Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
'มิน – พีชญา' นาง(เอก)ลั้ลลา ติดต่อทีมงาน

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000104092


ลาจอไปแล้วแต่กระแสของ 'ปิ่นอนงค์' ละครหลังข่าวทางสถานีโทรทัศน์สีช่อง 7 นำแสดงโดย 'มิน - พีชญา วัฒนามนตรี'
หญิงสาวผู้กำลังทะยานสู่ตำแหน่งนางเอกอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ก็ยังคงถูกพูดถึงอย่างฝุ่นตลบอบอวล ถ่ายทอดอารมณ์ส่งผ่านความรู้สึกถึงผู้ชมได้ดีเสียขนาดนี้ ไม่รัก..ไม่ได้แล้ว!
     
      คุ้นตากันดีกับบทบาท 'นางเอกจอมดราม่า' มาจากผลงานละครหลายๆ เรื่อง บอกเลยว่าลุคนางเอกเจ้าน้ำตา เรียบร้อย แสนดี ขอให้หยุดไว้แค่ในละคร
เพราะในชีวิตจริงอาจจินตนาการไม่ออกเลยนอกจากความสวย เธอยังเป็นสาวอารมณ์ดี สดใสร่าเริง ขี้เล่น ยิ่งได้อยู่ใกล้ๆ รับรองอาจหลงเสน่ห์เจ้าของดวงตากลมโดยไม่รู้ตัวเชียวละ
     
      แสงแดดอ่อนๆ สลับสายฝนโปรยปรายรดพรมลงบนร่างบางของหญิงสาวเบื้องหน้าเจ้าของรอยยิ้มบางๆ แน่นอนจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนางเอกแสนสวยของเรานั้นเอง
โล่ดแล่นไปในโลกส่วนตัวของเธอไปพร้อมๆ กัน
     

      **ช่วงสั้นๆ ในวงการบันเทิง**

      จัดเป็นอีกหนึ่งนางเอกสาวที่เติบโตมาจากเวทีประกวด มิสทีนไทยแลนด์ ปี 2006 ถึงแม้เธอจะพลาดตำแหน่งชนะเลิศแต่ก็ชนะใจกรรมการรวบถึง 3 รางวัล
ได้แก่ รางวัลรองชนะเลิศ รางวัลขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน และมิสไอโมบาย
     
      บอกได้เต็มปากเลยว่าครั้งนั้น เป็นการเข้าร่วมประกวดแบบไม่ได้ตั้งใจเสียด้วยซ้ำ เพราะทางทีมงานดันเข้ามาเห็นดาวดวงน้อยฉายแสงอยู่ในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น(ศึกษาศาสตร์)
งานนี้ก็เลยใช้ลูกตื้อเข้าทางคุณแม่จนในที่สุดเธอก็ยอมเข้าประกวด
     
      6 ปีในวงการบันเทิง เป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กสาวต่างจังหวัดที่เข้ามาเติบโตในวงการย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
     
      “มินจากเด็กธรรมดาคนหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็เจออะไรแบบนี้ มินว่ามันเป็นอะไรที่แปลกใหม่ ไม่คาดฝัน แต่พอโอกาสมันเข้ามาถึงเราก็ไขว่คว้าเอาไว้ แล้วก็พยายามทำให้มันดีที่สุด”
     
      ขณะเดียวกันผู้ชมก็ได้เห็นบทบาทการแสดงของเธออย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่ก็จะได้รับบทเป็นนางเอกแนวดราม่าทั้งนั้น
ลองถามเจ้าตัวกันหน่อยว่างานนี้ให้คะแนนการแสดงเต็มสิบให้ตัวเองเท่าไหร่
     
      “6 คะแนนะคะ เพราะมินก็รู้สึกว่าเพิ่งก้าวเข้ามาในวงการไม่นานมาก อาจไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่แต่ก็ไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่ เรียกกว่าเป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโตมากกว่า กำลังศึกษาและพัฒนาฝีมือ”
     
      ดูเหมือนว่าผลงานล่าสุดละครเรื่องปิ่นอนงค์ จะเป็นเรื่องที่ทำให้เธอดังเป็นพลุแตกขึ้นมา เพราะว่าตอนนี้ไปไหนมาไหนก็จะมีแต่คนมารุมเรียกว่า ปิ่นอนงค์
ทางด้านคนดูหากมีโอกาสชมละครเรื่องนี้ก็จะพบว่าในเรื่องนี้มีฉากเลิฟซีนให้ได้เห็นกันเยอะมาก ซึ่งมินบอกกับทีมงานว่าทางบ้านก็รู้สึกเป็นห่วง แต่ทุกคนก็เข้าใจว่าเป็นงาน
     
      “ในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง มินก็ถือว่าตอนนี้ละครไทยมันก็พัฒนาไปไม่แพ้ละครเกาหลี หรือว่าซีรีย์ฝรั่ง มินว่าตอนนี้ละครไทยมันเน้นความรู้สึกมากขึ้น เราเล่นด้วยความรู้สึกจริงๆ
     
      “สมมุติว่าบทมาอย่างไรเราก็เล่นไปตามนั้น มินมีความรู้สึกว่าสำหรับมิน นักแสดงคือคนที่ต้องสวมคาแรคเตอร์นั้นและเป็นตัวนั้นจริงๆ
คือไม่ได้มองว่าเขาจะต้องจูบจริง หรือต้องเลิฟซีน คือถ้าคุณรับไม่ได้ว่ามันจะต้องเล่นฉากแสดงความรักก็ไม่รับตั้งแต่แรกดีกว่า เพราะว่าการที่คุณจะต้องเป็นนักแสดงคนหนึ่งคุณต้องเป็นเขาให้ได้จริงๆ
สำหรับมินมันก็เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่สื่ออกมาให้เห็นของพระเอกนางเอก มันเป็นอารมณ์ที่สื่อออกมาในฉากหนึ่งของละคร”
     
      แม้ไม่เคยเรียนการแสดง แต่ก็ใช้วิธีเรียนรู้จากผู้กำกับและนักแสดงในกองถ่ายฯ อีกอย่างการที่มีที่ยืนในวงการส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเมตตาของทางผู้ใหญ่ด้วย
มินเชื่อว่าบทบาทที่ผู้ใหญ่ป้อนให้นั้นผ่านการพิจารณาถึงความเหมาะสมแล้ว
     
      “มินไม่เคยปฏิเสธละครแม้แต่เรื่องเดียว เพราะมินรู้สึกว่าถ้าช่องเลือกให้เราลงละครเรื่องไหนเรื่องนั้นย่อมเหมาะกับเราแล้ว เพราะว่าช่องต้องมั่นใจแล้วว่าถ้าเราเล่นเป็นตัวนี้ได้
สำหรับมินในฐานะนักแสดงมินก็รู้สึกว่าอยากเล่นทุกบท อยากเป็นให้ได้ทุกตัว และรู้สึกว่าละครทุกเรื่องที่มินเล่นมันท้ายทาย แต่ละตัวที่สร้างขึ้นมามันเริ่มศูนย์ใหม่หมดเลยนะ”
     
      มิน ค่อยๆ เล่าถึงความประทับต่อการแสดง “นักแสดงนั้นโชคดีอย่างหนึ่งคือเวลาเล่นละครเรื่องหนึ่งเหมือนเกิดใหม่ 1 ชีวิต เพราะว่าเล่นแต่ละตัวทุกคนจะมีแบ็กกราวน์ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน
เหตุการณ์ชีวิตไม่เหมือนกันซึ่งเหตุการณ์ในแต่ละตัวเป็นเรื่องราวที่แต่ละตัวได้เรียนรู้ ซึ่งเราก็ได้สวมบทเป็นเขาและเราก็เข้าใจความรู้สึกเขา สมมุติถ้าเราแสดงออกแบบนี้ผลที่เราจะได้รับก็คือแบบนี้
     
      “เหมือนกับเราอ่านนิทานเรื่องหนึ่ง สอนตัวเราเอง สอนคนที่ดูละครเรื่องนี้ด้วย สิ่งที่เขาดูและได้จากละครเรื่องนี้คืออะไร
เราก็จะได้เรียนรู้ชีวิตของแต่ละคนว่าชีวิตเราเกิดมามันมีความคิดที่ไม่เหมือนกัน ทุกคนมีความคิดแตกต่างกันเพราะมีแบ็กกราวน์ชีวิตที่ต่าง”
     
      การพัฒนาตัวเองอย่างหนึ่งคือ ต้องกดดันตัวเองตลอด บอกตัวเองเสมอว่าเราไม่เก่งแต่เราต้องทำให้ได้ เพราะคนอื่นทำได้เราต้องทำให้ได้ การที่เราบอกตัวเองแบบนี้มันเป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ


     
     ** ลูกสาวคนเล็กของ วัฒนามนตรี **

      เจ้าของรอยยิ้มพริ้มใจ เผยถึงตัวเองว่าเป็นคนคุยสนุก หัวเราะง่าย ยิ้มง่าย แต่กระนั่นก็มีข้อยกเว้นเวลาง่วงนอน อีกอย่างโดยเฉพาะเวลาอยู่กับครอบครัวเธอจะกลายเป็นเด็กขี้อ้อนเอามากๆ
     
      “ยกเว้นเวลาง่วงนอนมินจะเหมือนเด็กมาก เหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็ก มินจะติดป๊ากับแม่มากจะขี้อ้อนเพราะมินเป้นลูกสาวคนเล็กอยากได้อะไรก็จะอ้อนๆๆ
พอถึงเวลาง่วงนอนมินก็จะเหมือนเด็ก ตื่นขึ้นมาแล้วอื้ม..ไม่พูดไม่จา ไม่รู้เรื่อง เวลานอนก็จะชอบซุก เป็นเด็กขาดความอบอุ่น ชอบซุก ชอบมุดเหมือนลูกหมา แม่มินก็จะบ่นว่าเกะกะ(หัวเราะ)”
     
     

ถึงชีวิตจริงจะไม่ดราม่าเหมือนในละครที่เธอแสดง แต่จะว่าไปสาวน้อยผู้นี้ก็เจ้าน้ำตาไม่ใช่เล่น
     
      “มินเป็นคนขี้แยตอนเด็กๆ เพราะว่าพี่ชายมินชอบแกล้ง แกล้งทุกวัน และมินก็แพ้เกือบทุกครั้ง เอาเป็นว่าถ้ารบกัน 100 ครั้ง มินก็แพ้ 99 ครั้ง”
     
      พี่ชายสุดหล่อห่างกับมิน 4 ปี ถึงจะชอบแกล้งน้องสาวอย่างไร แต่ลึกๆ ก็ทั้งรักทั้งหวงเพียงแต่ไม่แสดงออกมาให้รู้
     
      “เรารักกันแบบเพื่อนมากกว่า จะไม่เป็นพี่ชายที่แบบว่าออกมาหวงกัน พี่ชายมินปากแข็งมาก จะไม่บอกรัก ไม่ออกมาปกป้อง
แต่สมมุติมีหนุ่มๆ โทรมาที่บ้าน ก็แอบรับโทรศัพท์แล้วบอกไม่อยู่ อาบน้ำอยู่ อะไรแบบนี้แล้วก็วางสาย แนวหวงแต่ไม่พูดรักนะแต่ไม่บอก”
     
      ด้วยความที่สนิทสนมกับพี่ชายมาตั้งแต่เด็กๆ มินก็ติดนิสัยมาจากพี่ชายไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องการเล่นกีฬาที่เขาเป็นต้นแบบของเธอเลย
     
      “เพราะตอนเด็กๆ มินติดพี่ชายมาก คือโตมาเราก็จะเป็นตัวของตัวเองเพราะเราเริ่มซน แต่วัยที่เราเด็กมากน่าจะอนุบาลติดพี่ชายมาก
ถ้าพี่ชายไม่ทำอะไรไม่ไปไหนจะไม่ทำตาม แต่งตัวอย่างไรก็แต่งตัวตาม พี่ชายเล่นกีฬามินก็เล่นกีฬา..นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมมินชอบเล่นกีฬามาก
เพราะว่าติดมาตั้งแต่เด็ก พี่ชายมินก็เป็นนักกีฬาโรงเรียน เราโตมาแบบเด็กผู้ชาย
     
      “มินเป็นเด็กที่เวลาเล่นกีฬาแล้วล้มจะไม่ร้อง แต่จะลุกขึ้นมาใหม่หน้าตาเฉยมาก บ้านมินเหมือนโตมาแบบผู้ชายร้องไห้ไปก็เท่านั้น ไม่มีใครโอ๋(หัวเราะ)
เราก็เหมือนแบบต้องเข้มแข็งห้ามร้องไห้(ทำน้ำเสียงสะอื้น) แต่ว่าอยู่กับแม่เราจะรู้สึกว่าร้องไห้ได้ปลอดภัย”
     
      ส่วนมากลูกสาวมักจะสนิทกับผู้เป็นแม่ แต่มินเล่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่าสนิทกับคุณพ่อ แต่ก็ยังแอบหยดว่ารักทั้งสองท่านเท่าๆ กัน
     
      “สนิทกับคุณพ่อคะ จริงๆ มินไปชอปปิ้งทำกิจกรรมกับคุณแม่บ่อยมาก แต่แปลกที่มินมีอะไรก็คุยแต่กับคุณพ่อ ไม่ว่าจะเรื่องงานเรื่องอะไร มินก็จะปรึกษากับคุณพ่อ
เพราะรู้สึกว่าท่านมีทางออกให้เสมอ จริงๆ เราก็รักทั้งคู่แหละแต่ว่าเรื่องงานจะคุยกับคุณพ่อเพราะว่านิสัยคล้ายกัน คุณแม่จะเป็นคนหวานๆ เขาก็เป็นเวิร์กกิ้งวูแมนนะ
แต่ว่ามุมมองเราจะไม่ค่อยเหมือนกัน มินกับคุณพ่อจะเป็นคนตรง แต่ถ้ามินพูดตรงๆ กับคุณแม่ก็จะดุ งอน (หัวเราะ) อยู่กับแม่ส่วนใหญ่จะอ้อนมากกว่าไม่ค่อยพูดเรื่องงานแม่จะเซ็นเซอร์ทีฟ”
     
      พิจารณาดูหญิงสาวผู้นี้เป็นส่วนประกอบที่สมบูรณ์ ได้รับการเติมเต็มด้วยความรักความห่วงใยจากครอบครัววัฒนามนตรีจริงๆ มินเล่าด้วยแววตาเปร่งประกายเต็มไปด้วยความสุขทุกครั้งที่กล่าวถึงครอบครัว
     
      “สิ่งที่ได้จากคุณแม่ ความอ่อนหวานเหมือนผู้หญิงที่อาจจะได้มา(หัวเราะ) คือคุณแม่จะเป็นคนที่อ่อนหวานมาก แต่เป็นคุณแม่ที่ไม่เคยละหน้าที่ความเป็นแม่เลย
ตื่นเช้ามาต้องทำกับข้าวให้ลูกแล้วก็ดูแลลูกไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย เป็นคนมีเสน่ห์ แม่ชอบยิ้ม..ยิ้มแล้วมีเสน่ห์มาก มินรักรอยยิ้มของแม่มาก มินชอบดูแม่ยิ้มชอบเห็นคุณแม่หัวเราะ
     
      “ส่วนคุณพ่อเป็นคนขยันอดทนและมีความตั้งใจสูงมาก ซึ่งตัวมินเองรู้ว่ามินทำอะไรต้องทำให้ได้ มินมีความพยายามสูงมากในการทำอะไร รู้สึกว่ามินน่าจะเป็นคนทำอะไรจริงจังเหมือนคุณพ่อเป็นคนตรงๆ”
     
      และความที่เป็นครอบครัวคนจีน ทางบ้านจึงมีการปลูกฝังในเรื่องรักพวกพ้องครอบครัว หากใครเดือดรอนก็ยยื่นมือเข้าช่วยแต่อย่าให้เบียดเบียนตัวเอง
     
      “คุณพ่อจะปลูกฝังเรื่องการรักพี่น้อง รักครอบครัว รักตัวเอง ความกตัญญูที่ต้องมีให้ครอบครัวเสมอ ไม่ว่าพี่น้อเราจะเดือดร้อนอย่างไรต้องช่วยเหลือ
เพราะเราเกิดมาตระกูลนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือครอบครัว ญาติพี่น้องต้องมาก่อน ต้องรักเพื่อน พูดคำไหนคำนั้นสอนให้เป็นคนมีน้ำใจต่อคนรอบข้างเสมอ สอนพื้นฐานเป็นครอบครัวคนจีนมีความอดทน ขยัน”


     
     ** ทัศนคติที่ดี..เริ่มมากจากครอบครัวที่ดี **

      มินยืนยันว่าด้วยความที่ซนมาตั้งแต่เด็ก และค่อนข้างจะเป็นเด็กดื้อเอาเรื่องเสียด้วย เวลาจะทำอะไรจึงไม่ค่อยฟังใครทั้งนั้น
เธอจะเชื่อมั่นถือมั่นในความคิดตัวเองในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง ยิ่งถ้าไม่มีเหตุผลมาลบล้างความเชื่ออย่างหวังว่ามินจะหยุด
     
      “คิดอะไรทำอะไรจะไม่มีใครห้ามได้ เพราะรู้สึกว่าถ้าเรามั่นใจในเหตุผลของเรา มินกับพี่ชายจะถูกเลี้ยงมาด้วยเหตุผลตลอด สิ่งนี้ทำได้ทำไมถึงทำสิ่งนี้ไม่ได้ถ้าไม่บอกเหตุผลก็จะทำ”
     
      เธอยกตัวอย่าง เรื่องเข้าวงการที่ครอบครัวไม่สนับสนุนเพราะทางบ้านเองก็มีกิจการส่วนตัว ซึ่งก็ต้องพิสูจน์ให้ทางบ้านเห็น
     
      “เข้าวงการ ตอนแรกครอบครัวมินไม่สนับสนุนเลย มินก็พยายามมากและก็พิสูจน์ให้เขาเห็น ขยัน อดหลับอดนอน ถ่ายละครบ้าคลั่ง มีข่าวอะไรแย่ๆ
เราก็ยิ้มสู้ มองโลกในแง่ดีเสมอ จนวันหนึ่งคุณพ่อก็เริ่มยอมรับได้ ป๊าว่าลูกป๊าโตแล้วแหละแต่ป๊าก็จะคอยประคับประคองเสมอนะ”
     
      มินค่อยๆ เล่าถึงครอบครัวอีกครั้งว่าครอบครัวของเธอเป็นครอบครับที่ตลก แถมยังยังชอบไปเปรียบกับการ์ตูนญี่ปุ่นด้วย
     
      “ครอบครัวมินเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งชื่อ ครอบครัวตัวฮอ เป็นครอบครัวที่แต่ละคนมีคาแรกเตอร์ของตัวเอง ป๊าก็จะตัวใหญ่หน่อย ดูดุๆ
แม่เป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานแต่ลึกๆ แล้วเขาเป็นคนที่เข้มแข็งมาก พี่ชายก็จะติ๊งต๊องชอบเก๊กทำเป็นนิ่ง แต่จริงๆ รัก”
     
      จะว่าไปแล้วสำหรับมินครอบครัวคือสิ่งที่ทำให้ผ่านปัญหาอุปสรรคต่างๆ ไปได้ คุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ค่อยอยู่เคียงข้างสร้างกำลังใจและทัศนคติในการมองโลกอย่างเข้าใจ
     
      “ครอบครัวคือแรงซัปพอร์ตที่สำคัญที่สุดในชีวิตมิน ถ้าวันไหนไม่มีครอบครัวมินก็ไม่รู้จะไปอย่างไร ป๊าสอนว่าไม่ว่าจะทำอะไรทุกอย่างมีปัญหาหมด
ค่อยๆ แก้ปัญหา ยิ้มสู้กับมันหัวเราะในแบบที่ลูกเป็นนั้นแหละมันก็จะมีความสุข”
     
      ถึงจะเป็นนางเอกดังมีคนรักคนชอบมากมาย แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าลึกๆ แล้วก็ต้องมีคนรู้สึกต่อต้านไม่ชอบบ้าง ในส่วนนี้เธอก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา พร้อมให้ข้อคิดดีๆ ไว้ด้วย
     
      “เป็นธรรมดาที่จะมีคนรักคนเกลียด แต่ว่าแม่มินจะชอบสอนว่าถ้าเรามั่นใจว่าเราทำดีแล้วก็อย่าไปแคร์ แต่ถ้าลูกมองตัวเองแล้วเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ ก็แก้ไขเสีย
     
      “ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรมากหรอกคะ ตื่นขึ้นมาก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ผิดพลาด ล้ม แล้วก็ลุกขึ้นมาแก้ไขใหม่ ชีวิตเราก็เดินอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด
ต่อให้เราจะสูงที่สุดแล้ววันไหนก็ล้มได้ เพราะฉะนั้นอย่ากลัวที่จะเจอปัญหา ป๊ามินจะคอยบอกว่ามีปัญหาให้วิ่งเข้าหาปัญหา รีบแก้ไขให้เร็วที่สุด เพราะคนที่เร็วที่สุดคือคนที่เก่งที่สุด”


     
     ** เติบโตจากแดนอีสาน **

      ทีมงานถามว่า 'คนอีสานน่ารักจริงหรือเปล่า?'
     
      มินรีบตอบขึ้นทันที “จริงค่ะ..(หัวเราะเสียงดัง)”
     
      “มินก็เป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ที่ชีวิตไม่ได้หรูหรา ฟู่ฟ่ามาก ครอบครัวมินก็เป็นครอบครัวธรรมดาที่อบอุ่น มินรู้สึกว่ามินดีใจที่ได้เกิดมาในครอบครัวนี้
เราโชคดีมากที่ได้เกิดมาเป็นลูกคุณพ่อคุณแม่มีพี่ชายคนนี้ คือเวลาพูดถึงครอบครัวมินก็จะมีความสุข เวลามินเหนื่อยมินก็จะโทรหาป๊าโทรไปอ้อนโทรทุกวันวันละหลายๆ รอบ
คุยกับกับป๊า เล่นไร้สาระ บ่นไปด้วย คุณพ่อเป็นเหมือนเพื่อนเป็นทุกอย่าง”
     
      มินเล่าว่า พื้นเพมินเป็นคนอีสาน เกิดและเติบโตในจังหวัดขอนแก่น แต่ทางอากงเป็นคนกรุงเทพฯ มีเชื้อสายจีน แน่นอนเธอภาคภูมิใจในความเป็นอีสาน
แต่ด้วยวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปทำให้ชาวเมืองยุคใหม่ไม่ค่อยได้ติดต่อกันด้วยภาษาพื้นเมืองเสียเท่าไหร่
     
      “ที่บ้านไม่พูดภาษาอีกสานกับมิน มินก็จะชอบบ่นทำไมไม่พูดกันมินอยากพูดได้ คือโรงเรียนมินก็ไม่พูดภาษาอีสานแต่ว่าจะพูดกันเป็นโจ๊ก คำสั้นๆ หัวเราะๆ
ตั้งแต่เด็กแล้วมินอยากพูดได้ แต่ว่าสังคมที่เราอยู่เขาไม่พูดกัน เป็นอีสานเวอร์ชั่นแอดวานซ์แต่ว่าเราฟังออกทุกคำ เพราะว่าผู้ใหญ่รุ่นพ่อรุ่นแม่เราเขาจะพูดกัน
     
      “ส่วนรุ่นเราจะน้อย โต้ตอบได้เป็นประโยคสั้นๆ แต่ถ้าให้พูดประโยคยาวๆ เลยพูดไม่ได้ มันก็เหมือนภาษาอังกฤษที่ต้องหัดพูดโต้ตอบกัน”
     
      หญิงสาว เล่าว่า “คนอีสานเป็นตลกนะเกือบทุกคนเลย จะมีความขี้เล่น อะไรก็ได้อย่างไรก็ได้ ใช้ชีวิตง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าพอเราไปอยู่กรุงเทพฯ
ก็อาจต้องปรับเปลี่ยนการวางตัวขึ้นนิดหนึ่ง ให้มันดูเป็นทางการขึ้นมาหน่อย แต่ว่าความเป็นตัวตนของเราก็ยังเหมือนเดิม ความเป็นอีสานก็ยังเป็นคนเหมือนเดิม”
     
      นอกจากนี้ มินก็เผยความลับเล็กๆ ว่า เธอเป็นคนติดหนังสือการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กๆ ถึงขั้นไม่ได้อ่านจะนอนไม่หลับเลย
     
      “มีการ์ตูนเป็นห้องสมุดเลย ห้องนอนมินครึ่งหนึ่งเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเรียงเป็นตับ โคนันตั้งแต่เล่ม 1 - เล่มสุดท้าย ขึ้นมาหน่อยเป็นรันม่า, ครอบครัวตัวฮอ
ตอนเด็กๆวันไหนไม่อ่านการ์ตูนนอนไม่ได้นะ เป็นคนขี้กลัว หัวเตียงมีไฟไว้อ่านหนังสือ คืออ่านจนหลับ มินเป็นคนขี้กลัวในความมืด”
     
      มินบอกว่านอกจากการ์ตูนจะให้ความสนุก ยังส่งเสริมให้เป็นคนมีจินตนาการใช้ชีวิตในมุมมองใหม่ๆ ที่รู้สึกสนุกได้ในทุกๆ เรื่อง
     
      “แน่นอนแหละให้ความสนุก ให้ความร่าเริง เพราะเราอ่านการ์ตูน เราจะชอบจินตนาการ มินเป็นเด็กที่ชอบวาดรูป สำหรับมินเราเห็นคนทะเลาะกันเป็นเรื่องตลกได้
เคยเห็นการ์ตูนที่ทะเลาะกันแล้วเป็นหน้าโกรธๆ ตลกๆ ไหมนั้นแหละ เห็นคนเป็นมุมมองแบบนั้น เห็นคนคาแรกเตอร์เป็นการ์ตูน เป็นเด็กมีจินตนาการ เพ้อเจ้อ ช่างฝัน (หัวเราะ)
     
      “โตมาทุกคนก็จะบอกว่ามินเป็นเด็กไม่เคยโต คือหน้าที่ความรับผิดชอบเราก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ในเรื่องความเป็นส่วนตัวเวลาเราคุยกับคนรู้จักอยู่ในมุมที่เราไม่ต้องรับผิดชอบเราสบายๆ เราก็จะเป็นมุมที่เด็กมากดูเหมือนไม่โต”
     
      มิน หยอดทิ้งท้ายว่า แต่ตอนนี้ต้องอ่านหนังสือเรียนอย่างเดียว เพราะว่าขึ้นปี 4 แล้วเรียนค่อนข้างยาก


     
     ** ทำงาน! แต่ห้ามทิ้งการเรียน**

      ถ้าดูถึงผลการเรียนสาวมินก็จัดเป็นเด็กหัวดี การเรียนปานกลาง ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันดีว่าเมื่อต้องทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
ต้องจัดตารางเวลาให้ดีและพยายามประคองทั้งการเรียนและการงานไปพร้อมๆ กัน ซึ่งตอนนี้เธอกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(เอแบค)
     
      “ทางบ้านปลูกฝังเรียนต้องมาก่อน เข้าเอแบค ช่วงแรกได้ 3.00 กว่า พอเข้าวงการ ก็ 3.00, 2.90 ตอนนี้เหลือ 2.80 แล้ว คือมินไม่เคยเกรดต่ำกว่า 3.00 เลยในชีวิตนี้
พอเกรดตกเหลือ 2.9 โอ้โห บ้านแทบแตก แม่แบบคุยเลยทำเกรดตก มินก็เสียงอ่อยโห..แม่ ทำงาน ถ่ายละคร เราก็ไม่รู้ว่าทำไมเกรดตก อาจจะเป็นเพราะคะแนนสอบไม่ดี
แต่ว่างานเราก็ส่งครบ ขาดเรียนบ้าง สำหรับเอแบคแล้วการเข้าเรียนทุกครั้งคือคะแนน
     
      “เรียนยากมาก มินรู้สึกว่าเราต้องพยายามมาก เพราะเรียนเอแบคด้วย ต้องทำงานด้วย เหมือนกับว่าเราต้องทำให้ดีทั้งสองฝั่ง มันยากมาก แต่เอาเป็นว่าตอนนี้สำหรับมินเน้นงานมากกกว่าเรื่องก็รักษาระดับตรงนี้ให้ได้”
     
      อย่างปีที่แล้วที่เธอหายหน้าหายตาไปจากวงการก็เพราะไปจัดการเรื่องการเรียน แน่นอนการทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำมันให้ดีควบคู่กันไป
     
      จะว่าไปเธออาจใช้เวลาเกี่ยวกับเรื่องการเรียนนานเสียหน่อย เพราะช่วงม.ปลาย เธอก็เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศอเมริกา 1 ปี
พอเข้ามหาวิทยาลัยบังเอิญว่าเป็นช่วงเริ่มต้นกับงานในวงการก็ทำให้ต้องดร๊อปเรียนไปอีก ถึงมันจะเป็นเวลาที่เสียไปแต่ไม่ใช่เวลาที่เสียเปล่า
     
      “ไม่เสียดายหรอก เพราะว่ามินรู้สึกว่ามันก็เป็นจุดบาลานซ์ที่เหมาะสมแล้วนะ เราไม่ได้รีบเรียนจบ เพราะว่าเป้าหมายมินจบไปเพื่อทำงานเพื่อหาเงิน
แต่ตอนนี้เราเรียนอยู่เราหาเงินได้แล้ว เราก็ไม่รู้จะรีบจบไปทำไมแต่ต้องยอมรับว่ามินก็รับผิดชอบเรื่องเรียนไม่แพ้เรื่องงานเหมือนกัน
ครอบครัวมินให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษามากแต่โอกาสมาเราก็คว้าเอาไว้และก็ทำให้ได้ดี..แต่ว่าเรื่องเรียนเราทิ้งไม่ได้นะ แต่ถ้าจบแล้วมินเต็มที่กับงานแน่นอน”
     
      อย่างตอนไปอเมริกาฯ มินก็เป็นคนขอแม่ไปเอง และการตัดสินใจไปเรียนต่อในครั้งนั้นได้มอบประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ให้เธอเป็นอย่างมาก
ในขณะนั้นชาวต่างชาติเองก็ยังค่อนข้างเหยียดผิวชาวเอเซียมองว่าเป็นตัวประหลาด แต่เธอก็พิสูจน์ตัวเองจนเป็นที่ยอมรับได้ด้วยการเล่นกีฬา แถมยังติดเป็นนักกีฬาซอฟต์บอลทีมโรงเรียนด้วย และยังกล้าแสดงออกมาขึ้นด้วย
     
      “จากคนที่ไม่ได้รับการยอมรับในโรงเรียน ก็กลายเป็นที่ยอมรับ มินว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญมากนะสำหรับใครบางคนที่ไปเริ่มใหม่
มินว่าคนทุกคนเวลาอยู่ในสถานการณ์ที่มันล่อแหลมเราจะมีสัญชาติญาณบางอย่างก็อยู่ได้ คือมินจะเป็นที่มีคติประจำใจอย่างหนึ่ง
คือเวลาที่คับขัน มินชอบบอกตัวเองว่ามันไม่ตายหรอก ไปต่างประเทศคนเดียว..มันไม่ตายหรอก พี่ชายเรายังทำได้เลยไปอยุ่ต่างประเทศ 3 ปี มินปีเดียวเองต้องอยู่ได้”


     
      ** เสพติด..กีฬาทุกชนิด **

      ร่างบางของเธอที่ซุกอยู่ในโซฟาขนาดใหญ่ ขยับเล็กน้อยก่อนจะเล่าถึงเรื่องราวความบ้าคลั่งกีฬาเป็นอย่างมาก มินเล่าว่าตัวเองเป็นคนชอบเล่นกีฬาซึ่งาส่วนหนึ่งก็ได้อิทธิพลมาจากพี่ชายเมื่อสมัยเด็กๆ
     
      ไม่ว่าจะ บาสเก็ตบอล ซอฟต์บอล แบดมินตัน แชร์บอล ก็เป็นกีฬาโปรดทั้งนั้น โดยเฉพาะกีฬาบาสฯ ที่ทำให้เข้าเป็นนักกีฬาทีมโรงเรียนฯ ด้วยเหมือนกัน
เรียกว่าบ้ากีฬาจนแม่ดุว่าต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนค่อยไปเล่นได้
     
      “ตอนอยู่ที่ขอนแก่นก็เป็นนักกีฬาบาส ซ้อมบาสวันละ 3 ชม. เหนื่อย กล้ามขึ้นเต็มตัว เป็นเด็กที่ผอม พลังเยอะ เด็กๆ มินเป็นคนไม่กล้าแสดงออกนะให้โชว์ให้เต้นอะไรไมได้
แต่เวลาอยู่ในสนามบาสเป็นอีกคนเลย ทีมบาสเป็นทีมหนึ่งที่เรารักมาก คือเราซ้อมด้วยกันเป็นปีทุกวัน เล่นกัน ทะเลาะกัน จนเป็นความผูกพันที่เรามองหน้ากันก็รู้แล้ว มินเป็นคนรักกีฬารักเพื่อนมาก”
     
      กีฬาไม่ได้เสริมสร้างเพียงร่างกายที่แข็งแรง แต่ยังสร้างมิตรภาพ สร้างสุขภาพจิตที่ดีตามมาด้วย
     
      “ย้อนกับไปมินรู้สึกว่าเราโชคดีที่เล่นกีฬา เพราะการเล่นกีฬาเป็นทีมมันทำให้เราได้รู้จักความเป็นเพื่อน ความผูกพันที่อยู่ในทีม
การจะสร้างทีมๆ หนึ่งไม่ใช่จับคนมารวมกัน แต่มันคือการการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวัน มันเหมือนลิ้นกับฟันผูกพันเกิดขึ้น
     
      “บางวันเราอาจจทะเลาะกันเรื่องไร้สาระ เช่นทำไมไม่ขว้างลูกมาจะทำแต้มอยู่แล้ว เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พอมันมากขึ้นทุกวันก็จะเป็นปัญหา
พอเป็นปัญหามากๆ ก็มานั่งคุยกัน เราก็กอดคอกันร้องไห้ไปด้วย เวลาที่เราชนะก็ยิ้มไปด้วยกัน หัวเราะไปด้วยกัน เราเหมือนมาด้วยเรา เราล้มเราลุกมาด้วยกัน
มันก็เป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นในทีมที่เราได้เห็นว่าความเป็นเพื่อนคืออะไร”
     
      ถึงแม้ตอนนี้จะเข้ามายืนในวงการแสดงอย่างเต็มตัว มินก็ไม่ได้ละทิ้งการเล่นกีฬาแต่อย่างใด ยังคงพยายามหาเวลาว่างไปออกกำลัง
รวมทั้งรับประทานอาหารที่มี่ประโยชน์ไปพร้อมกัน อีกอย่างด้วยความที่เป็นนักแสดงก็ต้องดูแลตัวเองประมาณหนึ่ง
     
      “ล่าสุดก็เพิ่งไปตีแบดกับเพื่อนมา อย่างช่วงมีละครก็หายหน้าไปจากเพื่อนๆ ก็จะบ่นๆ คือเจอกันแต่ในห้องเรียนเสร็จก็ต้องทำงาน แต่ว่าละครจบ เราก็ชิลๆ
พอมีเวลาก็ไปออกกำลังกาย เน้นแบดกับวิ่งบนลู่ แล้วก็ยกเวท มินอยากกล้ามขึ้น มินรู้ว่าผู้หญิงที่เฟิร์มเป็นผู้หญิงที่เทห์มินชอบผู้หญิงแบบพี่คริส หอวัง”
     
      ซึ่งก็ถือเป็นความโชคดี แม้จะเล่นกีฬาอย่างหนักแต่ก็ไม่เคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลเลย มินเปิดเผยว่าเธอก็มีการเซฟตัวเองอยู่ด้วย
     
      “ถ้าช่วงไหนไม่ได้ออกกำลังกายเราจะป่วย เหมือนมินเป็นโรคเสพติดการออกกำลังกาย ถ้าวันไหนไม่ได้ออกกำลังกายมินจะรู้สึกห่อเหี่ยวใจมาก ป่วยทางจิตอะ(หัวเราะ)
มินว่ามันเริ่มที่จิตใจเรามากกว่า ปกติเวลาได้ออกกำลังกายจะรู้สึกดีเวลาเหงือออก สดชื่น แต่พอไม่ได้ออกเราจะรู้สึกว่าเหนื่อยง่าย หิวง่าย อยากจะนอนตลอดเวลา รู้สึกไม่สดใส”
     
      เรื่องอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญของอาชีพนักแสดง มินเปิดเผยว่ามื้อเช้าเธอจะให้ความสำคัญที่สุด ทุกเช้าจะต้องกินไข่ กินกล้วยน้ำว้าและค่อยกินข้าว
     
      “พอเราเข้ามาอยู่ในวงการต้องยอมรับว่าเราต้องดูแลตัวเองมากๆ คือเราจะมาไม่สนใจตัวเองแบบแต่ก่อนไม่ได้แล้ว ไม่ล้างหน้าก่อนนอนไม่ได้แล้ว
เราต้องมีการดูแลตัวเองเสมอ ทุกขั้นตอน ต้องละเอียดมาก หวีผมอย่างไรไม่ให้ผมมันพันกัน สระผมอย่างไรให้มันสะอาด ล้างหน้าอย่างไรให้มันสะอาด กินอะไรให้ผิวดี
กินอะไรหน้าไม่แก่เร็ว เพราะว่าเราแต่งหน้าทุกวันต้องดูแลตัวเอง เราจะต้องดูดีเสมอ”
     
      มิน เล่าให้ทีมงานฟังว่า ในธุรกิจบันเทิงมันมีเหตุผลที่เราจะต้องดูแลตัวเอง เพราะอาชีพเราคือความงาม คนอยากเห็นดาราที่ดูดีไม่ใช่ดาราที่ธรรมดา..
ฉะนั้นเราต้องดูดีเสมอ แต่มินเป็นคนดูแลตัวเองในระดับกลางๆ แต่เรื่องสุขภาพมาก่อน กินอาหารที่ถูกต้อง สุขภาพที่ดี และออกกำลังกาย
     

      ** ฝันหวานวันวิวาห์ **

      ความที่มินสนิทกับคุณพ่อมากไม่ว่าใครเขามาในชีวิตคุณพ่อก็จะรับรู้หมด แต่ทางคุณพ่อเองก็ยังไม่อยากให้มีใครในตอนนี้
     
      “มินปรึกษาคุณพ่อทุกเรื่องไม่มีเรื่องไหนที่ไม่บอกคุณพ่อเลย ใครเข้ามาในชีวิตคุณพ่อรู้จักทุกคน ใครโทรมามินก็ยื่นให้คุณพ่อคุย
เราก็โตแล้วบางทีก็แหย่ๆ เขาว่าอยากได้ลูกเขยแบบไหน เขาก็..เงียบสักพัก แล้วบอกดูๆ ไปก่อน ทำนองว่าไม่อยากให้มีแฟน(ยิ้ม)"
     
      ถามว่าคุณพ่อหวงไหม นางเอกสาวรีบตอบขึ้นมาทันที “หวงมาก(เน้นเสียงสูง) คุณพ่อจะห่วงมากกว่าคุณแม่มาก คุณแม่จะห่วงเรื่องความปลอดภัย
มินเป็นคนให้เกียรติคุณพ่อมากถ้าจะคบใครต้องผ่านคุณพ่อก่อน มินอยากได้ผู้ชายแบบคุณพ่อมาเป็นคู่ชีวิต เพราะฉะนั้นคนที่คุณพ่อสามารถให้มาดูแลเราได้คือคนที่คุณพ่อไว้ใจแล้ว”
     
      ตอนนี้มินเปิดเผยว่ายังไม่เจอคนที่ใช่ แต่ก็ไม่ได้ปิดบังว่ามีคนคุยๆ อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนกัน
     
      “มินจะเป็นคนไม่ใจร้อนคุยเป็นเพื่อนไปทุกคน คุยกันหมด เราไม่ได้ปฏิเสธแต่เราก็ไม่ได้ตอบรับ คือมินเป็นคนตลก ขี้เล่น เอาเข้าจริงไม่เคยไปไหนมาไหนกับใครเลย มีอะไรก็บอกคุณพ่อ”
     
      จะว่าไปนางเอกสาวคนนี้ก็ถือว่าฮอตไม่ใช่เล่น เป็นข่าวกับพระเอกทำเอาแฟนๆ ลุ้นกันเสียตัวโก่ง แต่ถึงจะเชียร์นางเอกสาวกับพระเอกคนไหนตอนนี้ก็คงยังลุ้นไม่ขึ้น
     
      “มันพัฒนาจากคนไม่รู้จักกัน เป็นเพื่อนกัน จากเพื่อนก็อาจจะพัฒนาเป็นพี่ที่สนิทแต่ไม่เคยถึงระดับคนรักเลย”
     
     ความที่เป็นสาวช่างฝัน ก็เลยแอบกระซิบถามถึงบรรยากาศงานแต่งงานในฝันของเธอเสียเลย
     
      “มินอยากแต่งงานในสวนที่เป็นสีเขียวแบเขาวงกต และทุกคนก็อยู่ในนั้นกำแพงเป็นสีเขียวหมดเลย เป็นเหมือนอยู่ในสวนดอกไม้ เจ้าบ่าวเจ้าสาวใส่ชุดสีขาว
ดูอบอุ่น มีพิธีการไม่ต้องหวือหวา เน้นความอบอุนของครอบครัวมากกว่า”
     
      มิน ค่อยๆ เล่าขึ้นว่าตัวเองวาดฝันถึงชีวิตครอบครัวเอาไว้ด้วย อยากแต่งงานในช่วงอายุสามสิบต้นๆ เพราะช่วงเวลาระหว่างนั้นเป็นช่วงแสวงหาสิ่งเติมเต็มให้ชีวิต
     
      “แต่งงานอายุ 32 ตอนนี้ 23 แล้ว (เริ่มนับนิ้ว 24 25 25…32) อีก 9 ปี (ยิ้ม) แต่ว่ามันก็ไม่ได้ฟิกขนาดนั้นหรอก
บางทีเกิดเขาขอแต่งงานขึ้นมาแล้วคนนั้นใช่เราก็อาจจะแต่งเลย แต่ว่าที่มินตั้งไว้ 32 เพราะมินมีสิ่งที่อยากจะทำเยอะ มีเป้าหมายในชีวิตเยอะ อย่างเช่นเรียนจบก็อายุ 24 ทำงานหาเงิน มินมีเป้าหมายรวย (หัวเราะ)

      “เราอยากมีครอบครัวที่เพอร์เฟกต์พอแต่งงานก็อยากจะมีเวลาให้กับลูกมีเวลาให้กับสามี เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่จะทำให้ชีวิตมั่นคงได้คือช่วงนี้
แต่จริงๆ แผนทุกอย่างมันเปลี่ยนได้เสมอมันอยูที่โอกาสและจังหวะที่เราได้รับ”


     
     ** เม้าท์มิน-ยาเสพติด-เหล้าบุหรี่ **

      ช่วงเวลาไม่นานมานี้ก็มีข่าวเม้าท์ดาราระยะเผาขน เรื่องราวของนางเอกสาวดาวรุ่งหน้าคล้ายนางเอกดังรุ่นพี่ อัพยาเสียจนเพ้อจนกองละครล่ม จนต้องยกเลิกการถ่ายทำ
แต่ทางผู้ใหญ่เมตตายังป้อนงานให้แต่ลดเกรดไปเป็นนางร้ายแทน งานนี้บรรดาขาเม้าท์จำนวนไม่น้อยก็มุ่งเป้ามาที่นางเอกสาว 'มิน - พีชญา วัฒนามนตรี'
ถึงแม้จะไม่เข้าข่ายทั้งหมดแต่ก็โดนหางเลขด้วย ซึ่งเธอยืนยันว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
     
      “ไม่นะ เพราะมินรู้สึกว่าด้วยความที่เราเป็นผู้หญิง สิ่งที่ปลอดภัยที่สุดคืออย่าไปยุ่งกับมันเลย ผู้หญิงอย่างไรก็ล่อแหลมตลอดเวลาอยู่แล้ว มินว่ายาเสพติดเป็นเรื่องเซ็นเซอร์ทีฟนะ
คือถ้าติดแล้วการจะเลิกได้เป็นสิ่งที่ยาก แต่ว่าทางที่ดีที่สุดอย่างไปยุ่งกับมันเลยดีกว่า”
     
      ไม่ว่าจะเป็นเหล้ายาหรือบุหรี่ในปัจจุบันก็ง่ายก็การเข้าถึงทั้งนั้นโดยเฉพาะวัยรุ่น มินแสดงความคิดเห็นถึงปัญหานี้
     
      “มินว่าสังคมไทยเด็กก็ฉลาดขึ้นเยอะนะ แต่ว่ามันก็ยังมีบางส่วน มินว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือครอบครัว คนที่จะเตือนลูกหลานได้ดีที่สุดคือคุณพ่อกับคุณแม่คนที่อยู่ใกล้ตัวใครก็ได้
คือสอนเขาให้รู้จักว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะสม คนทุกคนรู้อยู่แล้วว่าอะไรผิดอะไรถูก แค่ต้องสอน ต้องบอกเขาว่ามันไม่มีนะ แล้วบอกเหตุผลด้วยไม่ใช่ว่าไปด่าตักเตือน
ต้องบอกว่ามันไม่มีอย่างไร ทำแล้วจะเกิดผลไม่ดียังไง สอนด้วยเหตุผลอย่าใช้อารมณ์
     
      ใบหน้าหวานๆ ฝากรอยยิ้มสุดท้าย เตือนถึงผู้ที่ติดอยู่ในบ่วงอบายมุขว่าทางที่ดีอย่าไปยุ่งกับมันเลยดีกว่า
     
      “ยาเสพติดอย่าไปใกล้มันเลยคะ เพราะเราก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ก็นำมาซึ่งหายนะ ถ้าเราไปลองก็ปวดหัวเปล่าๆ สู้เอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นดีกว่า
เอาเวลาไปสร้างฐานะที่มันคง ให้คนที่เรารักและตัวเองมีความสุขดีกว่า
      บุหรี่ เหล้า เป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะเลือกเสพ มินว่าไม่เสพก็ดีที่สุด เพราะมันก็ไม่ได้มีข้อดูอยู่แล้วอย่าไปยุ่งกับมันเลยดีกว่า”
     

      ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์

จากคุณ : คำพู
เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 16:37:33




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com