักทาง จะเน้นสไตล์ถนัดของตัวเองเต็มที่ก็ไม่ได้ จะขาย Action แบบ Greengrass ก็ขัดใจตัวเอง            มาตรฐานของฉาก Action การถ่ายทำ และดนตรีประกอบ ยังคงเอกลักษณ์ และอยู่ในสไตล์เดิม แต่เพลง Extreme Ways ของ Moby ในตอนจบ มาแบบไม่ถูกที่ถูกทางนัก            Jeremy Renner แบกหนังทั้งเรื่องได้แบบสบายๆ Renner สร้างตัวละคร Aaron Cross ที่แม้จะไม่ค่อยมีมิติความลึกทางอารมณ์มากนัก แต่ก็ทำให้ผู้ชมติดตามเอาใจช่วยได้สำเร็จ            ส่วน Rachel Weisz และ Edward Norton เป็นแค่ชื่อขายบน Poster มากกว่าจะมีบทบาทให้แสดงฝีมือในหนังมากนัก อย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็มอบการแสดงในระดับมาตรฐานของตัวเอง จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 13:09:20

ความคิดเห็นที่ 9 ต่อ...            หากพิจารณาในฐานะ series Jason Bourne หนังอยู่ในระดับเดียวกับ The Bourne Identity แต่ยังห่างไกลกับ The Bourne Ultimatum อยู่พอสมควร            หากพิจารณาในฐานะหนังของ Tony Gilroy สไตล์ของเขาไม่ได้โดดเด่น และเข้มข้นอย่างที่ควรจะเป็น            หากพิจารณาในฐานะหนังเรื่องหนึ่ง นี่คือหนัง Action ที่ทำออกมาได้มาตรฐาน และเป็นความบันเทิงในระดับหนึ่ง จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 13:10:02

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือมีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับหนังอย่างไรคุยกันได้ครับ แล้วก็ชวนโหวตว่า คุณชอบผลงานโดยรวมของใครมากกว่ากัน ระหว่าง Greengrass กับ Gilroy นับจากผลงานก่อนหน้าทุกเรื่องเลยครับ แนะนำให้ไปอ่านใน Blog ดีกว่าครับ ซึ่งมีการจัดรูปแบบและใช้สี น่าจะอ่านง่ายขึ้นเยอะครับ ที่สำคัญมีการให้คะแนนของผมด้วย เชิญตาม Link เลยครับ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=navagan&month=08-2012&date=17&group=2&gblog=106 ขอบคุณที่อ่านและแสดงความเห็นครับ   จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 13:12:25

ความคิดเห็นที่ 11 ผลงาน Tony Gilroy 2012 The Bourne Legacy (Director / screenplay / story) 2009 State of Play (screenplay) 2009 Duplicity (Director / written by) 2007 Michael Clayton (Director / written by) 2007 The Bourne Ultimatum (screen story / screenplay) 2004 The Bourne Supremacy (screenplay) 2002 The Bourne Identity (screenplay) 2000 Proof of Life (written by) 2000 Bait (written by) 1998 Armageddon (adaptation) 1997 The Devil's Advocate (screenplay) 1996 Extreme Measures (screenplay) แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 55 17:08:03 จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 13:21:54

ความคิดเห็นที่ 12 ผลงาน Paul Greengrass 2010 Green Zone (Director) 2007 The Bourne Ultimatum (Director) 2006 United 93 (Director / written by) 2004 The Bourne Supremacy (Director) 2002 Bloody Sunday (Director / written by) จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 13:22:45

ความคิดเห็นที่ 13 สารภาพว่าติดภาพเฮียแมตต์ แบบลบออกยากคะ บทภาคนี้ดูไม่เร้าใจเท่าที่ควร(คหสต) การตัดต่อยังทำได้ไม่น่าติดตามเท่า ภาคเดิมๆ จากคุณ : บ่าบี๋ เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 13:24:20

ความคิดเห็นที่ 14 ตอนก่อนที่จะเข้าไปดู ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาแนวเดียวกับกรีนกลาสหรอกครับ แล้วก็ไม่ได้หวังให้อยู่ในระดับ ultimatum ด้วย แค่ให้มันอยู่ที่ประมาณ identity ก็โอเค แต่สิ่งที่ผมขัดใจมีอยู่แค่ 2 เรื่องก็คือ 1. ดูสบายเกินไป ไม่กดดันไม่มีอะไรให้ลุ้น identity ยังรู้สึกดูลุ้นกว่า ผูกพันกับตัวละครมากกว่า น่าเอาใจช่วยมากกว่า 2. ฉาก action ตอนท้ายของเรื่องที่ดูเฉยมาก แค่เห็น larx no.3 ใส่ชุดนั้นวิ่งไล่ล่าก็ขัดใจแล้วครับ ทั้งที่ฉากตอนไปช่วยนางเอกที่บ้านผมชอบมากนะ ชอบที่เห็นพระเอกใช้ความสามารถส่วนตัว แต่ฉากสุดท้ายมันเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้เหมือนหนังคนละเรื่องเลยครับ ส่วนผลงานการกำกับนั้น ถ้าให้โหวต ผมชอบของกรีนกลาสมากกว่าครับ จากคุณ : ทามะกับปลาทอง เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 13:50:35

ความคิดเห็นที่ 15 The Bourne Legacy ผมว่าธรรมดามากแต่เข้าใจว่าต้องทำให้ฉีกออกมาเพราะคนติดกับเจสัน บอนด์ แต่การเล่าเรื่อง ชั้นเชิง ชิงไหวชิงพริบ ยังห่างกับภาคแรกมากๆ ผมดูภาคนี้เหมือนมิชชั่น อิมพอสสิเบิ้ลมากกว่า จากคุณ : อยากจะบินตามฝัน เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 14:22:55

ความคิดเห็นที่ 16 จริงๆ หนังบอร์นมันควรจะเป็น Greengrass+Gilroy มันถึงจะใช่ ดูจากภาค2กับ3ที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากๆ พอเหลือแค่ Gilroy ก็เป็นอย่างที่เห็น ขาดเสน่ห์ของบอร์น ในส่วนที่ Greengrass ทำเอาไว้ ซึ่งเป็นคนกำกับที่เก่งกาจในการเล่าเรื่องมากๆ มีชั้นเชิงมีจังหวะ ในขณะที่ Gilroy เป็นสไตล์เล่าไปเรื่อยๆ จากคุณ : nusfish เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 14:39:40

ความคิดเห็นที่ 17 ชอบงานของ Paul Greengrass เกือบทุกเรื่อง ตอนดู Greenzone เนี่ยกรี๊ดมาก นานๆ จะมีหนังกล้าตีแผ่กระบวนการสร้างข้อมูลทางทหารของอเมริกาทั้งที อยากเห็นงานใหม่ของเขามากๆ จากคุณ : jedi2543 เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 16:32:06

ความคิดเห็นที่ 18 The Grenzone ผมว่าเป็นงานที่ค่อนข้างเฉยๆ นะครับ แต่ก็โอเคอยู่ ส่วน series Jason Bourne เห็นด้วยกับคุณ nusfish ครับว่า Greengrass + Gilroy นี่ยอดเยี่ยมมาก เพราะผมค่อนข้างเฉยๆกับ The Bourne Identity ของ Doug Liman ครับ (ชอบสูสีกับ Legacy นี่แหล่ะ) ส่วนทีมงานใหม่ในฝันที่อยากให้มากำกับเรื่องนี้ก็คือ Michael Frost Beckner  คนเขียนบทจาก Spy Game หนังสายลับ ที่ตัวเอกปฏิบัติการณ์ในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง ภายในสำนักงานเท่านั้น ส่วนผู้กำกับต้อง Tony Scott ครับ Scott กำกับ Spy Game ได้ดีมาก และอย่าลืมนะครับว่าพวกฉากในห้อง control room ในเกือบทุกภาคของ series Jason Bourne นั้นต้องได้รับอิทธิพลมาจาก Enemy of the State ที่ Scott กำกับมาไม่มากก็น้อย แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 55 17:20:00 จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 17:19:00

ความคิดเห็นที่ 19 เขียนกระทู้ไปแล้ว แต่ตกไปไกล ขอเอามาตอบในนี้นะครับในฐานะแฟน Bourne :) ในฐานะแฟนเหนียวแน่นของ Bourne ทั้งสามภาค ผมค่อนข้างผิดหวังนะ!! ทำไมถึงผิดหวัง? เราต้องย้อนมาพิจารณากันก่อนว่าทำไมเราถึงชอบ Bourne สามภาคแรก ทั้งต่อเนื่อง สวยงาม หักเหลี่ยม เฉือนคม แบบไม่ 'เหนือ' มนุษย์นัก แต่แสดงการใช้ยุทธวิธีที่ฉลาดล้ำ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าดีเยี่ยม ใช้สมองมากกว่ากำลัง Bourne พูดได้หลายภาษา ปลอมแปลงตัวเองได้กลมกลืน หลบหนี ซ่อนตัวเก่ง จนเราเชื่อได้ว่า หากสายลับเก่งๆในโลกนี้มีจริงๆ คนนี้แหละน่าจะ 'ใช่' ประโยคนึงที่ผมชอบมากคือ ตอนที่นิคกี้บอกทีมของแพมว่า 'พวกเขาไม่สุ่ม' (They dont do random) เป็นความหมายในเชิงยำเกรงมาก ว่าทุกการกระทำของ Borune มีแผนและเป้าหมาย การจงใจให้เจอ การจงใจให้จับได้ ไม่มีทางที่จะทำได้ง่ายๆหากเขาไม่ยอมให้ทำได้ด้วยความตั้งใจของเขาเอง ซึ่งในหนังมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆซะด้วย!! ด้วยบทหนังที่เท่ห์และชาญฉลาด หนังสายลับแนวใหม่ (เมื่อหลายปีก่อน) จึงเข้าไปครองใจหลายๆคน รวมทั้งผมด้วย ชนิดเป็นหนึ่งในหนังไตรภาคที่ขึ้นหิ้งทีเดียว ซึ่งใน The Bourne Legacy ไม่มีอะไรแบบนี้เลย ไม่มีนะครับ หาไม่เจอจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นฉากไล่ล่าก็เดินซ้ำรอยสามภาคก่อนมากเกินไป แต่ไม่เร้าใจเท่าไหร่ การไล่ล่าในฟิลิปปินส์ดูโฉ่งฉ่าง ไม่ลุ้นเท่าที่ปารีส ไม่หนาแน่นเท่าที่โมร็อคโค ไม่ซับซ้อนแบบที่เยอรมัน และก็ไม่โหดโดนดักทางแบบที่รัสเซีย คือดูแล้วผมรู้สึกเฉยมากจริงๆ ประเด็นเรื่องการปรับจีโนมเพื่อเพิ่มสมรรถภาพก็ดูไม่สด ไม่ใหม่ และไม่เห็นผลนัก หนังค่อนข้างยืดเยื้อ ช่วงอลาสก้ายืดยาดมาก รู้ว่าจะโชว์สมรรถภาพ แต่ตรงไปตรงมาไปหน่อย รวมไปถึงการใส่นักฆ่าหน้าเอเชียที่บอกว่า โหดกว่า จงรักภักดีกว่า (โว้ว) แต่ไม่ยักจะเก็บนักฆ่าคนนี้ทั้งๆที่ตอนแรกก็ตั้งใจจะเก็บหมด ดูงงๆมึนๆไงไม่รู้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนจบก็ห้วนและง่ายเกินไปมากๆ ขาดชั้นเชิงอย่างหนัก โดยเฉพาะเพลง Extreme Way ผมว่า มันไม่เข้ากะเจเรมี่เลยจริงๆ มันเป็นเพลงของ Demon ของ Bourne ไปแล้ว น่าจะหาเพลงใหม่ไปเลยดีกว่า :P สรุปคือ สำหรับคนที่เคยดูภาคก่อนๆ ผมเชื่อว่าจะคอตกและผิดหวัง กลับบ้านเปิด DVD ไตรภาคเดิมจะพบว่าสนุกกว่ามากๆ (เปิดดูไปแล้ว hahaha) สำหรับคนที่ไม่เคยดูภาคก่อนๆน่าจะหลับๆ เบื่อๆ อาจจะพาลคิดว่าภาคก่อนหน้านี้ไม่สนุกก็ได้ สอบตกอย่างแรงในสายตาผม :( ม๊าววววววววววววววววววววว จากคุณ : แมวกักขฬะ เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 17:50:19

ความคิดเห็นที่ 20 ค่อนข้าง ๆ เห็นต่างกับคุณ navagan เรื่อง Spy Game นิดนึง คือสาระสำคัญของแผนช่วยเหลือตัวประกันมันอยู่ในช่วงท้ายของหนังเท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือมันเป็นการเล่าเรื่องแบรด พิทท์หมดเลย ผมเลยไม่เห็นความสุดยอดของการวางแผนจาก control room ส่วน Bourne Legacy ผมว่าเป็นงานที่ดีของ Gilroy ครับ เพียงแต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของตัวละครนำและต้องมาปูพื้นใหม่ในโลก Bourne คนเดิม แต่เท่านี้บทหนังก็ออกมาโอเคในเกณฑ์รับได้แล้วครับ รวมถึงฉากแอคชั่นก็มีให้ประทับใจกับฉากที่บ้านดร. เชียริ่ง เพียงแต่ถ้าเทียบกับฉากแอคชั่นในไตรภาคเดิมมันคงยังมีช่องว่างความห่างกันอยู่ เอาเข้าจริง ๆ Bourne ของเก่า บางฉากผมยังว่าคอมมานโดไม่มืออาชีพเลย เช่นภาคแรกบุกเข้าตัวอาคาร แต่ไม่มีใครสักคนเฝ้านอกอาคารเลย ปีนออกง่าย ๆ โล่ง ๆ อย่างนั้นเลย ภาคที่ชอบที่สุดของผมก็คือ Ultimatum ครับ น้อง ๆ Casino Royale เลย จากคุณ : Nutonline เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 20:29:23

ความคิดเห็นที่ 21 . สำหรับผลกการโหวตนี้ ตาดว่า คงเป็นอะไรที่ออกมาเอกฉันท์มากๆ ส่วนเรื่องหนัง คุณภาพ ต้องดูแล้วตัดสินกันเอง ส่วนตัวไม่ชอบ และกิลรอย ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะมาทำหนังที่ตลาดขนาดนี้ นอกจากไม่สามารถที่จะไปในทางใดทางหนึ่งได้สุดแล้ว เขายังไม่สามารถสร้าง "สไตล์" ที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับหนังเรื่องนีได้เลย (ไม่จำเป็นว่าต้องเหมือนที่กรีนกลาสทำหรอก แต่เขาก็ไม่สามารถทำให้หนังดูพิเศษขึ้นมาจากหนังแอ็คชันสายลับได้เลย) . จากคุณ : last_february เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 21:19:37

ความคิดเห็นที่ 22 ของแสดงความเห็นตามนี้นะคะ :) >>> ฉากแอคชั่นเลยไม่ใช่ปัญหาที่เรารู้สึก และมันเป็นการที่โทนี่ กิลรอยแสดงและถ่ายทอดความเจ๋ง ความฉลาดของหนังในแบบที่ไตรภาคแรกทำไม่ได้เลยต่างหาก ในความแตกต่างของบอร์นที่โทนี่กิลรอยกำกับ และไตรภาคเก่านั้น ส่งที่เราคิดคือความเฉียบคมของบท และการกำกับมันหายไปอย่างชัดเจน คือฉากแรกๆที่อลาสก้านี้มันน่าเบื่ออย่างชัดเจนมากอ่ะค่ะ เว้นเว้อ ถ้าเทียบกับภาคแรก กับการที่บอร์นพูดคุยกับprofessorแค่ไม่กี่ประโยค ที่ก็เข้าใจชีวิตของคนในโครงการแล้ว และหลังจากนั้นก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไรเลย >>> ตามที่คุณว่ามาเลยค่ะ ความสมจริงและโชว์ความฉลาดของบทในภาคนี้ เราพบว่ามันมีไม่เยอะเลย แบบว่าเกือบจะไม่มีด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับกลเม็ดต่างๆที่บอร์นภาคก่อนๆ สามารถสื่อให้เราเห็นได้ ว่าเทพ แบบที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถทำได้ถ้ามีสมองและสองมือ และไม่ต้องพึ่งพาgadgetอะไรมากมายเป็นยังไง แต่ในเลกาซี่นี้ ทุกอย่างดูจะราบรื่นเหลือเกิน จากการใช้วาจาและแค่ความสามารถการปลอมแปลงเอกสาร ขั้นเทพของแอรอน มันดูเป็น Deus ex Machina ในหนังที่เราว่าเป็นความมักง่ายของบทค่ะ (ภาคก่อนๆเจสัน บอร์นจะใช้พาสปอร์ทอย่างระมัดระวัง อีกอย่างคือ หนังใช้ประโยชน์ จากการที่เรื่องส่วนใหญ่ เกิดขึ้นในเชงเก้นท์ได้อย่างดี เพราะไม่ต้องมีวีซ่า 5555) >>> ประเด็นความสมจริง เช่น ในฉากจุดระเบิดที่คุณว่ามา เราว่ามันระยะห่างมันก็ครือๆกับฉากที่แอรอน รอดมาจากระเบิดที่ผูกกับหมาป่านะคะ ^^; เวอร์ไม่ต่างกันเลย หรือในส่วนของเรื่องยาปรับแต่งโครโมโซม เราว่าเป็นจุดด่อยของหนังเลยค่ะ เพราะมันดูแบบ...ไม่ใช่แล้วอ่ะ เพราะเราว่าความเก่งกาจจากฝึกฝน มันน่าเชื่อถือมากกว่ามุขการตัดแต่งพันธุกรรมค่ะ  มันดูเหมือนหลุดมาจาก หนังที่มีบรรยากาศไซไฟมากกว่าบอร์นอ่ะค่ะ ^^; อนึ่ง ภาคก่อนๆก็มีการอ้างถึงการใช้ยานะคะ แต่ถูกพูดถึงในแง่ของการระงับการปวดหัว หรือกล่อมประสาท ที่เป็นผลพ่วงจากการฝึกมากกว่า การรักษาสภาพหรือควบคุมผลของการแต่งโครโมโซม (ในกระทู้รีวิวเก่าเราพลาดเอง) นอกจากนี้ความสมจริงยิ่งหายไปอีกข้อ ที่เราตะหงิดคือ เท่ากับว่า การใช้ยามันไม่เสถียรเสียเลย คือถ้ามีคน มาทำอะไรที่หน่วยlogistics หรือเกิดเรื่องฉุกเฉินนี้เท่ากับว่า ส่งยาไม่ทัน/ยาขาด มีสิทธิเสี่ยงที่ภารกิจเสียหาย สายลับตายโห่งเลยนะ จะไม่อะไร ถ้าในบทไม่บอกไว้ว่าเป็นเอ้าท์คัมแนวอยู่โยงในภารกิจสอดแนมระยะยาว และเริ่มทำงานกันจริงๆแล้ว เพราะงั้นเรื่องยามันเลยยิ่งเป็นจุดอ่อนที่เราว่าใส่มา เพราะต้องการเพิ่มเนื้อหา แต่ไม่เม้คเซ้นอ่ะค่ะ >>> ในส่วนที่เราไม่ชอบใจในตัว LARXเบอร์สาม ไม่ใช่ที่ว่าพลาดท่าและตายง่ายเกินไปค่ะ แต่เพราะมันไม่ได้ โชว์ความฉลาดและศักยภาพในฐานะนักฆ่าของโครงการนี้ต่างหาก คือพ่อโผล่มาสิ่งที่ทำเลยคือไล่ตามแบบ.... ไล่ตามอ่ะ วิ่งๆๆ ซิ่งๆๆ ดูไม่มีแผน ไม่มีการใช้ความคิดอะไรเลย เหมือนใส่มาแค่ให้ต้องมีฉากไล่ล่าที่เหมือน เป็นฉากจำเป็นของภาคมากกว่า แต่ไม่เวิร์คเลย ยังคงความเห็นเดิมค่ะ สำหรับเรา ภาคนี้โทนี่ กิลรอยยังไม่ผ่านค่ะ ^^; จากคุณ : ปืนติดพิษ เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 23:10:24

ความคิดเห็นที่ 23 ^ ^ ^ เขียนได้ถูกใจมากเลย ปล. จากความเห็นของคุณ navagan เรื่อง ทีมงานใหม่และผู้กำกับ คงจะเป็นฝันสำหรับ คุณ และพวกเราไปซะแล้ว เมื่อ โทนี่ สก็อต ได้ไปสู่สุขติ... อาลัยผู้กำกับที่ทำหนังแอ็คชัน ระทึกขวัญได้สนุกสุดๆ คนหนึ่ง . จากคุณ : last_february เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 19:03:50

ความคิดเห็นที่ 24 -ขำที่สุดก็คือ--ตอนหนังจบเดินออกมา มีแฟนหนังคนหนึ่งพึมพำมาว่า " แล้วมันยังไงกันเนี่ย"----ผมละอดขำไม่ได้ เลยแจมเขาไปว่า มันก็จะเอาสตางค์เรา ในเรื่องต่อไปไง????? คนดูหัวเราะกันเป้นแถว------ขำจริงๆ ก็หนังมันเล่นจบดื้อๆ คนดูต้องหันมามองหน้ากันแล้วร้องว่า อะไรกันวะ?????5555555555 จากคุณ : chongcob เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 20:11:16

ความคิดเห็นที่ 25 ผมคงเป็นคนกลุ่มน้อย ผมชอบภาค Legacy ครับ สนุกดี ส่วนภาคที่แล้วขอยอมรับว่าไม่ปลื้ม แมท เดมอน หน้าแกไม่เหมาะกับบทแบบนี้อ่ะครับ ในความคิดของผม ซึ่งทำให้ดูยังไงก็ไม่อิน ไม่ได้อารมณ์ จากคุณ : theallblue เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 00:27:03

ความคิดเห็นที่ 26 ความเห็นส่วนตัว ชอบ Bourne ของแมทมากกว่ามากๆ ดูทุกคนฉลาด เก่ง เกินมนุษย์มนา กันทุกคน Legacy อินักฆ่าที่มาจากประเทศไทยดูไม่น่าเกรงกลัวเรยอ่ะ นั่งรอฉากตื่นเต้นอยู่นานมาก แล้วสุดท้ายไม่มี มาโผล่อีกทีบนเรือจบซะแล้ว เราก็มึนๆอึนๆ เดินออกมา หนังมันไม่มีไคลแมกซ์นะคะ มันไม่เข้มข้นเหมือน 3 ภาคแรกอ่ะ แต่นักแสดงภาคนี้ก็โอเคนะคะ เพียงแต่อิฉันว่าบทอ่ะมันอ่อนๆ ไปอ่ะ จากคุณ : fanstevie g เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 20:04:28

ความคิดเห็นที่ 27 เอ้า เป็นเอกฉันท์ ปิดโหวต จากคุณ : navagan เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 21:47:21