[SPOILER!!!] World Embryo ตอนที่ 80 + ข่าวดีชั้นแรกสำหรับแฟนๆ World Embryo ทุกท่าน!!
|
|
กลับมาเจอกันอีกครั้งกับ Spoil เนื้อเรื่อง World Embryo ประจำทุกเดือนนะครับ
เดือนนี้มาเร็วกว่าปกติเล็กน้อยเพราะ Young King Ours เล่มของเดือนนี้มาถึงคิโนะฯ เร็วกว่าที่เคยมาแฮะ (แต่กว่าจะได้ไปเอาก็ตั้งวันเสาร์นี้อยู่ดี เพราะวันธรรมดาไม่มีเวลาไปเอา) เลยได้ฤกษ์มา Spoil เนื้อเรื่องกันตั้งแต่วันนี้แหละครับ
เนื้อหาตอนนี้อาจค่อนข้างธรรมดาเล็กน้อย เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่หลายคนน่าจะเดากันไว้แล้วว่า "น่าจะเป็นแบบนี้" แต่ที่น่าตื่นเต้นเป็นพิเศษสำหรับผมในตอนนี้ก็คือ "ข่าวดี" ที่ประกาศในคำโปรยหน้าเปิดตอนของตอนนี้นี่แหละครับ...ถึงจะเป็นแค่ "ข่าวดีชั้นแรก" ไม่ใช่ "ข่าวดีชั้นสุดยอด" อย่างที่ผมกะไว้ก็เถอะ
ส่วนจะเป็นข่าวเรื่องอะไรนั้น อ่านตอนนี้ให้จบก่อนแล้วผมจะเล่าให้ฟังหลัง Spoil จบเองครับ ส่วนท่านใดอยากรู้ว่าเป็นข่าวอะไรก่อนอ่าน ก็เชิญลากพรวดเดียวข้าม Spoil เนื้อหาลงไปอ่านท้ายกระทู้ตรงความเห็นที่ 5 ได้เลยครับ
ว่าแล้วก็ไปชม Spoil เนื้อหากันได้เลยครับ 
เปิดตอนมาต่อจากตอนที่แล้วที่ริคุกับพลพรรคเจรจากับเอนเดจนได้เอนเดมาเป็นพวกสำเร็จ โดยหลังจากได้เอนเดมาเป็นพวกแล้ว สถานการณ์ทางฝั่งพวกริคุก็ดีขึ้นจากเดิมชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว เพราะเอนเดนั้นใช้พลังของตนเชื่อมโยงกับ "วงจรดัก" (กองภูเขาทีวีที่คาราซาว่าเคยใช้เป็นศูนย์กลางแพร่เชื้อคังชุผ่านมือถือในแต่ละจุดของเมือง) เป็นสื่อกลางสร้าง "เขตปลอดคังชุ" ขึ้นมาสำหรับป้องกันคังชุไม่ให้บุกเข้ามาในอาณาเขตดังกล่าวได้ (เดาว่าน่าจะช่วยป้องกันคนที่อยู่ในแถบนั้นไม่ให้กลายเป็นคังชุได้ด้วย...แต่อันนี้ไม่ได้บอกไว้ชัดเจนในเรื่อง เพราะงั้นเลยไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน) ซึ่งทำให้งานของ F.L.A.G. สะดวกขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่เฝ้าระวังการปรากฏตัวและการแพร่เชื้อของคังชุลดน้อยลง ทำให้แบ่งเวลาไปทำภารกิจอื่นที่สำคัญกว่าได้มากขึ้น ซ้ำด้วยความสามารถในการเชื่อมโยงประสาทสัมผัสของตนเข้ากับเครื่องมือสื่อสารต่างๆ อันเป็นความสามารถของคังชุทั้งปวงแต่เดิมที ทำให้เอนเดสามารถติดต่อกับพวกริคุผ่านทางเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดได้ (ซึ่งโดยมากก็ติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์มือถือนั่นแหละ) ทุกเมื่อทุกเวลา ขอเพียงเจ้าของเครื่องมือสื่อสารอยู่ในรัศมีที่พลังของเอนเดส่งไปถึงเท่านั้น (ตรงนี้มีมุกตลกเล็กๆ โผล่มาด้วย คือในตอนเช้าจะมีฉากที่เอนเดโทรมา "อ้อน" ริคุในตอนนี้ด้วย ซึ่งดูจากสีหน้าเอือมๆ ของบักริคุแล้ว ผมแอบคิดว่าคงโดนโทรมาหาทุกวันเลยล่ะสิท่า )
แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่างานของพวกริคุจะสะดวกโยธินไปเสียทั้งหมด เนื่องจากเอนเดนั้นต้องใช้พลังทั้งหมดของตนเชื่อมต่อกับกองภูเขาทีวีทุกแแห่ง ทั้งยังต้องคอยส่งพลังเคงเซย์เพื่อรักษาเขตปลอดคังชุแต่ละแห่งอยู่ตลอดเวลา ทำให้เอนเดไม่สามารถออกห่างจากกองภูเขาทีวี ณ ตำแหน่งที่เคยเป็นหอคอยเศษเหล็กซึ่งเป็นวงจรหลักสำหรับควบคุมวงจรทั้งหมดได้เลย มิหนำซ้ำ การใช้พลังติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่หยุดพักยังส่งผลกระทบต่อร่างกายของเอนเดอย่างมาก ทำให้เมื่อส่งพลังไปได้พักหนึ่ง จะมีบางช่วงที่ร่างกายของเอนเดหยุดทำงานแล้วหลับไปดื้อๆ เหมือนคนหลับในระหว่างขับรถไม่มีผิด (ตรงนี้มีมุกตลกเล็กๆ โผล่มานิดนึงด้วย คือระหว่างที่เอนเดหลับอยู่นั้น ทุกคนใน F.L.A.G. ต่างก็เป็นห่วงเอนเดที่อยู่ๆ ก็ล้มพับไป เลยจัดแจงซื้อของขวัญต่างๆ ที่เอนเดน่าจะชอบมาให้เป็นการใหญ่ ทั้งขนมนมเนย ทั้งน้ำชา ทั้งกาแฟ กระทั่งตุ๊กตาหมีตัวเบ้งๆ เอามาตั้งไว้ให้เอนเดจนกองภูเขาทีวีมีแต่ของขวัญต่างๆ ตั้งอยู่เต็มไปหมด เล่นเอาเอนเดโทรฯ มาบ่นกับริคุใหญ่ว่าตื่นมาเจอแบบนี้แล้วสงบใจไม่ลงเลย )
ที่ลำบากยิ่งกว่านั้นก็คือ แม้จะตกลงเป็นพวกเดียวกับริคุแล้วก็ตาม แต่เอนเดกลับไม่ยอมให้ความร่วมมือในการตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องของเอมบริโอ เรื่องของคังชุ หรือเรื่องของคิวกิเลยแม้แต่น้อย กิริยากระหายความรู้เหมือนหมากระหายเหยื่อของซาโกมิซึ หัวหน้าหน่วยวิจัยของ F.L.A.G. ทำให้เอนเด (ซึ่งไวต่อแรงกระตุ้นจากจิตใจคนเป็นอย่างมากเนื่องจากความสามารถของคิวกิ) รู้สึกกลัวจนไม่ยอมพูดคุยกับซาโกมิซึอีก ทำเอาริคุถึงกับอดไม่ได้ต้องออกอาการหงุดหงิดออกมาแบบห้ามไม่อยู่ ซึ่งก็ไม่ช่วยอะไรเลยนอกจากทำให้เอนเดรู้สึกไม่สบายใจกับอารมณ์หงุดหงิดของริคุจนตัดสายทิ้งเอาดื้อๆ เท่านั้น (ซึ่งตรงนี้จะว่าริคุก็ไม่ได้เต็มปากนัก เพราะตัวริคุเองก็กำลังหงุดหงิดอยู่เหมือนกันเนื่องจากยังตามหาเรน่ากับทาคาโอะไม่เจอ ทั้งๆ ที่เวลาก็ผ่านมาได้พักหนึ่งตั้งแต่วันที่เรน่าหายตัวไปจวบจนถึงวันที่ได้เอนเดมาเป็นพวก และทาง F.L.A.G. เองก็ทุ่มกำลังตามหาอย่างเต็มที่แล้วแท้ๆ ดังนั้นจะเผลอปล่อยอาการหงุดหงิดออกมาบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก)
ที่สุดเมื่ออดรนทนไม่ไหว ริคุก็ไปขอร้องสึคิชิโระให้อนุญาตให้ตัวเองออกไปตามหาเรน่าร่วมกับหน่วยค้นหาของ F.L.A.G. ด้วยคน ซึ่งก็ได้รับคำตอบปฏิเสธกลับมาอย่างเด็ดขาด เนื่องจากริคุนั้นเป็นหมากตาสำคัญในการเผชิญหน้ากับคิวกิอามาเนะ ดังนั้นจะเสี่ยงให้ออกไปทำภารกิจอื่นที่อาจมีอันตรายไม่ได้เด็ดขาด พร้อมให้เหตุผลแบบกึ่งปรามกึ่งปลอบใจทิ้งท้ายว่า เอนเดก็บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าทาคาโอะตั้งใจจะใช้เรน่าเป็นกำลังรบสำหรับเปิดเกมรุกกลับ ดังนั้นตราบเท่าที่ทาคาโอะยังไม่ตัดสินใจจะเปิดเกมบุก เรน่าก็น่าจะยังปลอดภัยอยู่นั่นแหละ เพราะงั้นให้รอจนกว่าจะถึงตอนนั้นเถอะ
ริคุได้ยินดังนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบอย่างอับจนถ้อยคำ เขาก้มหน้าลงกัดฟันแน่น พยายามข่มความร้อนใจที่ปะทุอยู่ในหัวอกอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังอดไม่ได้ต้องหลุดปากออกมาอย่างเจ็บใจว่า "การที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากรออยู่เฉยๆ นี่มันน่าเจ็บปวดจริงๆ นะ..."
คำพูดหลุดปากโดยไม่ยั้งคิดของริคุทำเอาชิซึรุที่อยู่ในห้องนั้นด้วยถึงกับอารมณ์ขึ้นขึ้นมาทันควัน ด้วยรู้สึกว่าริคุเองก็ทำให้ตัวเธอต้องตกอยู่ในสภาพที่ "ทำอะไรไม่ได้นอกจากรออยู่เฉยๆ" เหมือนกันแท้ๆ ยังจะมีหน้ามาพูดเหมือนตัวเองเป็นเหยื่ออยู่คนเดียวอีกงั้นเหรอ หญิงสาวยกมือขวาขึ้นกุมอกเสื้อด้านซ้ายของตัวเองไว้แน่น ก่อนจะหลุดปากพูดออกไปในที่สุด
"นั่นมันคำพูดของชั้นมากกว่ามั้ง" น้ำเสียงราวกับจะข่มความเจ็บปวดของชิซึรุทำเอาริคุถึงกับเบิกตากว้าง หันขวับไปมองชิซึรุที่ยืนกุมเสื้อตัวเองแน่นอย่างตะลึง "ตัวเองอยู่ในสงครามที่อันตรายขนาดนี้แท้ๆ แต่กลับไม่บอกอะไรชั้นเลยซักคำ ทั้งที่ถ้าเกิด...อะไรขึ้นมา...ชั้นกับทุกคนก็จะลืมริตจังไปหมดแท้ๆ..."
ยิ่งพูด หญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกเหมือนความเจ็บปวดและน้อยใจในหัวอกยิ่งปะทุรุนแรงขึ้นทุกที หญิงสาวเบือนหน้าหลบสายตาริคุไปทางอื่นทันควัน มือที่กุมอกซ้ายไว้ยิ่งกำแน่นกว่าเดิม ขณะที่ในใจก็พยายามจะผลักความรู้สึกเหล่านั้นออกไปอย่างเต็มที่...แม้ว่าจะยากเย็นเหลือเกินก็ตาม
...ถ้าเราเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ เธอคงไม่ปิดบังอะไรกับชั้นใช่มั้ย...? ริตจัง...
...ไม่ปิดบัง...เหมือนอย่างที่อามาเนะจังปิดบัง...
แม้จะถูกความเจ็บปวดรุมเร้าจนแทบอดกลั้นไว้ไม่อยู่ แต่ในที่สุด ความยับยั้งชั่งใจก็เป็นฝ่ายชนะจนได้ ชิซึรุหันหน้ากลับมามองริคุด้วยสีหน้าอมยิ้มจนแก้มแทบปริ ใบหน้าและแววตาไม่เหลือร่องรอยของความน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อครู่อยู่เลย ก่อนจะบอกริคุให้คลายใจด้วยน้ำเสียงร่าเริง...ที่พยายามปั้นอย่างเต็มที่...ว่า รู้อยู่หรอกว่าริคุร้อนใจเรื่องเรน่าแค่ไหน แต่คนที่ร้อนใจเรื่องเรน่าน่ะไม่ได้มีแต่ริคุคนเดียวหรอกนะ พร้อมกลบเกลื่อนว่าที่พูดแรงๆ เมื่อครู่นี้ก็แค่อยากบอกเรื่องนี้กับริคุเท่านั้นแหละ
ว่าจบก็ตัดบทเดินจากมาทันควัน ริคุก็เดินตามมาถามอย่างเป็นห่วงก็แกล้งกลบเกลื่อนเฉไฉไปพูดเรื่องอื่นซะเฉยๆ จนริคุไม่มีโอกาสถามอะไรอีก
เดินตามกันออกมาถึงระเบียงทางเดินที่มีภาพถ่ายของเหล่าผู้ใช้จิงกิของหน่วยย่อยเต็มไปหมด ชิซึรุก็หันไปสังเกตเห็นภาพริคุที่ถ่ายกับหน่วยย่อยตอนไปทะเลก็แกล้งถามถึงภาพนี้ว่าไปถ่ายที่ไหนเพื่อกลบเกลื่อน
ระหว่างที่พูดถึงภาพถ่ายตอนไปทะเลกันอยู่นั้นเอง ชิซึรุก็หันไปเห็นภาพภาพหนึ่งติดอยู่บนผนัง จึงยื่นมือไปจะหยิบมาพูด
ทว่า เพียงแค่หยิบภาพมาดูเฉยๆ เท่านั้น อยู่ๆ ชิซึรุก็ล้มปังลงไปกับพื้นเหมือนตุ๊กตาถูกตัดสายชักไปดื้อๆ ต่อหน้าต่อตาริคุ ริคุตกใจมาก รีบพาชิซึรุส่งห้องไอซียูชั่วคราวที่หน่วยพยาบาลของฐานทันทีโดยมีสึคิชิโระ สาวใช้สึซึ กับพวกผู้ใช้จิงกิคนอื่นๆ แห่กันตามมาดูอาการด้วย
โดยหลังจากหมอประจำหน่วยซึ่งเป็นคนของ F.L.A.G. ตรวจอาการอยู่ครู่ใหญ่ ก็ลงความเห็นว่าชิซึรุนั้นมีอาการ "ลอสต์รีบาวด์ขั้นที่ 2" ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายก่อนที่อาการจะทรุดลงถึงขั้นร้ายแรง คำตอบของหมอสร้างความตกตะลึงให้กับสึคิชิโระ (ผู้ไม่รู้ว่าชิซึรุเคยเกือบมีอาการลอสต์รีบาวด์มาก่อนได้) อย่างมาก เพราะนึกไม่ถึงว่าชิซึรุจะออกอาการลอสต์รีบาวด์ขึ้นมาดื้อๆ โดยไม่มีสาเหตุได้ ริคุก็เลยหยิบเอาภาพที่ชิซึรุหยิบมาดูก่อนจะล้มพับไปให้สึคิชิโระกับพวกผู้ใช้จิงกิคนอื่นดู
ซึ่งภาพนั้นก็คือ...
จากคุณ |
:
Drake
|
เขียนเมื่อ |
:
4 พ.ย. 55 02:09:40
|
|
|
|