Sean Connery
ภารกิจ - Dr.No (1962), From Russian with Love (1963), Goldfinger (1964), Thunderball (1965), You Only Live Twice (1967), Diamond are Forever (1971). Never Say Never Again (1983)
ไม้ตาย - มีแต้มต่อในฐานะบอนด์คนแรก เป็นคนที่สร้างมาตรฐานให้ว่า มิสเตอร์ 007 จะต้องมีรูปลักษณ์สูงใหญ่ แข็งแรง เป็นสุภาพบุรุษ สมชายชาตรี มีสไตล์ และเสน่ห์แรง
เส้นทางสายลับ (ก่อนจะเป็น มิสเตอร์บอนด์)
ชีวิตของ ฌอน คอนเนรี่ แตกต่างจากชีวิตของ เจมส์ บอนด์ ลิบลับ เขาเกิดมาในครอบครัวชนชั้นแรงงานที่เมืองปาวเทนบริดจ์ ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเมืองเอดินเบิร์ก สก็อตแลนด์ พ่อของเขาถึงจะเป็นเพียงคนขับรถส่งของแต่ก็ภาคภูมิใจอาชีพอย่างมาก เรียกได้ว่าไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเกเรขาดงานไป นิสัยขยันขันแข็งนี้ส่งตรงมาถึงลูกชาย เมื่อคอนเนรี่เห็นว่าครอบครัวมีภาระค่าใช้จ่าย เขาจึงยอมออกจากโรงเรียนตั้งแต่มัธยมเพื่อหางานทำแบ่งเบาภาระทางบ้าน งานแรกที่เขาเป็นคือ เด็กส่งนมตามละแวกชุมชนในเมือง
นอกจากเด็กส่งนม คอนเนรี่ยังทำงานอีกหลายอย่าง รวมถึงรับจ็อบเป็นตัวประกอบหน้ากล้องเดินไปเดินมา แม้จะทำงานหนักแค่ไหน คอนเนรี่ก็ยังมีความฝันแบบเด็กวัยรุ่นแบบเต็มเปี่ยม เขาทะเยอทะยาน อยากมองโลกกว้าง อยากเที่ยวรอบโลก แต่ด้วยภาระการเงินเป็นอุปสรรค สิ่งเดียวที่เขาจะทำได้คือสมัครเข้าเป็นทหารเรือและผจญภัยบนน่านน้ำ คอนเนรี่ได้เป็นกะลาสีอยู่บนเรือรบ เข้าเรียนโรงเรียนปินใหญ่ อนาคตการงานดูสดใสแต่แล้วชะตากรรมก็พลิกผัน เมื่อเขาต้องถูกส่งกลับฝั่งเพราะเกิดอาการแผลติดเชื้อ ไม่สามารถทำงานบนเรือได้อีก แม้ผิดหวังแต่คอนเนรี่ก็กลับเอดินเบิร์กและมุ่งหน้าหางานทำต่อไป ชีวิตหันเหไปอีกครั้งเมื่อเห็นประกาศรับสมัคร Mr.Universal ประจำปี 1953 ที่จัดขึ้นในลอนดอน เขาฟิตหุ่นล่ำๆ ที่ได้มาจากการเป็นทหารเรือและส่งตัวเองเข้าประกวด ได้อันดับ3 แต่คอนเนรี่ก็รู้ว่าอนาคตนักกล้ามคงไม่รุ่งเรืองเท่าไหร่นัก เขาจึงไปแคสติ้งบทกะลาสีเรือในละครเวทีเรื่อง South Pacific ตามคำชักชวนของเพื่อนร่วมเวทีประกวด ด้วยประสบการณ์จริงทำให้คอนเนรี่ได้บทนี้มาอย่างไม่ยากเย็น และเขาก็ต้องทุ่มเทให้กะบการร้องการเต้น และออกเดินทางทั่วเกาะอังกฤษเพื่อเดินสายแสดงละครเป็นปีๆ
ดูท่าพระเจ้าจะชอบเล่นตลกกับคอนเนรี่ เมื่อมีทางเลือกชีวิตอีกหนึ่งอย่างมาถึง เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อคณะละครเวที South Pacific ไปดปิดการแสดงที่เมืองเชสเตอร์ และได้ปะทะฝีเท้ากับทีมเยาวชนของผีแดง แมนยู ฝีเท้าของคอนเนรี่โดดเด้งเตะตา แมทท์ บัสบี ผู้จัดการทีมอย่างแรงถึงขนาดชักชวนให้เข้ามาร่วมทีมเป็นนักบอลฝึกหัดเพื่อพัฒนาผีเท้าไต่เต้าสู่อนาคตต่อไป งานนี้เล่นเอาคอนเนรี่ไขว้เขว้ จนต้องไปปรึกษากับ โรเบิร์ต เฮนเดอร์สัน เพื่อนนักแสดงรุ่นพี่แก่ประสบการณ์ร่วมทัวร์ด้วยกัน เฮนเดอร์สัน แนะนำว่าให้มองการณ์ไกลสักนิด งานเหมือนกัน เงินเหมือนกัน แต่อายุการทำงานนี่สิแตกต่างกัน เป็นนัฟุตบอลอาจจะจบอาชีพเมื่ออายุ 30ปี หรือเร็วกว่านั้น ถ้าบาดเจ็บ แต่ถ้าเป็นนักแสดง คุณจะสามารถแสดงได้จนตาย คอนเนรี่ฟังแล้วก็ปิ๊ง ตัดสินใจได้ทันที เขาปฏิเสธข้อเสนอของแมนยู และตบเท้าเดินหน้าสู่วงดารบันเทิงอย่างมุ่งมั่น เขาอาศัยครูพักลักจำ เวลาว่างก็เข้าห้องสมุดประชาชนหาหนังสือเกี่ยวกับการแสดงอ่านเสริมความรู้กันไป
ชีวิต 007 (เมื่อกำลังจะเป็น บอนด์)
ความพยายามส่งผลดีกับชีวิตการแสดงของคอนเนรี่ เขาได้บทสมทบเล็กๆน้อยๆ แต่ฝากฝีมือบวกนิสัยที่น่าประทับใจขนาดที่ผู้กำกับ เทอเรนซ์ ยัง ที่ร่วมงานกับเขาใน Action of the Tiger (1957) ถีงกับให้คำมั่นสัญญาว่า ถ้ามี บทดีๆ เด่นๆ เหมาะกับคอนเนรี่เมื่อไหร่ จะเรียกมาแสดงแน่นอน หลังจากนั้นชีวิตของคอนเนรี่ก็วนๆเวียนๆ อยู่กับบทสมทบในหนังหรือทีวีซีรีส์ จนได้ร่วมงานกับสตูดิโอดิสนีย์ ในเรื่อง Darby O'Gill and the Little People (1959) เรียกได้ว่านี่คือผลงานฮอลลีวู้ดเรื่องแรกด้วย แต่มันก็ดันไม่รุ่งอย่างที่คิด ชีวิตการแสดงของคอนเนรี่ก็เตาะแตะไปเรื่อยๆ จนเมื่อสัญญาเซ็นไว้กับ ทเวนตี เซนจูรี่ ฟ็อกซ์ หมดลง คอนเนรี่ก็ผละไปหาที่ใหม่ที่มีเหล่าดาราสาวๆสวยๆ แนะนำหนึ่งในนั้นคือ ไดแอน ซิเลนโด้ ผู้ซึ่งกลายเป็นภรรยานัมเบอร์วันของเขา
สำนักงานที่สาวๆ แนะนำให้เขาเข้าไปคือ ออฟฟฺศของ อัลเบิร์ต อาร์ บร๊อคโคลี่ ซึ่งขณะนั้นกำลังปวดหัวกับการเตรียมงานหนังสายลับจากหนังสือของ เอียน เฟลมมิ่ง ที่ชื่อว่า James Bond ตอน Dr.No ขณะนั้น บร๊อคโคลี่, แฮร์รี่ ซอลท์แมน, บัตต์ ออนสไตน์ (ทั้งสามเป็นโปรดิวเซอร์) และ เอียน เฟลมมิ่ง กำลังคัดเลือกนักแสดงหนุ่มๆมารับบทสายลับเจ้าเสน่ห์คนนี้อยู่ รายชื่อในขณะนั้นมีทั้ง เดวิด นีเวน, แครี่ แกรนท์, เจมส์ เมสัน, คริสโตเฟอร์ ลี (ญาติสนิทของเฟลมมิ่ง) แต่ด้วยงบจำกัดจำเขี่ย พวกเขาจึงต้องเลือกนักแสดงโนเนมมารับบทนี้ และตัวเลือกที่ว่านั่นก็ชื่อ ฌอน คอนเนรี่ ที่โปรดิวเซอร์ทั้งสามประทับใจรูปลักษณ์ของคอนเนรี่ตั้งแต่แรกเห็นและมั่นใจว่านี่แหละ เจมส์ บอนด์ ที่เหมาะสม แต่เฟลมมิ่งกลับปฏิเสธเสียงแข็งและบอกว่า "ไม่ เขาไม่เหมือนที่ผมจินตนาการสักนิดเดียว" เฟลมมิ่งอยากได้คนที่มีบุคลิกเป็นผู้นำ แต่กับคอนเนรี่เขามองว่าเป็นได้เพียงลูกกระจ๊อกเล็กๆเท่านั้นเอง เรื่องที่ดูท่าจะใหญ่โตจบลงได้ด้วยคำพูดของแฟนสาวของเฟลมมิ่งว่า "ฌอนเป็นคนที่มีเสน่ห์ชะมัดเลย" แม้จะคลางแคลงใจเล็กน้อย หากพอได้เห็นผลลัพธ์เมื่อคราวหนังออกฉายและโด่งดังทะลุฟ้า รวมถึงใครๆ ก็คลั่งไคล้สายลับ 007 ที่คอนเนรี่แสดง เฟลมมิ่งก็หันกลับมาชื่นชมคอนเนรี่พร้อมทั้งเป็นคาแรกเตอร์ให้ตัวบอนด์มีเชื้อสายสก็อตอย่างที่คอนเนรี่เป็น
มีคนบอกว่าความสำเร็จของคอนเนรี่นั้นเป็นผลมาจากได้ผู้กำกับอย่าง เทอร์เรนซ์ ยัง คอยดูแล (ผู้กำกับคนนั้นล่ะ คนที่เคยให้สัญญากับคอนเนรี่ไว้) ยังที่กำกับ Dr.No ทุ่มเทให้กับคอนเนรี่ เขาสั่งสอนทุกอย่าง ดูแลประหนึ่งแม่นกปกป้องลูกนกที่เริ่มหัดบิน โลอิส แม็กซ์เวล์ล มิสมันนี่เพนนี่คนแรกบอกเลยว่า ยังดูแลทุกอย่างแม้กระทั่งท่วงท่าการยืน การเดิน การกิน ที่ทำไงให้ดูสง่างามสมกับสายลับ มือวางมากที่สุด "พวกเขาเดินไปตามเส้นทางเดียวกัน ผลที่ออกมามันก็เลยเจ๋งไปเลย"
ความสำเร็จของภาคแรก ส่งผลให้ EON Production มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ และสร้างภาคต่อของเจมส์ บอนด์ มาอีกเรื่อยๆ แน่นอนว่าชายหนุ่มเจ้าของรหัส 007 ยังรับบทโดยคอนเนรี่คนเดิม จนกระทั่งเรื่องที่ห้า You Only Live Twice ถ่ายเสร็จ ตอนเนรี่ก็ประกาศ "ไม่เอาอีกแล้วกับบท เจมส์ บอนด์" เขาบอกว่าเบื่อกับเนื้อเรื่องที่ดำเนินไปตามเรื่องราวเดิมๆ พล็อตซ้ำๆ ตัวละครก็ไม่ได้พัฒนาและที่สำคัญเขาไม่อยากให้ใครๆติดภาพเขาเป็น เจมส์ บอนด์ ตลอดไปแต่หลังจากนั้น คอนเนรี่ก็ต้องกลับคำ กลับมารับบทบอนด์ต่ออีก 2 ตอน (จริงๆ ตอน Never Say Never Again ไม่ได้เครดิตเต็มตัว) และรับบทเด่นๆ ในหนังดังๆมาอีกหลายเรื่อง เป็นนักแสดงที่โด่งดังที่ยังคงเป็นมือเก๋าในวงการจนถึงปัจจุบัน
Credit :: Starpics Special Edition ; Everything About 007