บทที่ 15 แสงและเงา
โลก ปัจจุบัน ณ สานามบินนาริตะ กรุงโตเกียว เวลากลางคืน ชิซุกะรีบเดินออกจากตัวเครื่องเพื่อเข้าไปยังตัวท่าอากาศยาน แต่เมื่อเธอได้เข้าในตัวอาคารก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเธอ
“คุณมินาโมโตะ ชิซุกะหรือเปล่าครับ” ชายคนหนึ่งในสองคนที่แต่งตัวเหมือนเจ้าหน้าที่ร้องทักชิซุกะขึ้น
“ใช่ค่ะ” ชิซุกะตกใจนิดๆ “ไม่ทราบว่าพวกคุณคือ”
“เราเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันของกระทรวงวิทยาศาสตร์ ได้รับคำสั่ง ให้มารับตัวคุณที่นี่ครับ” ชายอีกคนในกลุ่มกล่าวขึ้นมา “ตามที่คุณโยชิโอะร้องขอมา”
“คุณพ่อ?” ชิซุจังอุทานเบาๆ
ภายในรถที่ติดตรากระทรวงฯ ชิซุจังนั่งในเบาะด้านหลังคนชับ รถเริ่มออกวิ่ง ชายที่นั่งข้างๆเธอแนะนำตัวเองตัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ชั้นชื่อแอนเดอร์สัน เป็นผอ.ของกระทรวงฯ ความจริงแล้วชั้นงานยุ่งมากๆจนไม่อยากจะมารับเธอด้วยตัวเองหรอก นี่ถ้าไม่ติดว่ามิสเตอร์มินาโมโตะกำชับว่าอยากให้ชั้นมาด้วยตัวเองล่ะก็....”
จากการออกตัวแบบนั้นของแอนเดอร์สัน ทำให้ชิซุจังรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที “ขอบคุณมากค่ะ แล้วนี่พวกคุณจะไปส่งหนูตามสถานที่ที่หนูได้บอกใช่มั้ยคะ” ชิซุกะถามแบบเกรงใจ
แอนเดอร์สันนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “การเดินทางไปอนาคตเพียงลำพังในสถานการณ์เช่นนี้ มันอันตรายมากๆ” เค้าค่อยๆหันมาจ้องหน้าชิซุกะ “ก่อนอื่นขอชั้นดูเจ้าเครื่องมือนั่นหน่อยซิ”
“หนูใส่มันติดตัวไว้ค่ะ” ชิซุกะพูดจนทำให้แอนเดอร์สันสังเกตเห็นเข็มขัดของเธอว่าแท้จริงแล้วคือเข็มขัดกาลเวลานั่นเอง
แอนเดอร์สันคิดในใจ ‘นี่เจ้าหนูเดคิสุงิทำได้ขนาดนี้เลยหรือเนี่ย แต่ดันแอบเก็บเป็นความลับไว้ ทั้งที่เค้าใส่ติดตัวอยู่ตลอดเวลาเหมือนเข็มขัดธรรมดาเส้นหนึ่ง แต่ชั้นไม่เคยสังเกตเลย’
หลังจากนั้นเมื่อรถได้ขับผ่านไปยังย่านชานเมืองอยู่ๆคนขับรถก็เบรกกะทันหัน “เอี๊ยด” จนทำให้คนที่นั่งอยู่ในนั้นถึงกับหัวเกือบทิ่มไปข้างหน้า
“นี่นายขับรถภาษาอะไรกันเนี่ย” แอนเดอร์สันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“ขอโทษด้วยครับท่านผอ.” เจ้าหน้าที่ที่เป็นคนขับรถตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “แต่อยู่ๆก็มีคนตัดหน้าเราครับ เหมือนกับอยู่ๆก็โผล่ออกมากะทันหัน” คนขับรถพูดถึงชายที่เพิ่งโผล่ออกมาจากผ้าคลุมล่องหน ซึ่งปรากฏตัวออกมาตรงหน้ารถ
“ว่ายังไงนะ” ยังไม่ทันที่แอนเดอร์สันจะพูดจบพวกเค้าที่อยู่ในรถก็รู้สึกตัวแล้วว่ามีคนมาล้อมรอบพวกเค้าพร้อมกับอาวุธปืนในมือ
“ลงมาจากรถเดี่ยวนี้” หนึ่งในกลุ่มคนที่ล้อมรถไว้เอ่ยขึ้นมา
พวกแอนเดอร์สัน ชิซุกะและคนในรถจำยอมต้องก้าวลงมา
“พวกแกเป็นใครกันแน่” แอนเดอร์สันยังคงวางมาด
“หึๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมล่ะนะ พวกเราคือสมาชิกกลุ่มอัลฟ่า” ชายคนหนึ่งซึ่งดูท่าทางเหมือนจะเป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นมา “ไม่บ่อยเลยที่ท่าน ผอ. จะออกมาข้างนอกด้วยตัวเอง พวกเรารอเวลานี้มานานแล้ว”
“นี่ พวกแกต้องการอะไรกันแน่ และรู้ได้ยังไงว่าชั้นจะออกมาตอนนี้” แอนเดอร์สันทำหน้าเจ็บแค้นยิ่งนัก
“ชั้นไม่จำเป็นจะต้องตอบว่ารู้ได้ยังไง แต่รู้ตัวไว้ซะว่าแกตกอยู่ในฐานะของตัวประกันแล้ว ชั้นจะจับตัวแกไว้เพื่อต่อรองให้ปล่อยตัวอดีตหัวหน้ากลุ่มอัลฟ่าของพวกเรา คุณทาเครุ ที่พวกตำรวจจับตัวไว้” ชายคนนั้นอธิบายถึงจุดประสงค์ “ถ้าไม่เป็นเพราะเจ้าเด็กที่ชื่อโนบิตะนั่น คุณทาเครุคงไม่..”
“เอ๊ะ” ชิซุกะอุทานขึ้นมาเบาๆ
“ถ้าพวกแกต้องการแค่ตัวชั้น ชั้นจะยอมให้พวกแกจับไปแต่โดยดี แต่พวกแกจะต้องปล่อยตัวพวกลูกน้องชั้นและเด็กผู้หญิงคนนี้ไป พวกเค้าไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย” แอนเดอร์สันเจรจากับชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม
“นี่ท่าน ผอ. ยังคิดว่าตัวเองอยู่ในฐานะที่ต่อรองได้อีกเหรอ” ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มพูดแบบกวนๆพร้อมกับเหนี่ยวไกปืน
“เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง” กระสุนถูกยิงออกไปสามนัดใส่เจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯอีกสามคนจนล้มลงไปนอนดิ้นพล่าน ชิซุกะหวาดผวาสุดขีดแต่ไม่กล้าจะร้องออกมา
“เราไม่อยากฆ่าเด็กผู้หญิง แต่เธอจะต้องไปกับคุณด้วยในฐานะตัวประกัน” ชายที่เป็นหัวหน้าพูดอย่างเยือกเย็น ทำให้แอนเดอร์สันและชิซุกะต้องยอมตามพวกอัลฟ่าไปขึ้นรถแต่โดยดี
“คุณเฮลม์ครับ แล้วจะทำยังไงกับพวกนี้ดี” ชายอีกคนในกลุ่มอัลฟ่าถามกับชายที่เป็นหัวหน้า ถึงเจ้าหน้าที่ที่เพิ่งจะโดนยิงลงไปนอนดิ้นที่พื้น
“ฆ่าพวกมันซะ” เฮลม์พูดอย่างหน้าตาเฉย
พวกอัลฟ่าได้พาตัวแอนเดอร์สันและชิซุจังมายังสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง โดยขังพวกเค้าทั้งสองไว้ในห้องแคบๆ
“คุณมินาโมโตะ โชคดีที่พวกมันไม่รู้เรื่องเข็มขัดกาลเวลา ถ้าสบโอกาสเราจะหนีข้ามเวลาไปด้วยกัน” แอนเดอร์สันกระซิบกับชิซุกะเบาๆ
“ค่ะ แต่เข็มขัดนี่มันไปได้ทีละคนเท่านั้น” ชิซุกะกระซิบกลับไปเช่นกัน
แอนเดอร์สันทำหน้าผิดหวังไปนิดนึงก่อนจะเอ่ยว่า “งั้นเหรอ ไม่เป็นไร ชั้นจะหาทางช่วยเธอเอง”
“แต่ว่าถ้าทำอย่างนั้น คุณก็จะ...” ชิซุจังยังคงเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า พวกมันยังไม่กล้าทำอะไรชั้นหรอก อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่พวกมันยังไม่ได้ตัวเจ้าทาเครุ” แอนเดอร์สันอธิบายอย่างเบาๆ
“แล้ว เมื่อกี้ที่พวกนั้นพูดถึง โนบิตะ หมายถึง โนบิ โนบิตะเพื่อนหนูหรือเปล่าคะ” ชิซุกะยังคาใจกับเรื่องนี้
แอนเดอร์สันหันกลับมามองชิซุกะก่อนจะค่อยๆเอ่ยขึ้นมา “ไหนๆเรื่องก็มาถึงตรงนี้แล้ว ชั้นจะเล่าให้เธอฟังละกัน...มีอยู่ครั้งหนึ่งเจ้าทาเครุหัวหน้าพวกอัลฟ่าคนเก่าและลูกน้อง ได้ลอบเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์ปืนโบราณ เพื่อต้องการขโมยของบางอย่าง แต่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ขัดขวางเอาไว้”
“เด็กหนุ่มคนนั้น คือโนบิตะ?” ชิซุกะถามขึ้นมา
“ถูกต้องแล้ว พิพิธภัณฑ์ปืนโบราณนอกจากจะมีปืนรุ่นหายากๆเยอะแยะมากมายที่เอาไว้จัดแสดงแล้ว บางส่วนยังคงใช้งานได้จริงด้วย แต่เนื่องจากเป็นพิพิธภัณฑ์การป้องกันเลยค่อนข้างจะอ่อน เจ้าทาเครุและลูกน้องเลยอาศัยจุดอ่อนตรงนี้เพื่อหวังจะขโมยอาวุธปืนไปซ่องสุมไว้ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่พวกนั้นคิด เพราะคุณโนบิ ที่ทำงานในนั้นบังเอิญไปเจอตอนที่พวกนั้นกำลังลงมือ จึงแอบแจ้งกับเจ้าหน้าที่และทำการถ่วงเวลาพวกนั้นไว้ด้วยการดับไฟตึกทั้งหมด จนทำให้จับตัวเจ้าทาเครุได้ แต่ลูกน้องมันดันรอดไป" แอนเดอร์สันร่ายยาว "หลังจากเจ้าทาเครุถูกจับตัวได้ การสอบสวนหาเบาะแสและหลักฐานต่างๆ จึงทำให้พบกับเรื่องที่ใหญกว่านั้นเข้าไปอีก ทั้งเรื่องที่พวกนี้มีส่วนพัวพันกับข่าวลือเรื่องการยิงนิวเคลียร์ เรื่องอัลฟ่าและโอเมก้า สุดท้ายทางรัฐบาลจึงตัดสินใจตั้งโปรเจค Seven ขึ้นมา แต่คุณโนบิเองก็ไม่ได้รู้รายละเอียดเรื่องกลุ่มอัลฟ่าหรอกนะ แถมเจ้าตัวยังขอร้องให้ปิดเรื่องที่เค้าช่วยเจ้าหน้าที่ไว้เป็นความลับ นอกจากพวกเจ้าหน้าที่แล้วจึงไม่ค่อยจะมีใครรู้ เพราะกลัวอันตรายจะเกิดกับเค้าและคนรอบข้าง แต่ก็ดูเหมือนพวกอัลฟ่าจะรู้ตัวแล้วล่ะว่าคุณโนบิเป็นตัวการและดูพวกมันท่าทางจะแค้นน่าดู”
"อ่า เรื่องนี้หนูก็เพิ่งจะทราบนี่แหล่ะ" ชิซูกะยังตกใจกับเรื่องที่เพิ่งได้ฟัง
“เฮ้ย นี่พวกแกคุยอะไรกันน่ะ” เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าห้องของทั้งสองตะโกนออกมา
“เดี๋ยวถ้ามีโอกาส เธอรีบใช้เข็มขัดกาลเวลาหนีไปเลยนะ คุณมินาโมโตะ จะให้พวกมันเห็นตอนที่เธอใช้เข็มขัดนี้ไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าสถานที่จะคลาดเคลื่อนไปบ้างแต่น่าจะไม่เป็นไร ลองเสี่ยงดู ดีกว่าให้พวกมันรู้เรื่องเข็มขัดนี้แล้วจะยิ่งไปกันใหญ่” แอนเดอร์สันแนะนำ
“เข้าใจแล้วค่ะ” ชิซุกะตอบรับพร้อมกับเตรียมใจ
ทันใดนั้นแอนเดอร์สันลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู “นี่แกช่วยไปบอกหัวหน้าของแกทีว่า ชั้นตกลงรับข้อเสนอปล่อยตัวเจ้าทาเครุแล้ว ขอให้พวกแกไว้ชีวิตชั้นก็พอ” แอนเดอร์สันบอกกับคนเฝ้าประตู
“หึๆ รักตัวกลัวตายเหมือนกันนี่น่า ท่าน ผอ.” ชายที่เฝ้าประตูพูดพร้อมกับเดินจากไป
“ตอนนี้แหล่ะ คุณมินาโมโตะ” แอนเดอร์สันรีบหันมาบอก
“ค่ะ” ชิซุกะรีบตั้งวันเวลาและกดปุ่มที่เข็มขัดทันที ทันใดนั้นร่างของเธอก็ได้หายวับไปต่อหน้าต่อตาแอนเดอร์สัน
“ยอดเยี่ยมจริงๆ เดคิสุงิ...” แอนเดอร์สันบอกกับตัวเอง
โลกอนาคต
“ชั้นคิดว่าการตายของหมอโยเฮย์จะต้องเกี่ยวกับเรื่องโดราเอมอนแน่นอน” เซวาชิพูดกับโดรามี่ในขณะที่ยังขับรถเหาะอยู่
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อดีล่ะ” โดรามี่พูดพลางคิด “เอาอย่างนี้มั้ย เราน่าจะลองไปตรวจสอบที่พักของโยเฮย์ เผื่อจะเจอเบาะแสอะไรบ้าง”
“แต่ว่าเราไม่รู้จักที่อยู่ของเค้านี่” เซวาชิเอ่ย
“เรื่องนี้ไม่ยาก เราก็แกล้งบอกว่าเป็นญาติของหมอโยเฮย์แล้วโทรไปถามที่อยู่จากคลินิกของเค้าก็ได้ เหมือนกับว่าเราไม่ได้เจอเค้ามานานแล้ว อะไรประมาณนี้” โดรามี่ออกไอเดีย
“ความคิดไม่เลวเลย โดรามี่” เซวาชิยิ้มตอบ
หลังจากที่ทั้งสองได้ที่อยู่แมนชั่นของโยเฮย์มาแล้วก็รีบมุ่งตรงไปที่นั่น ขณะนั้นเองด้านล่างของแมนชั่นพวกเค้าก็ได้พบไจแอนท์และซูเนโอะที่นอนหลับอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้น
“อ๊ะ นั่นพวกเพื่อนๆของคุณปู่นี่” เซวาชิรีบอุทานออกมา
“ใช่จริงๆด้วย พวกเค้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย” โดรามี่ก็แปลกใจไม่แพ้กัน
“คุณไจแอนท์ คุณซูเนโอะ” เซวาชิตะโกนเรียก จนทั้งสองตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“อ๊ะ เซวาชิและโดรามี่!” ไจแอนท์ตะโกนทักด้วยความดีใจพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา “ดีจังเลย พวกนายมาที่นี่ได้ยังไงกันเนี่ย”
หลังจากทั้งสี่ขึ้นมานั่งบนรถเหาะแล้วและพวกไจแอนท์ก็เล่าเรื่องที่โยเฮย์พามาที่แมนชั่นรวมถึงเรื่องที่เค้าเล่าว่าโดราเอมอนมีโอกาสจะฟื้นขึ้นมาได้ให้เซวาชิและโดรามี่ฟัง
“พี่มีโอกาสจะฟื้นได้ด้วยเหรอ ชั้นดีใจจริงๆที่ได้ยินอย่างนี้” โดรามี่รู้สึกมีความหวังขึ้นมา
“แต่คุณโยเฮย์เสียชีวิตแล้วนะตอนนี้ เค้าถูกฆ่า...” เซวาชิเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“ว่าไงนะ!” ไจแอนท์และซูเนโอะตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน “อ้าวแล้วโนบิตะล่ะ เป็นยังไงบ้างเนี่ย เค้าออกไปด้วยกันตอนหลายชั่วโมงก่อน”
“พูดจริงเหรอเนี่ย แต่ในข่าวรายงานถึงแค่การตายของคุณโยเฮย์คนเดียว บางทีคุณปู่น่าจะยังปลอดภัยนะตอนนี้” เซวาชิตกใจแต่ก็พยายามนึกถึงเนื้อหาในข่าวที่ได้ฟัง
ไม่นานนักทั้ง 4 คนก็ได้ยินเสียงเหมือนหวอของตำรวจใกล้เข้ามา
"ท่าทางพวกตำรวจจะมาสืบค้นแมนชั่นของคุณโยเฮย์แน่ๆ" โดรามี่เอ่ยขึ้นมา
“งั้นพวกเรารีบออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ เดี๋ยวจะลำบาก แล้วค่อยปรึกษากันระหว่างทางว่าจะไปตามหาโนบิตะได้ยังไง” ซูเนโอะเสนอความคิดเห็นหลังจากนั้นรถเหาะของเซวาชิก็ได้พุ่งออกไปจากบริเวณหน้าแมนชั่นของโยเฮย์
ในเวลาดึกสงัด ชิซุกะก็ได้วาร์ปมาถึงโตเกียวในยุคอนาคตแล้ว แต่สถานที่ที่เธอมาถึงดันเป็นซอกของตึกร้างๆแห่งหนึ่ง...
"อ่า นี่เรามาถึงโลกอนาคตแล้วใช่มั้ยเนี่ย" ชิซุกะอุทานกับตัวเอง "ดูท่าทางที่นี่จะไม่มีใครนะ โชคดีจริงๆ" ชิซูกะรำพึงรำพันพลางรีบถอดเข็มขัดกาลเวลาออกและเก็บซ่อนไว้ในตัว แต่ทันใดนั้นเองเธอได้ยินเสียงคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ ทำให้เธอต้องรีบซ่อนตัวที่เงามืดของมุมตึกทันที
"รอแค่พรุ่งนี้เท่านั้น ชั้นก็จะได้เงินก้อนโตและตำแหน่งใหม่ในกลุ่มโอเมก้า หึๆๆ" ดาตั้นพูดขึ้นมาโดยเค้ากำลังลากกระเป๋าเดินทางสีดำใบใหญ่อยู่ข้างๆ เหมือนกำลังจะเดินทางไปที่ไหนซํกแห่ง โดยไม่รู้ตัวว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งแอบเห็นอยู่ไม่ไกล
"โอเมก้า?" ชิซุกะอุทานในใจโดยที่ตัวเองยังคงแอบฟังอยู่ในมุมมืด
"โชคร้ายหน่อยนะเจ้าหนู อุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางมาจากโลกอดีต แต่เพราะเธอดันเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเจ้าหุ่นโดราเอมอน ไม่งั้นเธอก็คงไม่ต้องมานอนสลบอยู่ในกระเป๋านี่หรอก" ดาตั้นพูดเหมือนจะเห็นใจพลางเหลือบมองไปที่กระเป๋าเดินทางของเค้า
"อะไรกัน นี่เค้าหมายถึงโนบิตะงั้นเหรอ และในกระเป๋านั่นก็!" ชิซุกะที่กำลังตื่นกลัวพยายามจับใจความจากคำพูดของดาตั้น
"งั้นชั้นต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว!" ชิซูจังกำลังตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง
---จบบทที่ 15 ---
แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 55 17:46:21
แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 55 17:46:07
แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 55 14:57:31
แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 55 14:19:49
แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 55 14:16:13