 |
เรื่องบท คนวิจารณ์มาเยอะแล้ว แค่แปลกใจว่า ใช่คนที่เคยเขียนบทโทรทัศน์ละครที่เราเคยชื่นชอบในอดีต เหล่านี้จริง ๆ หรือ?
ขอบคุณข้อมูลจาก เวปพันทิป นะคะ ********************************* Guest Talk 'วิลักษณา' กับงานเขียนบทที่ไม่จำกัดสไตล์
ถ้าเอ่ยชื่อคนเขียนบทละครโทรทัศน์ที่ใช้นามปากกาว่า "วิลักษณา" หรือ วิไลลักษณ์ พูลประเสริฐ อาจไม่เป็นที่รู้จักมากนักในวงกว้าง แต่ถ้าใครที่เป็นแฟนละครของยูม่าจะต้องรู้จักผู้หญิงเก่งคนนี้เป็นอย่างดี ในฐานะคนเขียนบทละครมือดีของ ยูม่า อาทิ "โปลิศจับขโมย", "ท่านชายกำมะลอ", "ล่าปีศาจ", "จับตายวายร้ายสายสมร", "คนของแผ่นดิน", "เลิฟสตรอว์เบอร์รี่", "พ่อตัวจริงของแท้", "ผู้ดีอีสาน", "ยอดกตัญญู", "ชุมทางเสือเผ่น", "ตามรักคืนใจ" ฯลฯ และล่าสุดคือ "เพลิงพราย"
หลังเรียนจบคณะอักษรศาสตร์ เอกการละคร จากมหาวิทยาลัยศิลปากร เอ๋ วิไลลักษณ์ ก็เริ่มต้นทำงานกับบริษัทยูม่า ด้วยการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับฯ จากนั้นก็หันมาเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง "คนแซ่ลี้" ที่ได้รับรางวัล บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากสมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ ปี 2536 ตามมาด้วยงานเขียนบทละคร จนมาถึงวันนี้กว่า 19 ปี เธอทำงานมาหลายตำแหน่ง ทั้งเขียนบท, แอ็กติ้งโค้ช แคสติ้ง ผู้กำกับการแสดง
"ด้วยความที่เราทำงานกับยูม่ามานานก็เลยทำหลายหน้าที่ โดยที่เราก็บอกไม่ได้ว่าชอบอะไรมากกว่ากัน แต่เป็นงานที่ทำแล้วสนุกทุกอัน แต่พอเอ๋มาเขียนบทเยอะงานผู้ช่วยผู้กำกับฯก็เริ่มทำน้อยลง ก็มาดูแคสติ้งคัดเลือกนักแสดงที่จะมาเล่นละครของยูม่าแต่ละคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องถูกเราทดสอบการแสดง แต่ตอนนี้แคสติ้งไม่ได้ทำแล้ว ยูม่าไม่ได้ปั้นเด็กใหม่ ส่วนใหญ่จะใช้นักแสดงจากช่อง 3
ส่วนงานกำกับฯ เคยกำกับฯ เรื่อง "ตามรักคืนใจ" เรื่องเดียวก็พอแล้ว เพราะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น คืองานกำกับฯความรับผิดชอบสูงนะ แต่เอ๋ต้องเขียนบทด้วย หรือบางทีต้องเป็นโค้ชแอ็กติ้ง ถ้าไปทำงานกำกับฯเราต้องหยุดงานส่วนอื่น และที่บริษัทมีทีมงานแค่ทีมเดียว ถึงงานเขียนบทจะมีน้องมาช่วยเขียนแต่บางทีก็ไม่ทัน คิดว่าถ้าตัวเองมีประโยชน์ตรงไหนไปทำตรงนั้นดีกว่า ฉะนั้นตอนนี้ที่ทำประจำคือ เขียนบทกับเป็นแอ็กติ้งโค้ช"
การทำงานที่ผูกขาดกับยูม่ามานานกว่า 19 ปี ในขณะที่คนเขียนบทในบ้านเราส่วนใหญ่จะทำงานแบบฟรีเแลนซ์ "เพราะเอ๋เริ่มต้นทำกับที่ยูม่าและทำประจำกับที่นี่มาแต่แรกจนถึงวันนี้ 19 ปีแล้ว การทำงานที่นี่เป็นระบบ ทุกอย่างมีมาตรฐานของการทำงาน การที่เราทำงานเข้าระบบและมีมาตรฐานเอ๋ว่ามันก็แฮปปี้ ก็เคยมีที่อื่นติดต่อให้ไปเขียนบทไปกำกับฯ แต่จะไปได้ยังไงล่ะก็เรามีงานที่นี่อยู่ แล้วเราไม่ได้เป็นฟรีแลนซ์ของยูม่าแต่เราทำประจำ เราก็ต้องช่วยคิดงานมาด้วย จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ถ้าไปทำให้ที่อื่นงานที่นี่ก็จะดีเลย์
และพอเขียนบทเสร็จเราก็ต้องอยู่ในส่วนของกองถ่ายด้วยเพราะต้องเป็นโค้ชแอ็กติ้ง เป็นพี่เลี้ยงให้กับน้องที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับฯ เพราะส่วนหนึ่งเรากินเงินเดือนที่บริษัทก็ไม่ควรไปรับงานข้างนอกมันไม่แฟร์กับบริษัท และตัวเราเองก็รู้สึกแฮปปี้นะเพราะทำกับที่นี่มานานจนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท อีกอย่าง อายุ (ยุวดี ไทยหิรัญ) แกเป็นคนดีมาก เป็นคนที่มีพระคุณกับเรา เป็นคนดีที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนดีมากขนาดนี้ในหลายเรื่องที่แกมีส่วนร่วมกับเรานะ จนเราไม่คิดอยากไปทำงานกับใคร ไม่รู้สึกอยากออกไปทำที่อื่น แล้วที่นี่ก็มีงานให้ทำตลอดและงานแต่ละเรื่องก็เป็นความท้าทายในแต่ละแบบ"
แม้ช่วงหลังงานของยูม่าอาจจะดูดร็อปลงไป แถมละครก็ยังถูกดองคือ "สุกียากี้" และ "คุณกระบือสื่อรัก" มาจากการแข่งขัน "จริงๆ เอ๋ไม่ได้คิดว่าเป็นคู่แข่งนะ แต่พอดีอาชีพมันเปิดกว้างมากขึ้น คนเข้ามาเป็นผู้จัดฯ ก็จะเยอะขึ้น ใครก็มีโอกาสเข้ามาถ้ามีความสามารถ แต่เราก็ยังได้งานเท่าเดิม เพียงแต่ระยะหลังละครเสร็จแล้วอาจจะยังไม่ได้ออกฉาย เหมือนงานมันหายไป ก็คงเป็นเหตุผลของทางสถานีมากกว่า เรื่องอาจจะไม่แรง หรือฉายไปอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ หรืออาจจะมีเหตุผลอื่นของทางสถานีที่เขามองเอาไว้ในมุมของการตลาด ซึ่งเราก็ไม่รู้ ถ้าถามเอ๋ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจเพราะทำงานมา 19 ปี ก็ผ่านงานมานาน ก็เลยเข้าใจมากกว่า การที่เข้าใจทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้และมีความสุข
และไม่ได้รู้สึกเป็นการเสียเครดิตเพราะงานคงไม่ได้ดูแค่เรื่องสองเรื่องนี้ ไม่ได้คาดหวังต้องประสบความสำเร็จ ถ้าถามว่าวันนี้กระแสคนดูละครของเราน้อยลงหรือสนใจละครของบริษัทเราน้อยลง ไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือเสียเซลฟ์ เพราะเราผ่านจุดที่ประสบความสำเร็จมาหลายปีมากที่คนพูดถึง ก็เป็นเรื่องธรรมดา คนขึ้นก็ต้องลงเพื่อมีคนใหม่ขึ้นมาต้องสับกันไง คุณจะประสบความสำเร็จคนเดียวเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นวัฏจักรของการทำงาน เหมือนเราบอกพอมีสื่อเยอะขึ้นก็เป็นทางเลือกของคนเยอะขึ้น คนมีสิทธิ์เลือกดูเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องเลือกเรา"
แต่ช่วงหนึ่งยูม่าเคยเฟื่องฟูและถือได้ว่าเป็นต้นตำรับในการทำละครแอ็กชั่นร่วมสมัยของช่อง 3 "ช่วงที่ละครของยูม่าเฟื่องฟูก็ประมาณปี 2539 เริ่มจากเรื่อง "โปลิศจับขโมย" เป็นละครแอ็กชั่นแรกๆ ของวงการละคร จากนั้นก็ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ อาทิ "ล่าปีศาจ", "จับตายวายร้ายสายสมร" ซึ่งผลงานของยูม่าไม่เยอะนะ ปัจจุบันก็ทำละครเท่าเมื่อก่อนปีละ 2 เรื่อง เพียงแต่ว่าละครแต่ละเรื่องเมื่อก่อนนี้ออกไปแล้วประสบความสำเร็จ พอระยะหลังละครไม่ได้ออกหรือออกแล้วอาจจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเพราะผู้จัดละครอาจจะเยอะขึ้น ช่องทางการดูของคนเยอะขึ้น สื่อในการรับดูของคนมันเยอะขึ้นในปัจจุบัน ทางเลือกการดูของคนเยอะขึ้นก็เลยไม่โดดเด่น"
ฟีดแบ็กจาก "เพลิงพราย" "คนดูก็ว่าสนุกดีนะ แล้วมันก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา เป็นการเล่าเรื่องสอบสวนสืบสวนฆาตกรรม ซึ่งในละครทีวีส่วนใหญ่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเพราะว่าบางทีคนจะไม่ติดตามดู มันไม่เหมือนสมัยก่อนที่ใจจดใจจ่อ แต่เดี๋ยวนี้คนก็จะรู้แล้วว่าใครเป็นฆาตกร ฉะนั้นการเขียนบทต้องถูกปรับให้ไปกับยุคสมัย ทุกอย่างอาจจะดูเร็วกระชับ เรื่องเร็วเพื่อไม่ต้องทิ้งอะไรกับคนดูไว้มาก แล้วเรื่องนี้เป็นนิยาย การเขียนเรื่องจากนวนิยายจะยากสำหรับเรานิดนึงเพราะความที่มันมีโครงเรื่องที่เป็นเงื่อนไข บางทีเราจะแก้ไขอะไรกลัวจะไปบิดเรื่องเขา เพราะนิยายบางเรื่องบางเหตุการณ์เราก็ต้องดึงทิ้ง บางตัวละครเราต้องเอาออกไปหรือเพิ่มเข้าไปหรือขยายให้มันขึ้นมาอีกเพื่อให้เกิดความสนใจ แต่ถ้าเป็นพล็อตมันฟรีแฮนด์เราอยากให้เรื่องออกไป ให้ตัวละครไปนั่นไปนี่ หรืออยากใส่อะไรอยากเพิ่มอะไร สามารถบิดและสร้างความหักมุมได้เรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นนวนิยายบางทีมันก็จำกัด แต่ก็สนุกดี"
เขียนบทมาหลากหลายทั้งแนวบู๊ คอมเมดี้ แอ็กชั่น รักกุ๊กกิ๊ก ดราม่า และผี แต่กลับไม่มีสไตล์หรือเอกลักษณ์เฉพาะตัว "ก็สนุกดีที่ได้เปลี่ยน การได้ทำอะไรหลากหลายทำให้เราได้ประสบการณ์ เพราะงานเราจะอยู่บนจินตนาการ แต่เราไม่มีการทำงานที่เป็นสไตล์ เพราะคิดว่ามันเป็นอาชีพเรา เราไม่ได้ทำงานแบบฉันศิลปิน จะดูเฉพาะเป็นเรื่องๆ ไปนะ ไม่ว่าเรื่องอะไรเราเขียนได้หรือเปล่า ถ้าคิดว่าเขียนได้ก็เขียน ถ้าไม่ได้ก็ไม่เขียน ก็เลยบอกไม่ได้ว่าสไตล์หรือเอกลักษณ์ของตัวเองเป็นยังไง จริงๆ การทำงานถ้ามีสไตล์มากเกินไปมันจะเป็นการฟิกซ์ตัวเรา มันทำให้เราทำงานไม่หลากหลาย
งานเขียนบทสำหรับเราไม่ควรมีสไตล์ตายตัว มันควรไปตามยุคสมัยและร่วมสมัย อย่างปัจจุบัน การดูของคนดูเร็วขึ้น การเล่าเรื่องคงไปเล่าบรรยายภูมิหลังเยอะคนอาจจะไม่สนใจ ลองสังเกตตัวเองเวลาเอาหนังเก่าๆมาดู เมื่อก่อนทำไมเราว่าสนุกแต่ทำไมเดี๋ยวนี้มันช้า เพราะการรับรู้ของเราในปัจจุบันทุกอย่างมันเร็ว เราหาได้จากอินเทอร์เน็ต นี่คือความร่วมสมัยที่เราต้องปรับตัว อย่างเอ๋ก็ต้องปรับตัว ต้องมีความร่วมสมัยแต่ไม่ได้หมายความว่าต้องเอาอินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้ แต่หมายถึงเราเอาตัวเองวัดส่วนหนึ่งด้วยเวลาดูอะไร เออ...มันช้าไปหน่อย มันอืดไปนิด และต้องฟังเสียงคนรอบข้าง เขาอยากดูไอ้นี่ไม่ดูไอ้นั่นแล้วเราก็จับเอามาเป็นข้อมูล และอยู่ที่การเล่าเรื่อง บางเรื่องคนดูน่าจะรับรู้แล้ว หรือบางเรื่องคนดูรู้อยู่แล้วแต่เราอยากให้เขาเห็นอีกเพื่อความอิ่มเอิบ อย่างฉากพระนางคนก็อยากดูพระเอกนางเอกสวีตกันก็ควรจะมี แต่บางอันที่นั่งคุยกันนานๆจะมาจะไปก็อาจจะเล่าซ้ำไม่ได้"
มุมมองที่มีต่อวงการเขียนบทละครโทรทัศน์ "ก็มีหลายคนที่อยากเข้ามาแต่ยังขาดโอกาส เพราะผู้จัดฯ แต่ละคนก็ต้องคาดหวังในคนเขียนบทที่มีประสบการณ์แล้ว คนที่มาใหม่แทบไม่มีโอกาสเลย ก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย และเห็นใจเด็กที่อยากมีโอกาสเขียนบทแต่เขาขาดโอกาส ทั้งที่คนเก่าบางทีก็ไม่ได้เขียนดีแต่ต้องเอาเพราะมีชื่อแล้วไงก็มีเครดิต อีกอย่างไม่อยากให้คนทำงานกับการก๊อบปี้ เพราะการก๊อบบางทีมันไม่ใช่เรื่องวัฒนธรรมของบ้านเรา อย่างคนไทยจะไม่ขึ้นขี่คอมันดูแปลกๆ สำหรับความเป็นคนไทย เอ๋ว่าน่าจะมีวิธีอื่น ก็แล้วแต่นะ บางคนอาจจะก๊อบเพราะรู้สึกเอามาเป็นแค่แรงบันดาลใจ
เอ๋อยากจะบอกว่าถ้าอยากเป็นนักเขียนบทก็ต้องอดทนสูง อดทนกับการถูกแก้ไขงาน เอ๋เคยเขียนบทเรื่องแรกเชื่อมั้ย พี่เม้าท์ (ชูชัย องอาจชัย) โยนทิ้งเลย บอกเขียนไม่ได้ไม่เป็นไรเขาไปเอาคนอื่น เราร้องไห้เลยนะไม่ได้เสียใจเพราะโดนด่าแต่เสียใจว่าเราทำไม่ได้จริงๆ หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประสบการณ์ให้เรารู้สึกต้องทำมันให้ได้ ต้องกลับไปเขียนใหม่ ต้องมีแรงฮึดสำหรับตัวเองและต้องมีความอดทนและยอมรับกับคำวิพากษ์วิจารณ์ แรกๆ ก็เฮิร์ตทุกคนแหละ ก็ต้องผ่านการร้องไห้ผ่านอะไรมาเยอะในการโดนด่า แต่สิ่งต่างๆ ถ้าคุณผ่านมันไปได้ก็จะเป็นโอกาสของคุณ และพยายามอย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณอดทนและคิดว่าเป็นไปได้ มันก็น่าจะมีช่องทาง"
โปรเจ็กต์ที่อยากทำคือเปิดสอนการแสดงและการเขียนบท "เพราะเรารู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันเป็นความสามารถส่วนหนึ่งของเราที่สามารถทำได้ อย่างนักแสดงแต่ละคนที่เกิดจากที่นี่ อาทิ "เคน" ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์, หน่อย บุษกร, เชอรี่ เข็มอัปสร, ปูเป้ รามาวดี, น็อต วรฤทธิ์, เอส วรฤทธิ์, ต่าย ณัฐพล, หยาดทิพย์ ราชปาล, ตั้น พิเชษฐ์ไชย ฯลฯ ก็มีคุณภาพ มีวินัยที่จะออกไปเป็นบุคลากรที่ดีในการทำงานก็คิดว่าส่วนหนึ่งอยากให้คนที่ก้าวเข้ามาในวงการได้มีโอกาส
แต่สอนการแสดงของเราไม่ได้สอนเพียงแค่ให้คุณไปเป็นดารา แต่คนที่มีปัญหาเรื่องบุคลิกภาพ เรื่องความไม่มั่นใจตัวเอง ถ้ามาเรียนการแสดงก็จะช่วยได้ให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น ส่วนสอนการเขียนบทก็มีคนถามมาเยอะมากเลย ซึ่งเราก็อยากให้คนมีโอกาสมากขึ้น คนทำงานจะได้เยอะขึ้น ซึ่งเราอาจจะเปิดสอนการแสดงและเขียนบทพร้อมกันเลยเพราะเป็นเรื่องทำไปด้วยกันได้ แต่กำลังคิดว่าจะเริ่มเมื่อไหร่ คิดว่าคงเป็นภายในปีนี้แหละ"
จากคุณ |
:
โมงยามแห่งความสุข
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ส.ค. 55 09:15:10
|
|
|
|
 |