หยุดโลกข้ามเวลา เป็นเรื่องราวของหกตัวแสดงที่ร้อยเรียงเป็นเรื่องเดียว หากเรียงตามเส้นเวลา ก็จะเป็นดังนี้
๑ คือเรื่องของอดัม อีวิงทนายหนุ่มชาวอเมริกันที่ได้อาศัยเรือเดินทะเลข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อกลับไปหาทิลด้า--ภรรยาที่รักในซานฟรานซิสโกช่วงศตวรรษที่ ๑๙
๒ คือเรื่องของโรเบิร์ต โฟรบิเชอร์นักแต่งเพลงหนุ่มผู้มีใจทะเยอทะยานช่วงต้นศตวรรษที่ ๒๐ ที่เร่ร่อนไปขออาศัยใต้ร่มเงาของอดีตนักแต่งเพลงชื่อดัง วิเวียน แอร์ส
๓ คือเรื่องของหลุยซา เรย์นักข่าวสาวแห่งหนังสือพิมพ์หัวกอสซิป สปายกลาส ในยุค ๑๙๗๐ ที่กระหายจะเป็นนักข่าวที่ได้ทำข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนเหมือนเลสเตอร์ เรย์ผู้เป็นพ่อ
๔ คือเรื่องของทิโมธี คาเวนดิชบรรณาธิการชราที่ดูเหมือนจะส้มหล่นในตอนต้นเพราะได้ครอบครองลิขสิทธิ์หนังสือขายดีของนักเขียนซึ่งก่อคดีฆาตกรรมสยองกลางงานเลี้ยง แต่ชะตากลับต้องพลิกผัน เมื่อต้องหลบหนีผู้มาตามทวงค่าลิขสิทธิ์
๕ คือเรื่องของซอนมี~๔๕๑มนุษย์โคลนนิ่งผู้กำเนิดจากถังเพาะตัวอ่อนในโลกอนาคตของเกาหลีและถูกกำหนดมาให้เป็นบริกรสาวในร้านอาหารปาปา ซอง
และ ๖ คือเรื่องราวของแซครี่ชาวบ้านป่าเถื่อนในดินแดนเก้าหุบเขายุคอารยธรรมโลกล่มสลาย
จุดเชื่อมของแต่ละเรื่องก็คือ อดัม อีวิงเขียนไดอารี่ซึ่งตกมาอยู่ในมือของโรเบิร์ต โฟบิเชอร์เพียงครึ่งเล่มแรก โฟรบิเชอร์เขียนจดหมายถึงรูฟัส ซิกซ์สมิธซึ่งหลุยซา เรย์เก็บได้จากโรงแรมที่ซิกซ์สมิธถูกยิงตาย และเรย์ก็ได้ฟังซิมโฟนีที่โฟรบิเชอร์แต่งจากแผ่นเสียงเก่าด้วย เรื่องราวของเธอกลายเป็นต้นฉบับนวนิยายสืบสวนสอบสวนที่ส่งถึงทิโมธี คาเวนดิช และการผจญภัยของคาเวนดิชก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่ซอนมี~๔๕๑ ได้ดูในโลกอนาคต หลังจากซอนมีแถลงคำประกาศฯแล้วก็ถูกประหาร โลกก็ถึงกาลล่มสลาย เหลือประชากรโลกที่รอดจากสงครามครั้งสุดท้ายตามเกาะแก่งต่างๆ ในแปซิฟิกเพียงประปราย เรื่องของซอนมีถูกเล่าขานสืบต่อกันมาจนผิดเพี้ยน เธอกลายเป็นเทพเจ้าที่ชาวเกาะเชื่อฝังหัวว่าเธอเคยสร้างสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ไว้
ผู้กำกับเปิดฉากด้วยเรื่องเล่าข้างกองไฟของแซครี่ในยุคอารยธรรมโลกล่มสลาย อันเป็นฉากที่อยู่ตอนกลางของหนังสือขึ้นมาเป็นฉากแรก แล้วจากนั้นจึงค่อยเล่าเรื่องตามแบบที่ทอม แฮงส์เคยให้สัมภาษณ์ในเบื้องหลังการถ่ายทำว่า ผู้กำกับนำไพ่ทั้งหมดมาสับไว้รวมกัน
การสับไพ่ที่ว่าก็คือ ผู้กำกับเลือกจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดในคราวเดียวสลับกันไปเรื่อยๆ แทนที่จะเล่าให้จบเป็นเรื่องๆ ไป
การดำเนินเรื่องทั้งหกให้ตัดสลับไปมาอาจชวนให้หงุดหงิดสำหรับคนที่ไม่ได้อ่านหนังสือ เพราะทำให้ต้องจดจ่อตั้งใจดูว่ามันเกี่ยวกับอะไร เผลอสติหลุดอาจทำให้ดูไม่รู้เรื่อง แม้แต่เราเองที่ได้อ่านหนังสือมาก่อนและดื่มด่ำกับเรื่องราวทั้งหมดมาแล้ว ก่อนมาดูหนังยังอดสงสัยไม่ได้ว่า แค่เรื่องราวทั้งหมดในหนังสือก็เป็นโจทย์ยากอยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องของคนหกคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อีกทั้งผู้เขียนก็มีกลวิธีการเล่าเรื่องแสนจะแหวกแนวไม่เหมือนใคร ผู้กำกับจะเอาอยู่หรือ? จะดำเนินเรื่องให้ได้ความรู้สึกเดียวกันหรือแม้แต่นำเสนอสาระเดียวกันกับหนังสือได้หรือ?
หากใครได้อ่านหนังสือจะรู้สึกว่า ตัวแสดงที่เชื่อมโยงเรื่องราวแต่ละยุคเข้าด้วยกันมีตัวเดียวก็คือคนที่มีปานรูปดาวหาง แต่เมื่อผู้กำกับเลือกใช้วิธีการอันชาญฉลาดด้วยการให้ตัวแสดง (ระดับเทพเหล่านี้) พลิกบทบาทเป็นคนละ ๓-๗ คาแร็กเตอร์ ทำให้ประเด็นหนึ่งที่กล่าวไว้ในหนังสือกระจ่างชัดขึ้นมาก
นั่นคือ เรามนุษย์คือผู้มีดวงวิญญาณดวงเดียวที่เวียนว่ายตายเกิดมาพบ มาเผชิญชะตากรรมร่วมกันแล้วหลายร้อยหลายพันภพชาติ
ตัวแสดงหนึ่งตัว บางชาติเกิดมาเป็นผู้กระทำ บางชาติเกิดมาเป็นผู้ถูกกระทำ บางชาติเกิดเป็นคนชั่ว บางชาติเป็นคนดี บางชาติเป็นหญิง บางชาติก็เป็นชาย แต่ที่สำคัญคือ ทุกชีวิตมีจุดพลิกผัน ตัวแสดงเด่นของแต่ละเรื่องจะต้องตัดสินใจที่จะ ทำ หรือ ไม่ทำ บางสิ่งบางอย่าง เลือกจะช่วยหรือปล่อยให้ตาย เลือกจะเสี่ยงอันตรายหรือนิ่งดูดาย เลือกจะเชื่อคำพูดคนแปลกหน้าหรือจะเชื่อสิ่งที่โดนปลูกฝังมา
บางการกระทำหรือคำพูดของใครสักคน อาจส่งแรงบันดาลใจ สะกิดหรือกระตุ้นเตือนไปถึงใครอีกคนในอีกสิบปีหรือหลายร้อยปีข้างหน้า ดังที่ซอนมี~๔๕๑ กล่าวไว้ในคำประกาศแก่รัฐทั้ง ๑๒ ว่า By each crime and every kindness we birth our future. ซึ่งเป็นประโยคที่เราประทับใจมากที่สุดในหนังเรื่องนี้
ข้อจำกัดด้านระยะเวลาอันเป็นเรื่องปกติที่ทำให้หนังที่สร้างจากหนังสือไม่สามารถนำเสนอรายละเอียดได้เหมือนในหนังสือ ผู้กำกับได้ทำการแก้ไขด้วยการดึงเอาเฉพาะแกนของแต่ละเรื่องออกมา ละทิ้งรายละเอียดปลีกย่อย แล้วใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบคู่ขนานผ่านการตัดสลับฉากแบบละคร เช่น เมื่อตัวแสดงหนึ่งถาม ตัวแสดงอีกตัวหนึ่งในอีกยุคจะตอบ เมื่อตัวแสดงตัวหนึ่งกำลังครุ่นคิด ตัวแสดงอีกตัวจะเคาะประตูเรียก ฯลฯ จนทำให้เรื่องแต่ละยุคที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงดูเหมือนกำลังเชื่อมเข้าหากันและดำเนินต่อกันไป
ขณะเดียวกัน ความ คล้าย ของแต่ละยุคซึ่งสะท้อนในหนังสือเพียงเล็กน้อย กลับได้รับการขยายใหญ่ขึ้นในเวอร์ชั่นหนังด้วยการเล่าขนานกันเช่นนี้ คือ ระหว่างที่ตัวแสดงหนึ่งกำลังจะต้องตัดสินใจ ตัวแสดงในอีกยุคก็อาจกำลังตัดสินใจอยู่เช่นกัน ขณะที่ตัวแสดงหนึ่งเผชิญอันตราย ตัวแสดงอีกตัวก็กำลังต้องตะเกียกตะกายหลบหนีเอาตัวรอดอยู่เช่นกัน มันจึงเหมือนเป็นเรื่องราวในมิติคู่ขนาน ที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าตัวแสดงทุกตัวกำลังสื่อถึงเรื่องราวเดียวกันโดยบังเอิญ
เหตุการณ์ที่แต่ละชีวิตต้องเผชิญอาจแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือน คือการต้องตอบคำถามที่ว่า เราเชื่อหรือไม่ว่ามีบางสิ่งยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา และเราพร้อมจะเปลี่ยนวิถีชีวิตหรือแม้แต่ยอมสละชีวิตเพื่อรักษามันไว้หรือไม่
ตัวแสดงที่น่าประทับใจมากสำหรับเราคือทิโมธี คาเวนดิช รับบทโดย จิม บรอดเบนท์ ซึ่งเป็นตอนหนึ่งที่แทบไม่ถูกดัดแปลงแก้ไขจากหนังสือเลย ส่วนตัวเชื่อว่าคาเวนดิชจะเป็นตัวละครที่ผู้ชมรักมากที่สุด เพราะแทบทุกฉากที่คาเวนดิชปรากฏตัว ก็จะเรียกเสียงหัวเราะหึๆ ถึงหัวเราะก๊ากจากผู้ชมในโรงหนังได้ตลอด
อีกตัวคือ ฮิวโก้ วีฟวิ่ง ผู้แสดงที่รับบทผู้ร้ายตลอดกาล แสดงให้เห็นความเห็นแก่ตัว ความโลภ ความเจ้าเล่ห์ออกมาในทุกสายตา ท่าทาง และน้ำเสียงที่ดัดให้เปลี่ยนไปในแต่ละบทบาท ตอนที่วีฟวิ่งเปลี่ยนไปแต่งหญิงในบทพยาบาลร่างยักษ์แห่งออโรร่าเฮาส์ แค่เห็นสายตา(นาง)ก็กินขาดแล้ว ฮ่าๆ
ส่วนประกอบที่ทำให้หนังเรื่องนี้สมบูรณ์สมกับเงินทุนมหาศาลกว่าสามพันล้านบาท ได้แก่ การแต่งหน้าที่น่าทึ่งมาก (วัดได้จากเสียงฮือฮาของผู้ชมเมื่อได้ดูเครดิตตอนท้ายว่าใครแสดงเป็นตัวไหน) ซึ่งทำให้นักแสดงคนเดียวดูเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนกันไปเลยทีเดียว ฉากอลังการจากโลเกชั่นทั่วโลกทั้งที่เป็นของจริงและซีจีโลกอนาคต รวมทั้งเพลงประกอบที่น่าประทับใจตั้งแต่ได้ฟังครั้งแรกในเทรลเลอร์
ในฐานะผู้อ่านก่อนมาดูหนังอาจเคยคิดว่า คงไม่มีนักเล่าเรื่องคนไหน ทำได้ และ กล้าทำ อย่างเดวิด มิตเชลล์ผู้เขียน เมฆาสัญจร--บทประพันธ์ดั้งเดิมอีกแล้ว
แต่จากการได้รับชมหนังเรื่องนี้ทำให้เกิดความคิดใหม่ว่า หากเป็นนักเล่าเรื่องที่แท้จริงแล้วล่ะก็ จะสามารถคิดวิธีเล่าเรื่องให้น่าจดจำได้เสมอในแบบของตัวเอง และวิธีการใน หยุดโลกข้ามเวลา ก็ได้ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นที่จดจำไปแล้ว ด้วยการเพิ่มความหมายใหม่ให้แก่ตัวแสดงโดยไม่จำเป็นต้องบิดเบือนเนื้อหาสาระหลักของหนังสือ เป็นการดัดแปลงบทหนังที่มุ่งหมายจะนำเสนอแก่นของหนังสือ ขณะเดียวกันก็ดึงดูดผู้ชมส่วนมากไว้ด้วยความขบขันและโรแมนติกที่เพิ่มเติมเข้ามา
หยุดโลกข้ามเวลา เป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การรับชมในโรงภาพยนตร์มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ เพราะแค่อารมณ์ร่วมที่ได้เห็นในโรง เสียงฮือฮาและเสียงหัวเราะเป็นระยะ กระทั่งเสียงอุทานด้วยความทึ่งเมื่อเห็นเครดิตแล้วทราบว่าใครได้เปลี่ยนเป็นตัวแสดงตัวไหนบ้าง ก็กลับกลายเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งที่แผ่นดีวีดีให้ไม่ได้
หนังเรื่องนี้ยังสมควรแก่การไปดูซ้ำอีกสองสามรอบเพื่อเก็บรายละเอียดของแต่ละตอน เนื่องจากเพิ่ง search ข่าวหนังแล้วทราบมาว่า ผู้กำกับจงใจเลือกให้ตัวแสดงบางตัวใช้โลเกชั่นเดียวกันในการถ่ายทำสองภพที่แตกต่าง เช่นโลเกชั่นของเกาะในแปซิฟิกกับเกาะแห่งเก้าหุบเขาที่ทอม แฮงส์แสดง ซึ่งเป็นทั้งตอนเริ่มและจบของเรื่องราวทั้งหมด (ตามเส้นเวลาไม่ใช่ตามลำดับในหนังสือ) และโลเกชั่นบ้านของวิเวียน แอร์สกับบ้านออโรร่าเฮ้าส์ในการแสดงสองบทบาทของจิม บรอดเบนท์ สถานที่แรกเป็นที่ที่แอร์สกักขังโฟรบิเชอร์ ขณะที่สถานที่หลังนั้น คาเวนดิชกลับถูกกักขังเสียเอง
แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 55 10:06:21
แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 55 10:02:07
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 55 10:32:56
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 55 10:32:31