ความคิดเห็นที่ 1 ปล.ข้อที่ 4 หมายความว่าไงครับ อย่าทำร้ายจิตใจผู้ชมที่กำลังจะไปดูด้วยคำพูดที่ ไม่ชัดเจน ไม่เคลียร์สิครับ จากคุณ : Andrew Garfield เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 02:27:50

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณมากค่ะ อยากดูแล้ว ตอนแรกไม่คิดว่าจะอยากดูขนาดนี้ แต่มันมีบางสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิด แล้วทำให้อยากดูขึ้นมา บางที หลังจากดูจบ เราอ่านจะรีบไปซื้อหนังสือมาอ่านเลยก็ได้ ส่วนตัวเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่แล้ว ตามวิสัยคนไทยนับถือพุทธ และการที่ได้เห็นหนังฮอลลีวู้ดนำเรื่องนี้มาเพิ่มความชัดเจนมากขึ้น ยิ่งดีใจ แล้วยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่า  "สรรพสิ่งล้วนเวียนวนร่วมกัน ข้ามภพข้ามชาติักัน มาเจอกัน พบกัน และตายจากกัน แต่ในที่สุด ก็จะกลับมาเจอกันอีกครั้ง เพียงแต่ต่างสถานการณ์เท่านั้น" ... เขียนไปเขียนมา ชักอยากอ่านหนังสือแล้วแฮะ ปล. หนังสามชั่วโมง OMG !!!   จากคุณ : DaRaDoRa เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 02:29:16

ความคิดเห็นที่ 3 หนังเรื่องนี้ ยังไงก็จะไม่ยอมพลาดแน่ๆครับ จากคุณ : นายเบียร์ เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 03:49:55

ความคิดเห็นที่ 4 Our lives are not our own. From womb to tomb, we are bound to others, past and present. And by each crime and every kindness, we birth our future. - Sonmi-451 ชอบมาก ชอบทุกอย่าง จัดไปสามรอบในโรง กำลังอ่านนิยายเรื่องนี้อยู่ด้วย ว่าแต่คุณจขกท. กลับมาอธิบายปล. 4 หน่อยสิคะ :) จากคุณ : Guillam เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 05:15:34

ความคิดเห็นที่ 5 โดยส่วนตัวในฐานะเป็นพุทธศาสนิกชน ต้องขออนุโมทนากับผู้สร้างหนังที่กล้าทำหนังแนวนี้ให้ได้ชมกัน เพราะในความเห็นส่วนตัว มองอย่างเข้าข้างตัวเองสุดๆ หนังเรื่องนี้อิงประเด็นธรรมะของพระพุทธศาสนาเต็มๆค่ะ Reincarnation เป็นแนวความคิดที่ถือว่าพิลึกมากสำหรับชาวตะวันตกที่ไม่เคยศึกษาศาสนาตะวันออกเลย เพราะโดยความเข้าใจทั่วไปในสังคมแถบนั้น คือตายแล้วได้ไปอยู่กับพระเจ้าและไม่ต้องเกิดเป็นมนุษย์อีก หรือไม่ก็เป็น atheist ไปเลย คือเป็นคนไม่มีศาสนา ตายไปฉันก็ดับสูญไม่เกิดอีก ส่วนที่ใช้คำว่า'ศาสนาตะวันออก' เพราะจริงๆแล้วศาสนาหรือลัทธิอื่นในภูมิภาคนี้ก็มีแนวคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิด เช่น ศาสนาฮินดู ศาสนาเชน ศาสนาพุทธ เป็นต้น ดังนั้นถ้ามองอย่างเป็นกลางก็สรุปไม่ได้อีกว่า Cloud Atlas อิงหลักธรรมของพุทธศาสนา เพราะหนังเองก็ยังไม่ได้ลงลึกไปถึงเรื่องการปฏิบัติตามหลักศาสนาอะไรเลย แค่ถ่ายทอดแนวคิดพื้นฐานที่ซับซ้อนนี้ออกมาเป็นภาพยนตร์เท่านั้น ซึ่งถือว่าเก่งมากแล้วที่สามารถถ่ายทอด และเล่าเรื่องง่ายๆที่เข้าใจยากแบบนี้ ให้คนดูนำกลับไปคิดต่อได้ เรื่องของจุดพีค เราว่าน่าจะเป็นตรงช่วงที่ตัดฉากเร็วๆนี่ล่ะค่ะ เหมือนหนังกำลังเล่าถึงจุดสำคัญในแต่ละชาติ โดยเล่าต่อเนื่องกันไปเป็นสายผ่านตัวละครโดยไม่ได้เรียงลำดับยุค เช่น บุคคลที่หนึ่งกำลังเผชิญเหตุการณ์นี้กับ บุคคลที่สอง แล้วก็ตัดฉากปรากฏเป็นอีกยุคสมัยหนึ่ง ให้บุคคลที่สองกำลังเผชิญเหตุการณ์กับบุคคลที่สาม เล่าแบบนี้ไปเรื่อยๆสลับยุคสมัยไปมา มันก็เลยน่างงและดูเหมือนดำเนินเรื่องไปเรื่อย ไม่ถึงจุดพีคซะทีอ่ะค่ะ [SPOIL ALERT] ประเด็นของซอนมี ใช่ค่ะ จำได้ว่าซอนมีเป็นคนพูดเรื่องประตู จำได้คร่าวๆพูดประมาณว่า "เมื่อประตูบานหนึ่งปิด ประตูบานอื่นๆที่เหลือก็จะเปิดออก" เข้าใจว่าต้องการจะสื่อว่าประตู(ภพชาติ)น่ะมีแน่ๆ ยังไงก็ต้องเดินเข้าประตูซักบาน คือยังไงก็ต้องเกิดอีก แล้วแต่ว่าจะเข้าประตูบานไหน ไปเกิดเป็นใคร ที่คือสำคัญ จุดเปลี่ยนของซอนมีคือตอนไปยืนดูเหล่ามนุษย์สังเคราะห์ถูกหลอกไปฆ่า พอฉากตัดกลับมาที่ห้องนอน ซอนมีถึงกับเปลี่ยนทัศนคติไปอย่างสิ้นเชิง ออกปากว่าไม่ว่าจะเป็น pure blood หรือมนุษย์สังเคราะห์ก็เป็น คนเหมือนกัน ตรงนี้เข้าใจได้จากที่ซอนมีเล่าไว้ตอนต้นเรื่องว่า จุดประสงค์เดียวของมนุษย์สังเคราะห์คือการทำงาน จนครบตามกำหนดเพื่อให้ได้ไปขึ้นเรือลำนั้น เพื่อจะได้เป็นอิสระ (ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับตัวละครในยุคสมัยอื่นด้วย) เมื่อมารู้ความจริงว่ามนุษย์สังเคราะห์ถูกนำไปรีไซเคิลเหมือนขยะแบบนั้น เธอจึงยอมรับการเป็น The One ในที่สุด แต่สิ่งที่หนังไม่ได้พูดชัดเจนแต่สื่ออ้อมๆ คือการอยากเป็นที่ยอมรับในสังคม มนุษย์สังเคราะห์ถือได้ว่าเป็น"ทาส" ในยุคนั้น ไม่ว่าจะถูกกระทำยังไงก็ต่อสู้อะไรไม่ได้เพราะมีปลอกคออยู่ จนกระทั่งวลีเด็ดของตาแก่ทิโมธีไปสร้าง แรงบันดาลใจให้เพื่อนซอนมีเข้า การเห็นเพื่อนสนิทพยายามหนีและถูกฆ่าง่ายๆต่อหน้าน่าจะทำให้ซอนมีได้ฉุกคิด ถึงความโหดร้ายของการเป็นมนุษย์สังเคราะห์ นี่คงเป็นแก่นสำคัญที่ทำให้ซอนมีตัดสินใจหนีออกจากปาปาซอง ==================== เอ่อ...ยาวยืดเชียว หนังมันสนุกน่ะค่ะ ส่วนข้อสงสัยของเราคือ ทำไมต้องเป็นซอนมี-451? (เผลอๆคำถามเดียวกันกับทำไมต้องเป็นโทมัส แอนเดอร์สัน?) จากคุณ : JiViNG JinX เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 06:40:17

ความคิดเห็นที่ 6 ขอโทษทีครับ ปล. 4 ความจริงไม่มีอะไรหรอกครับ ผมมัวแต่ไปนั่งจับผิดว่าใครเป็นใครน่ะครับ เลยอาจพลาดสาระสำคัญที่ตัวหนังพยายามจะเสนอครับ จากคุณ : เขียนบน iPad (Home_Nature) เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 07:31:50

ความคิดเห็นที่ 7 #6 งี้ต้องเจียดเวลาดูหลายๆ รอบค่ะ :P ตอนแรกเราก็นั่งเพ่งนักแสดงเหมือนกันว่าใครเป็นใคร แต่หลังจากดูหลายๆ รอบนี่รู้สึกว่ารายละเอียดหลายๆ อย่างมันจี๊ดมาก ตัวอย่างเช่นกระเป๋าของซิกสมิธ แล้วก็หนังสือที่เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดที่ไอแซคบอกว่าแฟนเก่าเขาบังคับให้อ่าน แล้วหนังสือที่ว่านี่ดันไปโผล่อยู่บนโต๊ะหัวเตียงของจอร์เจ็ต #5 นั่นสิคะ ทำไมต้องเป็นซอนมี (ภาษาเกาหลีแปลว่าอะไร?) และทำไมต้องเป็นเบอร์ 451? แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 55 07:56:42 จากคุณ : Guillam เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 07:55:53

ความคิดเห็นที่ 8 น่าจะสปอย สงสัยสองอัน 1. สบู่คืออะไรอ่ะ เห็นพูดถึงหลายตอน 2. วิญญาณเชื่อมโยงกันด้วยปานหรือเปล่า แล้วใครบ้างที่มีปาน และผู้ที่มาช่วยเหลือมีสัญลักษณ์อะไรหรือไม่ จากคุณ : คนไม่หล่อทำอะไรก็ผิด เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 08:36:18

ความคิดเห็นที่ 9 #8 1) สบู่นี่เห็นว่าเพื่อนซอนมีบอกว่า It makes [Seer Rhee] happy. แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำมาจากอะไร 2) Robert Frobisher, Luisa Rey, Zachry, Adam Ewing, Sonmi-451 ส่วนตอนของ Cavendish นี่ใครมีปานเรานึกไม่ออกอ่ะ จากคุณ : Guillam เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 08:47:31

ความคิดเห็นที่ 10 Cavendish มีปานที่น่องด้านหลังจ้า ตอนที่แฟลชแบ็กไปตอนหนุ่มๆ ส่วนเบอร์ 451 อันนี้ไ่ม่ทราบแน่ชัด แต่เคยอ่านจากบอร์ดที่ถกกัน มีหลายคนบอกว่าอ้างอิงถึง Fahrenheit 451 ของ Ray Bradbury   แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 55 09:08:33 จากคุณ : กิน นอน หอน เห่า เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 09:04:43

ความคิดเห็นที่ 11 1) Soap ทำมาจาก"แหล่งโปรตีนราคาถูก" คือเนื้อมนุษย์สังเคราะห์รีไซเคิลค่ะ 2) ความเห็นจาก spoil เว็บนอกคือ ทุกคนที่มีปานคือจิตดวงเดียวกันค่ะ ยกเว้น Zachry ซึ่งตามคาแรคเตอร์ในหนังสือคนที่มีปานควรจะเป็น Meronym มากกว่า ความเห็นของเรา ถ้าดูตามลักษณะนิสัยในแต่ละชาติก็น่าจะเป็น Meronym แต่ถ้าดูตามลักษณะการสืบทอดของข้อความจากรุ่นสู่รุ่นน่าจะเป็น Zachry กล่าวคือ Ewing<ไดอารี่>Frobisher<จดหมาย>Rey<หนังสือ>Cavendish<หนัง>Sonmi<คำทำนาย>Zachry 3) สืบค้นเรื่องเลข 451 ก็เจอว่า Mitchell ยอมรับว่ายืมจากชื่อหนังสือ Fahrenheit 451 (ซึ่งเราเองก็เคยอ่านนานมากแล้วจนลืมซะเอง) มันคืออุณหภูมิความร้อนที่กระดาษจะเผาไหม้ ซึ่งตัวเลขไม่ได้เกี่ยวอะไรกับซอนมี แต่เนื้อเรื่องของหนังสือจะคล้ายๆกับกรณีของซอนมีค่ะ จากคุณ : JiViNG JinX เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 10:03:25

ความคิดเห็นที่ 12 แล้วบุคคลรอบกาย นี่มีสัญญาณการเชื่อมต่อของวิญญาณไหมครับ จากคุณ : myung เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 10:36:30

ความคิดเห็นที่ 13 กระทู้ข้างล่างนี้อธิบายความเห็นในประเด็นต่างๆไว้ค่อนข้างเยอะ เลยมาแบ่งค่ะ http://www.vulture.com/2012/10/guide-to-the-characters-and-connections-of-cloud-atlas-confused.html เช่น เรื่องของ Soap มีการย้อนเรื่องไปตอนที่ Cavendish ตะโกนร้องตรงหน้าบ้าน พักคนชราว่า "Soylent Green is people!" จำไม่ได้ว่าแปลไทยว่าอะไร เพราะคิดว่า ไม่สำคัญ จริงๆ Soylent Green เป็นหนังไซไฟเก่า และก็คือชื่อ"อาหารสังเคราะห์"ที่ คนในเรื่องกินกัน พอมาถึงยุคซอนมีก็เป็นไปตามที่ Cavendish พูดคือ"อาหาร สังเคราะห์ทำจากมนุษย์" ส่วนชื่อเรียก 'soap' อ้างอิงจากเรื่องจริงในสมัย สงครามโลก ที่พวกนาซีเอาเนื้อจากซากศพชาวยิวมาทำสบู่ก้อน [นี่ symbol เดียวจากหนังทั้งเรื่องนะคะเนี่ย] จากคุณ : JiViNG JinX เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 11:59:02

ความคิดเห็นที่ 14 ได้ซื้อแผ่นมาเก็บดูแน่นอน จากคุณ : Godgate เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 17:05:17

ความคิดเห็นที่ 15 ศาสนาตะวันออก  ที่กล่าวถึงในเรื่องนี้  คือ  ศาสนาพุทธ  ครับ ในหนังสือ  ตอนที่ ๕ กับ ตอนที่ ๖  มีเรื่องราวของ ภิกษุณี ด้วย และตอนที่ ๕  ยังได้เน้นไปถึง  "สิทธัตถะ"  (ในหนังสือเรียกแบบนั้น) ส่วนตัวแล้ว  อยากดูมาก  แต่โอกาสที่จะได้ไปดูในโรงคงจะยากหน่อย แต่แผ่นดีวีดีนี่  ซื้อเก็บไว้แน่นอนครับ จากคุณ : ขุนไกรครับผม เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 22:14:45

ความคิดเห็นที่ 16 soap คือ อาหารของมนุษย์สังเคราะห์ ที่กินได้อย่างเดียวเท่านั้น ทำมาจากร่างกายของมนุษย์สังเคราะห์ที่ recycle กลับมา , และดูเหมือนจะใส่สารที่มีลักษณะเสพติดเอาไว้ด้วย ทำให้มนุษย์สังเคราะห์ ติดsoap และอยู่ในอำนาจเหมือนได้รางวัลเวลาทำงาน หัวหน้าร้าน ก็เลยเอา soap ไปเสพ แล้ว overdose จนตาย เรื่องปานในหนังสือ คือวิญญาณ เดียวกัน แต่ในหนังเหมือนไม่ใช่นะ เป็นเหมือนตัวแทนการสืบทอดของโชคชะตา ทำนองนี้มากกว่า จากคุณ : TaizoXXX เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 55 01:36:47

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่ผิดหวังคะ ^___^ ชอบบบบมากกกกก อลัง โคตรรรรรร จากคุณ : Suumer_Fruitz เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 55 01:59:56

ความคิดเห็นที่ 18 #15 จริงเหรอคะ แอบดีใจนะคะเนี่ยที่รู้ว่าฝรั่งเขาสนใจศาสนาพุทธ อันที่จริง ใดๆในโลกก็ไม่พ้นวิสัยของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว (ย้ายไปห้องศาสนาดีกว่ามั้ย 55+) ไม่ได้อ่านหนังสือ เลยไม่ได้รู้ตรงนี้ ขอบคุณะนะคะ แต่ยังไงเราว่าก็ต้องดูอีกอ่ะค่ะว่าเขาพูดถึงภิกษุณีและเจ้าชายสิทธัตถะในบริบทไหน เพราะเอาเข้าจริง ในคำสอนของทั้ง ฮินดูและเชนก็มีพูดถึงเจ้าชายสิทธัตถะ(ไปในทางแง่ลบ)เหมือนกัน และทั้งสองศาสนานี้ก็มีอิทธิพลกับผู้คนในอินเดีย มากกว่าศาสนาพุทธมาก ถ้าดูความ popular จากจำนวนศาสนิก ของพุทธอาจจะน้อยกว่าน่ะค่ะ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 55 09:38:28 จากคุณ : JiViNG JinX เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 55 09:37:56

ความคิดเห็นที่ 19 #15 #18 กล่าวถึงเฉยๆ ครับ ไม่ได้อ้างอิงหลักธรรมอะไรมากมาย ไม่ได้ทำให้ฝรั่งเข้าใจศาสนาพุทธหรอกครับ บทนั้นพูดถึง พระพุทธรูปที่พังทลาย ภิกษุณีเล่าถึงว่าทำไมคนถึงเชื่อสิทธัตถะ (เพราะเขาเป็นแบบอย่างอะไรสักอย่างนี่แหละ ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงว่าทำอะไรนะ) กล่าวถึงนิดเดียว แต่จำได้ เพราะภายหลังซอนมีก็เหมือนศาสดาแบบเจ้าชายสิทธัตถะในยุคหลังโลกล่มสลาย ลองหาหนังสือมาอ่านดูครับ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 55 14:06:49 จากคุณ : Mountain Lion เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 55 14:05:50