 |
บทสรุปของ"สะท้านขวัญทุกย่างก้าว" หรือ "Bu bu jing xin" หลังรั่วซีจากไป (สปอยล์อย่างแรง)
|
|
ขอแนะนำCreditก่อนนะคะ : http://koalasplayground.com/2011/10/05/summary-of-the-additional-epilogue-for-bu-bu-jing-xin-the-novel/
ในเว็ปเป็นภาษาอังกฤษ แต่เราจะแปล(ตามประสางูๆปลาๆ)คร่าวๆดังนี้ (ขอแนะนำว่าเหมาะกับผู้ที่ดู BBJX จบแล้วเท่านั้น) ปล.แปลผิดพลาดตรงไหนรบกวนเพื่อนๆช่วยบอกด้วยนะคะ
นวนิยายเรื่องปู้ปู้จิงซิน โดย “ถงหัว” เริ่มเผยแพร่ในโลกออนไลน์ปี 2006และได้มีการนำมาเรียบเรียงใหม่ในปี 2011 เป็นเรื่องราวที่ดำเนินต่อจากเมื่อรั่วซีได้จากโลกนี้ไปแล้ว
เรื่องราวหลักๆถูกดำเนินเรื่องโดยองค์หญิงเฉิงฮวน (ธิดาขององค์ชาย13กับลิ่วอวู๋) ผู้ซึ่งเติบโตมาในพระราชวังต้องห้าม และกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกับองค์ชาย5 หงซู่ (Hongzhou) ในฮ่องเต้หย่งเจิ้น ทั้งสองต้องประสบปัญหาวุ่นวายต่างๆนาๆ(spunky way)แต่ฮ่องเต้ก็รักองค์หญิงเฉิงฮวนมาก และดูแลองค์หญิงได้ดีกว่าดูแลบรรดาลูกๆของตนเองซะอีก องค์หญิงเฉิงฮวนถูกยกให้ฮองเฮาดูแล (ฮองเฮาสูญเสียองค์ชายเพียงองค์เดียวไปและยังคงไม่มีทายาทจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต) ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ก่อนฮ่องเต้หย่งเจิ้นเพียงไม่กี่ปี แต่แม้ว่าเธอจะไม่มีทายาทแต่เธอก็ยังคงมีสถานภาพเป็นฮองเฮาจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต
ก่อนฮองเฮาจะสิ้นพระชนม์เธอได้ระบายความในใจกับองค์หญิงเฉิงฮวนว่าเธอได้รับการดูแลและให้เกียรติจากฮ่องเต้เป็นอย่างดีตลอดมา เธอไม่กลัวความตายแต่เธอกลัวว่าต้องทิ้งฮ่องเต้ไว้เพียงลำพัง เมื่อถึงเวลาใกล้ที่จะสิ้นใจเธอได้ถามคำถามกับฮ่องเต้อย่างตรงไปตรงมาว่าถ้าจะให้ฮ่องเต้เลือกฮองเฮาใหม่อีกครั้งยังจะเลือกเธอหรือไม่ ฮ่องเต้ตอบว่าฮองเฮาอยู่เคียงข้างเขามาเป็นเวลา 40 ปีแล้วนับตั้งแต่ยังเป็นสาวรุ่นๆและไม่เคยบกพร่องในหน้าที่ศรีภรรยาที่ดีเลย ในสายตาของเขาไม่มีใครเลยที่จะสามารถมาแทนที่ฮองเฮาได้ ได้ฟังเช่นนั้นฮองเฮาจึงได้จากไปอย่างสงบ
ไม่กี่ปีภายหลังจากการตายของรั่วซี มีองค์ชายชาวมองโกลเลียมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้หย่งเจิ้น ซึ่งองค์ชายพระองค์นี้ คือ ลูกชายองค์สุดท้ายขององค์หญิงหมินหมิ่น เพื่อมาสู่ขอองค์หญิงจากราชวงศ์ชิง ฮ่องเต้ได้ไตร่ถามว่าการมาสู่ขอองค์หญิงเช่นนี้เป็นความเห็นชอบของท่านพ่อหรือท่านแม่ขององค์ชายงั้นหรือ? องค์ชายตอบว่าเป็นความเห็นชอบของท่านแม่(องค์หญิงหมินหมิ่น) ท่านพ่อนั้นเกรงว่าจะเป็นการบังอาจที่จะมาสู่ขอองค์หญิงจากราชวงศ์ชิง แต่ท่านแม่เกลี้ยกล่อมจนสำเร็จ
เมื่อได้ยินดังนี้ ฮ่องเต้กล่าวว่ายังไม่มีองค์หญิงใดในวัยที่จะทำการสมรสได้ในตอนนี้ แต่ทรงมีองค์หญิงที่รักเสมือนดวงใจราวกับเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองอยู่พระองค์นึง ฮ่องเต้ได้ประทานงานสมรสให้ระหว่างองค์หญิงเฉิงฮวนกับองค์ชายใหญ่ขององค์หญิงหมินหมิ่น เมื่อถึงกำหนดการที่องค์หญิงเฉิงฮวนจะต้องเดินทางไปที่มองโกลเลีย ปรากฏว่าไม่มีใครหาองค์หญิงเจอรวมทั้งองค์ชายหงซู่และองค์ชายหงลี่ก็หายตัวไปด้วย
ทั้งสามกลับมาในช่วงบ่าย โดยองค์หญิงเฉิงฮวนเมามาด้วย องค์ชายหงลี่คุกเข่าขอประทานอภัยโทษ ในขณะที่องค์ชายหงซู่กลับมองพระบิดาอย่างท้าทาย (gives his dad a challenging look) ในตอนนั้นฮ่องเต้เกรี้ยวกราดและได้สั่งสอนองค์หญิงเฉิงฮวนโดยยกตัวอย่างน้องสาวภรรยาขององค์ชายแปดในอดีต(รั่วซี) ว่าเคยออกไปดื่มเหล้ามาทั้งคืนและเป็นสาเหตุให้เกิดความวุ่นวายเพียงใด (เขายังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ระหว่างองค์ชายสิบสามกับรั่วซีได้ดี)
ก่อนองค์หญิงเฉิงฮวนจะจากไปทรงพยายามขอร้องไม่ให้ฮ่องเต้ส่งนางไปมองโกลเลีย ฮ่องเต้สั่งให้องค์หญิงขึ้นเกี้ยวไป องค์หญิงเฉิงฮวนรู้ว่าบุคคลที่รักเธอมากที่สุดต้องการให้เธอไปจากพระราชวงศ์ต้องห้ามแห่งนี้ แต่เธอก็ยังคงเสียใจที่ต้องละทิ้งชีวิตในวังไปสู่ชีวิตใหม่ที่ยังไม่รู้อนาคตว่าจะเป็นอย่างไร เธอไม่เคยได้เรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับลวี่หวู๋,แม่ของเธอ แต่รู้เพียงว่าเธอได้รับความรักจากทุกๆคนรอบๆตัวเธอ ไม่เคยมีใครพูดถึงชาติกำเนินของเธอเลย
หลังจากที่องค์ชายสิบสามได้ทราบถึงอนาคตอันปลอดภัยขององค์หญิงเฉิงฮวนแล้วก็ทรงถึงแก่อนิจกรรม เมื่อองค์หญิงหมินหมิ่นทราบข่าวก็ทราบเสียพระทัยร้องไห้คร่ำครวญอย่างเจ็บปวดต่อหน้าธารกำนัล เธอตั้งป้ายวิญญาณองค์ชายสิบสามและบอกลูกชายคนโตให้แสดงความกตัญญูต่อพ่อตา(องค์ชายสิบสาม) ในคืนนั้นลูกชายของเธอพบว่าเธอร้องเพลงหน้าป้ายวิญญาณและได้ร่ายรำแบบเดียวกับที่เธอเคยแสดงต่อหน้าองค์ชายสิบสามเมื่อหลายปีมาก่อน ครั้นแล้วเมื่อองค์หญิงหมินหมิ่นได้พบกับองค์หญิงเฉิงฮวน เธอได้ให้คำมั่นว่าจะรักองค์หญิงเฉิงฮวนราวกับเป็นเลือดเนื้อของเธอแท้ๆตลอดไป
เมื่อถึงคราวที่ฮ่องเต้ใกล้จะสิ้นพระชนม์ ทรงได้สั่งให้เกาอู่หยงขันทีคนสนิทให้นำคำไปบอกกับองค์ชายสิบสี่ ผู้ที่ได้อยู่กับรั่วซีในวาระสุดท้ายของชีวิต ว่า"ข้าต้องการปิ่นทองปักผมให้ฝังดินไปกับร่างของข้า และจะให้อิสรภาพแก่เจ้า" ปิ่นทองปักผมนั้นคือปิ่นทองปักผมของรั่วซีที่องค์ชายสิบสี่เก็บไว้เป็นที่ระลึกจากเหตุการณ์ที่รั่วซีกับองค์หญิงหมินหมิ่นแข่งกันขี่ม้าในครั้งนั้น นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าองค์ชายสิบสี่รักรั่วซีเพียงใด แต่ฮ่องเต้ทรงต้องการยึดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของรั่วซีไว้กับพระองค์ ไม่เหลือแม้กระทั่งปิ่นปักผมอันเดียวที่องค์ชายสิบสี่จะเก็บเอาไว้ได้
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้หย่งเจิ้น องค์ชายสิบสี่ก็ทรงสุบินเกี่ยวกับพี่ชายของพระองค์ ในฝันนั้นทรงอายุ 4 ชันษาและพระมารดาก็กำลังป้อนนมแพะให้พระองค์อยู่ องค์ชายสี่(หย่งเจิ้น)ทรงชันษา 15 ปี เข้ามาถวายบังคมเสด็จแม่พร้อมกับกระดาษคัดลายมือที่แสนจะสวยงาม ขณะที่เสด็จแม่ทรงทอดพระเนตร ตัวพระองค์เองนั้น(องค์ชายสิบสี่)ได้เผลอทำนมหก เสด็จแม่โวยวายและไม่ได้สนใจกระดาษแผ่นนั้น และยังโยนลงซับคราบนมที่พื้น องค์ชายสี่ได้แต่มองดูเงียบๆและเก็บกระดาษเปียกแผ่นนั้นในไว้ในแขนเสื้อ เมื่อเสด็จแม่เปลี่ยนผ้าเสร็จ องค์ชายสี่ยิ้มให้กับน้องชายของเขาและบอกว่าชื่อของพวกเขานั้นเหมือนกันมาก อี้เจิงและอี้ตี้ (Yinzheng and Yinti) และองค์ชายสี่ยังใช้น้ำชาเขียนลงบนโต๊ะแสดงให้น้องชายดู บางทีองค์ชายสิบสี่อาจจะอิจฉาพี่ชายของเขาที่เขียนหนังสือได้แล้ว เขาจึงทำเป็นกระเง้ากระงอดลบคำเหล่านั้นทิ้ง และบอกว่าลายมือของเขา(องค์ชายสิบสี่)เองก็เขียนได้แบบนี้ล่ะ คุณครูมักจะชมเสมอว่าทำได้ดีกว่าคนอื่น (the teacher must always be complimenting his writing to gain their mother’s approval.)
องค์ชายสิบสี่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับน้ำตา เขาไม่รู้ว่าเขาร้องไห้ให้กับองค์ชายสี่ในวัย 15 ปีในห้องของเสด็จแม่ในวันนั้น หรือร้องไห้ให้กับชีวิตตัวเองที่เป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่เสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ เมื่อมีการแต่งตั้งหลานของพระองค์ขึ้นเป็นฮ่องเต้เฉียนหลง ทรงต้องการเพียงม้าหนึ่งตัว เขาออกจากพระราชวังและพบว่าปักกิ่งนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ตั้งแต่ที่หย่งเจิ้นไม่ได้มีนโยบายปรับแต่งผังเมือง (Yongzheng did not do major construction in the city) เขาเดินไปรอบๆและมองดูสถานที่ที่เขาเคยไปกับพี่น้องของเขา สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้คือออกมาผจญโลกกว้างเหมือนอย่างที่องค์ชายสิบสามเคยไฝ่ฝันไว้ แต่เขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปได้ไกลขนาดนั้น เขา(องค์ชายสิบสี่)ไม่สนใจหรอก เพราะว่าทุกๆที่ในปักกิ่งที่เขามองเห็นอยู่นี้เป็นอนุสรณ์ที่ระลึกของบรรดาพี่น้องและรั่วซีที่ได้เติบโตมาด้วยกันอยู่แล้ว
ย้อนไปถึงตอนที่องค์หญิงเฉิงฮวนยังประทับในวังทรงเรียนวาดรูปภายหลังจากที่รั่วซีจากไป เธอพยายามวาดรูปเหมือนของท่านอารั่วซี ฮ่องเต้หย่งเจิ้นทรงทอดพระเนตรอย่างเงียบๆ เมื่อเสร็จองค์หญิงนำขึ้นถวายแด่ฮ่องเต้ แต่ไม่ทรงรับไว้ องค์หญิงได้แต่เสียพระทัยและคิดว่าแม้แต่ฮ่องเต้ก็ทรงลืมท่านอารั่วซีแล้ว แต่ในคืนหนึ่งเมื่อองค์หญิงเดินเล่นในสวนพร้อมองค์ชายหงซู่ เธอเห็นฮ่องเต้กำลังนั่งอยู่ในห้องเก่าของท่านอารั่วซี พร้อมกับเทียนไขหนึ่งเล่มใช้เป็นแสงในการทอดพระเนตรกระดาษฝึกคัดลายมือเก่าๆของรั่วซี องค์หญิงจึงทรงตระหนักได้ว่าฮ่องเต้ยังไม่เคยลืมท่านอารั่วซีได้เลย
ถงหัวใช้ความกังวลขององค์ชายหงลี่เกี่ยวกับฮ่องเต้หย่งเจิ้นจะดำเนินชีวติอย่างไรภายหลังการสูญเสียรั่วซีไปแล้ว องค์ชายหงลี่สังเกตว่าพระบิดาของเขาไม่ไปหาบรรดาสนมคนไหนๆอีกเป็นเวลาหลายปีซึ่งทำให้ไม่มีทายาทคนใดเพิ่มขึ้นมาอีกนอกจากเขาและองค์ชายหงซู่ แต่องค์หงซู่นั้นเป็นคนรักอิสระ ไม่สนใจเรียน ดังนั้นองค์หงลี่จึงคิดว่าเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะสืบทอดบัลลังค์ต่อจากเสด็จพ่อได้ เรื่องที่รู้กันดีทั่ววังว่า “รั่วซี” เป็นชื่อต้องห้ามเอ่ยถึงเป็นอันขาด องค์ชายหงซู๋รู้แต่เพียงว่าชื่อนี้เป็นชื่อของภรรยาคนหนึ่งของเสด็จอาสิบสี่และเป็นท่าอาผู้หนึ่งของเฉิงฮวน แต่หงลี่โตพอที่จะรู้ความจริงว่ารั่วซีเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของเสด็จพ่อ
ถ้าคุณรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนคุณจะทราบว่าองค์ชายหงลี่นั้นจะเป็นฮ่องเต้เฉียนหลง ฮ่องเต้ที่โด่งดังที่สุดแห่งอาณาจักรราชวงศ์ชิง http://en.wikipedia.org/wiki/Qianlong_Emperor (กดแปลไทยได้เลยค่ะ) ทรงได้สละราชสมบัติให้พระโอรสที่ชื่อ หย่งเยี๋ยน พระโอรสองค์ที่ 15 ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิเจี่ยชิ่ง ด้วยไม่ทรงปรารถนาจะครองราชย์ยาวนานเกินกว่าจักรพรรดิคังซีผู้ทรงเป็นพระ อัยกา (ปู่) อย่างไรก็ตามแม้จะสละราชบัลลังค์แล้วแต่อำนาจที่แท้จริงยังคงอยู่กับพระองค์ โดยทรงขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น พระบิดาหลวง หรือ จักพรรดิสูงสุด (ไท่ซั่งหวง, 太上皇帝)
แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 55 14:17:51
จากคุณ |
:
oilchung
|
เขียนเมื่อ |
:
15 พ.ย. 55 14:10:21
|
|
|
|  |