Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Review: "ชัมบาลา"(Shambhala) ...เวลาของชีวิตและความรู้สึกผิดที่ฝังใจ ติดต่อทีมงาน

ได้มีโอกาสไปดู "ชัมบาลา"(Shambhala) เลยลองเขียนรีวิวมาฝากกันอีกครั้งนะคะ เขียนตามความคิดและความรู้สึกส่วนตัวค่ะ ยาวทีเดียว ไม่ Spoil เนื้อเรื่องแต่มีการพูดถึงสิ่งที่ได้จากเรื่อง ถ้าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยยังไง ก็พูดคุยกันได้เลยนะคะ ^^


คัดลอกมาจาก blog: http://wp.me/p26iTc-40


-------------------




ความรู้สึกแรกที่หลายคนมีต่อภาพยนตร์เรื่อง “ชัมบาลา” คือ “เป็นหนังคู่เกย์แบบ Brokeback Mountain รึเปล่าวะ?” … เอิ่มมม ดิฉันอยากถามเหลือเกินค่ะ ว่ามนุษย์เหล่านั้นเคยดูหนังกี่เรื่องกันในชีวิต ถึงได้มีโลกทัศน์แคบๆ แบบนี้ แล้วในเรื่องย่อกับตัวอย่างหนังก็บอกออกจะชัดว่าผู้ชาย 2 คนนี้เล่นเป็นพี่น้องกันนะคะโว้ย หัดอ่าน หัดดูบ้างนะคะโว้ย!


ส่วนตัวแล้วความรู้สึกแรกที่เกิดก่อนได้ชมภาพยนตร์เรื่อง “ชัมบาลา” ก็ึคือ หนังเรื่องนี้มี 2 ดาราหนุ่มสุดเซอร์ชื่อดังแห่งยุคอย่าง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ และอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม มาประชันบทบาทกันอย่างนี้ รับรองได้ว่าต้องดึงดูดแฟนคลับมาได้เยอะทีเดียว เลยแอบหวังลึกๆ ให้หนังออกมาอินดี้ๆ เลย แฟนคลับที่หวังจะมาดูแต่ความหล่อดาราจะได้หงายเงิบกัน ประหนึ่งดูพ่อร็อบ Robert Pattinson ใน “Cosmopolis” (ช่วงนี้ดิฉันโหด อยากเห็นคนอื่นทรมาน 55+) … แต่ก็ผิดหวังเบาๆ เพราะหนังไม่ได้อินดี้จ๋า แต่ก็ไม่ได้แมสเสียทีเดียว


“ชัมบาลา” บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางไปยังดินแดนที่เชื่อว่าอยู่ใกล้สวรรค์ที่สุดของโลก ณ เขตการปกครองพิเศษทิเบตของ “วุฒิ” (แสดงโดย ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ผู้ศรัทธาในความรัก พร้อมทำทุกอย่างเพื่อเติมเต็มความฝันและความหวังของ ”น้ำ” (แสดงโดย นลินทิพย์ เพิ่มภัทรสกุล) แฟนสาวที่กำลังป่วย แต่หายนะก็บังเกิดเมื่อผู้เดียวที่อาสาร่วมทริปกับเขาด้วยคือ ”ทิืน” (แสดงโดย อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) พี่ชายตัวแสบ ที่ถูกความหลังอันปวดร้าวเกี่ยวกับเจน (แสดงโดย โอซา แวง) เกาะกินจิตใจและสูญเสียศรัทธาต่อทุกสิ่งอย่างในชีวิต รวมถึงตัวของเขาเอง


ในตอนต้นหนังอาจดำเนินเรื่องช้าเล็กน้อย แต่ก็เป็นการปูเนื้อเรื่องได้ดีที่ทำให้คนดูได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน และระหว่างการเดินทาง เราก็จะได้ซึมซับวัฒนธรรมที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธาของชาวทิเบต พร้อมภาพสวยๆ ของดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นหลังคาโลกแห่งนี้อีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ทำได้ดีทีเดียวและได้เรียนรู้หลายอย่างไปพร้อมกับตัวละครด้วย (ตอนแรกแอบกลัวว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นเหมือนเรื่อง “The Melodrama” เอ้ย! “The Melody” ที่เน้นภาพงาม แต่บทง่าว หึๆ) … แต่พอเรื่องดำเนินไป ก็จะยิ่งเข้มข้นขึ้น เมื่อแต่ละปมในใจแต่ละคนค่อยๆ คลี่คลายออกมา และนำไปสู่บทสรุปสุดท้ายในตอนจบที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในใจเรามากจริงๆ และเดินออกจากโรงหนังด้วยความรู้สึกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก


ส่วนตัวเป็นคนชอบเดินทาง ชอบสังเกต และเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศต่างๆ อยู่แล้ว เลยเพลิดเพลินกับภาพบรรยากาศแปลกใหม่ที่หนังนำเสนออยู่ตลอด ไม่เบื่อ ไม่ง่วงเลย บางอย่างที่เห็นในหนังก็มาเชื่อมโยงกับประสบการณ์การเดินทางของเราได้ (เช่น กงล้อมนตรา ซึ่งเราไปเจอในวัดที่สิงคโปร์ ตอนนั้นไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกัน เห็นคนก่อนหน้าเดินหมุนๆ เลยเล่นบ้าง สรุปว่าทำถูกด้วยวุ้ย เริ่ด!) และหลังหนังจบก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนที่เคยไปสิกขิม ว่าเขาก็เคยเห็นธงมนต์ แถมเคยกินเนื้อจามรีด้วย โอ้วววว เปรี้ยวจริงๆ เพื่อนฉัน ก็เป็นอะไรที่สนุกดี และรู้สึกได้ว่าทีมเขียนบท (ซึ่งก็คือตัวผู้กำกับเองนั่นแหละ) ค้นคว้าข้อมูลมาดีทีเดียว และนำเสนอออกมาได้อย่างมีเสน่ห์


ด้านภาพ อย่างที่เขียนไปว่าภาพสวย ก็ยังคงยืนยันตามนั้น ส่วนหนึ่งเพราะธรรมชาติตรงนั้นงดงามอยู่แล้ว พอมารวมกับมุมมองดีๆ ก็เสริมให้ภาพเด่นขึ้นอีกเยอะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกฉากเป๊ะ ภาพเริ่ด เพอร์เฟคไปทุกช็อต มันก็ผสมๆ กันไปภาพสวยเว่อร์บ้าง ธรรมดาบ้าง อันนี้แอบคิดเองว่าคงเป็่นข้อจำกัดในการทำงานด้วย หรือไม่ก็ต้องการสื่อถึงการเดินทางโดยทั่วไป ที่เราก็ไม่ได้โชคดีเจอแต่อะไรสวยๆ งามๆ หรอก ก็ต้องเจออะไรธรรมดาๆ บ้าง ฝนตกบ้าง เป็นปกติของชีวิตมนุษย์ … ถ้าจะไม่ปกติ ก็คงยกให้เรื่อง visual effect ของเรื่องที่เก๋ไก๋ ล้ำสมัยทีเดียว ซึ่งก็ดูเหมาะสมดีกับชื่อสตูดิโอที่รับทำ (“Zurreal”) แต่บางทีมันก็ทำให้รู้สึกว่าอารมณ์โดดไปหน่อย ไม่รู้จะ Realistic ดี หรือ Surreal ดี


ด้านเพลง รู้สึกเหมือนทั้งเรื่องจะมีแค่ 3 เพลง คือเพลงที่โปรโมต “ประโยคบอกเล่า” ของ Greasy Cafe (ตอนที่เพลงนี้ขึ้นในเรื่อง จี๊ดโคตร) เพลงของ Singular และเพลงของ Slot Machine ซึ่ง 2 เพลงหลังนี่เปิดบ่อยมาก ซ้ำมาก วนมาก จนแทบจะร้องประกอบเสียงดนตรีแล้วว่า “I say goodbye” บ๊ายบาย พอเหอะ เลิกเปิดเพลงวนให้เจ้ฟังได้ม้ายยยยย~   แต่ก็แอบรู้สึกว่าคิดถูกแหละที่ใช้เพลงพวกนี้ เพราะทำให้หนังไม่ดูอินดี้จนเกินไป และกระตุ้นคนดูไม่ให้ง่วงไปก่อน (เพราะกำลังร้องฮัมเพลงที่เปิดซ้ำๆ อยู่นั่นเอง)  …  อ้อ รู้สึกว่าเสียงพากย์ของตัวละครตอนต้นเรื่องมันแปลกมากทีเดียว เสียงพูดไม่ตรงกับปากเลย บางทีก็ไม่ได้พูดคำนั้นด้วยซ้ำไป อันนี้ไม่แน่ใจว่าตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นรึเปล่า


ในเรื่องของบท ส่วนตัวรู้สึกว่าหลายมุกก็ไม่เวิร์คเท่าไหร่ เหมือนเล่นแล้วผ่านไป แล้วมี Tie-in ที่โจ่งแจ้งมาหลายครั้งทีเดียว แต่อันนี้ให้อภัย เพราะหนังต้องการทุนไปถ่ายทำ (ดิฉันก็ใจดีนะเนี่ย) … แต่สิ่งที่พีคสุดๆ คือเส้นเรื่องหลัก ชอบมากกกกกกกกก หนังไม่ได้จมอยู่แค่กับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กี่ปี กี่หน แต่ยังลงลึกไปถึงสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญชีวิต อย่าง ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ทำไมคนเราต้องห่างกันก่อนถึงจะคิดถึงกันได้ ทำไมคนเราไม่พูดบอกกันตรงๆ เวลารู้สึกอะไร ทำไมคนเราทำผิดแล้วถึงไม่กล้าสารภาพ เราจะทำยังไงที่จะขจัดความรู้สึกผิดต่างๆ ที่ฝังลึกในจิตใจ ความรักหรือความศรัทธาจะเยียวยาเราได้ไหม เราจะให้อภัยคนที่ทำผิดต่อเราหรือตัวเราเองได้รึเปล่า  และเราจะใช้ชีวิตยังไงให้คุ้มค่ากับเวลาที่เหลืออยู่


นอกจากบทดีแล้ว นักแสดงก็เป็นอีกจุดพีคของ “ชัมบาลา” โดยเฉพาะตัวเดินเรื่องหลักอย่าง อนันดา และซันนี่ ที่ผู้ชมจะได้เห็นทั้งคู่แบบสมจริงมากๆ ไม่ต้องมาแต่งหน้าหนา เก๊กหล่อ แต่งตัวเนี้ยบอะไร … อย่างอนันดา ผลงานการแสดงมีมากมายทั้งหนังกระแสหลัก และอินดี้ ซึ่งคุณพี่บักจ่อยก็ทำได้ดีทุกเรื่อง และมาเรื่องนี้ยิ่งเริ่ด สุดยอดจริงๆ ทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวละครตัวนี้ และเชื่อทุกการกระทำ การตัดสินใจของเขา (ฉากจบแสดงได้ดีจริงๆ อยากมอบรางวัลให้มาก) … ทางด้านของ ซันนี่ ที่มาเล่นหนังนอกค่ายเป็นครั้งแรกก็ทำให้เราทึ่งเหมือนกัน ถ้าบทบาทของ “จอน” ใน “รัก 7 ปี ดี 7 หน” เป็นการท้าทายสมรรถภาพทางด้านร่างกาย บท “วุฒิ” ใน “ชัมบาลา” ก็เป็นการท้าทายความสามารถในฐานะนักแสดงมืออาชีพที่มีคุณภาพได้เป็นอย่างดี เราจะได้เห็นมุมมองแปลกใหม่จากผู้ชายคนนี้มากมายผ่านหลากหลายซีนที่เขาไม่เคยเล่นที่ไหนมาก่อน (เก็บไว้ดูในโรงแล้วกันนะ คุ้มค่าจริงๆ กับฉากนั้น) อยากบอกพี่ซันนี่จริงๆ ว่าพี่ตัดสินใจถูกแล้วที่เล่นหนังเรื่องนี้ และได้ก้าวผ่านอะไรมากมายจริงๆ จนมาอยู่ถึงจุดนี้ได้ นับถือคุณพี่มากค่ะ


สุดท้าย อยากขอบคุณพี่ปี๊ด ผู้กำกับ ที่ต้องใช้เวลา 10 ปีกว่าจะได้ทำหนังเรื่องแรกในชีวิต รู้สึกได้เลยว่าพี่ทุ่มเทให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้มากๆ และนับถือความกล้าในการทำหนังที่แตกต่างออกไปจากกระแสหลักตอนนี้





:: สรุป ::
ทั้งๆ ที่ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่หลังจากดูหนังเรื่องนี้ ได้อะไรกลับมามาก เป็นหนังที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในใจจริงๆ … ตอนนี้ก็อยากเดินทางอีกแล้ว แล้วสักวันเราจะเจอกันนะ “ชัมบาลา”




แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 55 18:36:35

แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 55 15:12:53

 
 

จากคุณ : meanbrat
เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 55 14:27:22




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com