ความคิดเห็นที่ 12
จะเล่าให้ฟังว่าเกิดไรขึ้นมั่งช่วงระหว่างไฟดับ แบบว่าอยู่ในเหตุการณ์ -_-'
เรื่องมันเริ่มจากว่า.. บ่ายสองครึ่งเลิกเรียนเสร็จลงไปห้องคอม เพื่อที่จะมาปริ้นต์วิธีแก้ไวรัสหนอนบ้าที่เพิ่งโดนไป บ่ายสามครึ่งออกมาจากมหาลัย นัดเพื่อนไว้ที่ 14th Street ซึ่งห่างกันไม่มากนัก เดินไปได้..
บ่ายสามสี่สิบห้าเจอเพื่อนแล้ว ก็คุยกันซักพักนึงแล้วก็แยกย้ายกัน
สี่โมงเย็นกับสิบนาทีได้เวลาออกเดินทาง วันนี้ต้องไปที่ร้านแถวบรูคลิน.. ก็เดินลงไปในซับเวย์ตามปกติ พอเดินมาถึงชานชาลาที่จะต้องขึ้นรถซับเวย์ก็เห็นซับเวย์ เพิ่งวิ่งผ่านหน้าไปเพียงเสี้ยววินาที
รอคันใหม่ก็ได้วะ..(คิดในใจ)
ผ่านไปไม่ถึงสองนาทีดี จู่ ๆ ทุกอย่างก็ดับพรึ่บ...มืดอย่างที่ไม่เคยมืดมาก่อน ถ้าใครคิดไม่ออกว่ามันมืดยังไง.. ลองนึกภาพว่าตัวเองติดอยู่ในอุโมงค์อะไรซักอย่างที่ลึก ๆ แถมไม่มีอากาศให้หายใจ...นั่นแหล่ะ อย่างนั้นแหล่ะ ใช่เลย
ตอนนั้นสายตาเรามองอะไรไม่เห็นเลย อย่างกับมีใครมาปิดตาเราไว้ สิ่งแรกที่นึกถึงคือ"ไฟ" เลยหยิบมือถือขึ้นมาเพราะอย่างน้อยมันก็ยังคงพอมีไฟนำทาง แต่คราวนี้คิดผิดถนัด เพราะแสงไฟจากมือถือมันไม่ช่วยอะไรเลย ตอนนั้นก็ดันยืนอยู่ใกล้รางรถไฟซะด้วย ใจก็คิดไปต่าง ๆ นา ๆ เพราะในความมืดเราไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย แถมในตัวก็ดันพกตังค์เยอะผิดปกติอีก ซึ่งปกติเป็นคนไม่ค่อยพกตังค์อยู่แล้ว เกิดมีใครมาแอบตีหัวดักปล้นอยู่ตรงนี้ทำไงดีวะเนี่ย ?
อย่ากระนั้นเลย..เอาไฟที่มีอยู่น้อยนิดที่ส่องอะไรไม่ค่อยเห็นนี่แหล่ะ นำทางไป ยังไปไม่ถึงไหนเลย ก็เอาไฟไปส่องหน้าใครที่ไหนก็ไม่รู้ เลยเซย์ ซอรี่ไปทีนึง .. แล้วก็เดินต่อ พอเดินไปได้ซักหน่อยนึง ไฟสำรองก็มา เฮ่อ..คราวนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย
เลยมายืนรอรถตรงบันได (ยังไม่เข็ดค่ะ) คิดว่าเดี๋ยวซักพักก็คงหาย สิบนาทีผ่านไป ทุกอย่างยังนิ่งสนิทเหมือนเดิม ผู้คนเริ่มค่อย ๆ ทยอยเดินออกจากสถานีซับเวย์ เราก็เลยเริ่มรู้สึกว่า ไฟมันยังคงไม่มาเร็ว ๆ นี้แน่ ออกจากที่นี่แล้วนั่งแท็กซี่ไปดีกว่า..
ก่อนออกจากสถานีก็โผล่หน้าไปดูรถไฟทีนึง.. ก็ปรากฎว่าเห็นปลายขบวนของรถไฟที่เพิ่งวิ่งออกจากสถานีไปเมื่อกี้จอดนิ่งสนิทอยู่ ในใจนึกห่วงคนที่อยู่ในซับเวย์ เพราะไม่รู้จะออกมายังไง ซ้ายก็หิน ขวาก็หิน แถมรางซับเวย์ก็สกปรกซ๊า.. น้ำคลำนี่ไหลตลอดทาง (ใครคิดว่านิวยอร์กสวยงามไปหมดนี่เปลี่ยนความคิดใหม่ได้นะคะ) โอ้...
สี่โมงครึ่ง เดินออกมาจากสถานีซับเวย์ เห็นผู้คนยืนออกันเป็นล้าน.. ประสบการณ์สอนว่า ไม่ควรเรียกแท็กซี่ตรงนี้เด็ดขาด ก็เลยเดินหนีไปจากแหล่งชุมชนจากตรงนั้นไปหลายบล็อกพอควร ระหว่างเดินก็เรียกแท็กซี่ไปด้วยโทรศัพท์ไปด้วย แต่ไม่มีแท็กซี่คันไหนจอดเลย ช่วงนั้นสัญญาณโทรศัพท์มือถือเริ่มมีปัญหาแล้ว พอมองซ้ายขวาหาตู้โทรศัพท์ ก็พบภาพผู้คนต่อคิวกันเป็นวา...งั้นก็ขอลาก่อน ไม่ทง..ไม่โทรมันแล้ว
ระหว่างนั้น ก็ไปได้แท็กซี่มาคันนึง เลยกระโดดขึ้นแล้วบอกว่าจะไป Brooklyn มันบอกว่า..มันซอรี่ มันไม่ไปหรอกบรูคลินน่ะ because traffic is worse มันบอกงั้น.. โอเค..worse ก็ worse ไปคันอื่นก็ได้
ห่างกันไม่นาน มีแท็กซี่หลงมาอีกคันนึง ถามมันว่าไปบรูคลินรึเปล่า ? ยังได้คำตอบเดิมว่า..ไม่ไป..
ตอนนั้นก็เริ่มเรียนรู้แล้วว่า..มัวแต่เรียกแท็กซี่ไม่ได้ผลแน่ สงสัยจะต้องติดอยู่แถวนี้อีกนาน.. ระหว่างนั้นก็เพิ่งเริ่มสังเกตเห็นว่า ไฟจราจรมันไม่ติด การจราจรบนท้องถนน เริ่มกลายเป็นจราจล เลยเรียนรู้เพิ่มอีกอย่างนึงว่า..มันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ ๆ เลย
พอดีตอนนั้นรถเมล์วิ่งผ่านมาพอดี ป้ายบอกว่าไป Lower East Side ก็เลยกระโดดขึ้นอย่างไม่ลังเล เพราะอย่างน้อยมันก็ใกล้ที่ ๆ เราจะไปมากขึ้น แต่จะไปยังไงต่อนั้นค่อยว่ากันอีกที
นั่งรถเมล์ไปได้ไม่กี่ป้ายมันก็บอกว่า..เนี่ยป้ายสุดท้ายมันแล้ว อ้าว..มันยังไม่ Lower East Side นิหว่า คนขับก็บอกว่าต้องไปต่อคันอื่นแล้วแหล่ะ เพราะ traffic แย่มาก เลยถามคนขับก่อนลงว่าเกิดไรขึ้น ? เค้าบอกว่าตอนนี้โรงไฟฟ้ามันระเบิด ก็เลยทำให้ NY กลายเป็นอัมพาต แล้ว transportation ทุกอย่างตอนนี้หยุดหมดเพราะไม่มีกระแสไฟฟ้าเพียงพอ อ่อ..ไอซี อย่างนี้นิเอง
ทุกคนก็พากันลงแล้วก็ทำหน้าเป็นปริศนาซึ่งกันและกันว่า.. ตรูจะไปต่อยังไงดี เพราะตอนนี้มีแต่รถส่วนตัวเท่านั้น ที่จะไปไหนมาไหนได้..
อย่ากระนั้นเลย นนน. ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วโบกรถมันเลยดีกว่า ฮ่ะฮ่า ว่าแล้วก็เดินไปโบกรถไป แบบที่เคยเห็นในหนังกันนั่นแล มันส์ซะไม่มี แต่ดั๊นนนนไม่มีใครจอดเลย ..
ระหว่างที่เราเดิน...ผู้คนมากมายก็พากันเดินเหมือนกัน ร้านค้าด้านซ้าย และ ขวามือพากันเริ่มปิดตัวลง ผู้คนในร้านออกมาข้างนอก เพราะ มันร้อนมาก บางร้านก็พยายามหาทางเซฟร้านตัวเองกัน เพราะว่าทุกอย่างล้วนใช้ไฟฟ้า พอไฟฟ้าดับ...ระบบความปลอดภัยก็เหลือศูนย์
ทุกครั้งที่เดินผ่านสี่แยก จะเห็นการจราจลในจราจรเกิดขึ้น ต่างคนก็ต่างจะไป ต่างคนก็ต่างคิดว่ากรูจะไป..กรูจะไป ใครจะทำไม เวลาผ่านไป..รถเริ่มติดขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนที่ออกเดินตามท้องถนนก็มากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกัน
จนถึงสี่แยกนึง เราเห็นรถ 4x4 Benz คันนึงเจ้าของหล่อมาก (อันนี้เป็น option เสริม กิกิ) เลยโบกดู..ปรากฎว่าเค้าจอด เราและชาวเมกันอีกสองคนก็เลยถามว่าเค้าจะไปไหน เค้าบอกว่า..เค้าจะไปบรูคลิน อ๊ะ ! ได้ที ไปโตย..ไปโตย
คุยกันในรถก็ได้ความมาว่าเค้าชื่อ Adam (หล่อจริง ๆ คนอาราย) กำลังจะไปรับลูกชายอายุสองขวบที่โรงเรียน (ว้า..อกหักเลยเรา) วันนี้เนี่ยวันเกิดเค้า...เค้าก็เลยไปสปา ไปบลา บลา บลา มา ก่อนที่กำลังจะไปดินเนอร์กับภรรยา และ ลูกของเค้า แต่ดูนี่สิ..เกิดไรขึ้นเนี่ย ?
เค้าก็ถามเราว่าจะไปไหน เราก็บอกว่าจะไปที่ตรง Bedford AV. ใน Brooklyn เค้าบอกว่าเค้าไปคนละทางกัน แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวยังไงเค้าสามารถ drop เราได้ที่ตีนสะพาน Williamsburg เราก็บอกว่า..ขอบคุณมาก แค่นั้นก็โอเคแล้วแหล่ะ (คนอารายหล่อแล้วยังใจดีอีก..กี๊ดดดดดด)
พอถึงตีนสะพานก็เลยลากันเรียบร้อย หนึ่งในคนที่โบกรถมากับเราก็บอกทางว่าให้เดินไปไงต่อ (โอ้..น้ำใจในเมืองหลวง นาน ๆ ทีจะเห็น)
แล้วการเดินทางของเราก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง !
ความยาวของสะพาน Williamsburg เนี่ยก็น้อง ๆ สะพานพระรามเก้า เห็นความยาวแล้วท้อ แต่ก็รู้สึกดีหน่อยตรงที่ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเดินอยู่คนเดียว ฮ่า ฮ่า
ระหว่างเดินก็ให้ความรู้สึกเหมือนเดินเทิดพระเกียรติยังไงอย่างงั้น.. ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาเดินกันมาก ระหว่างทางก็มีช่างภาพมาคอยถ่ายรูปเก็บภาพประปราย บนท้องฟ้าก็มีเฮลิคอปเตอร์บินกันให้ว่อนเลยหล่ะ
แล้วที่โชคดีของทุกคนคือเมื่อวานเป็นวันที่ร้อนมากกกกก เพราะฉะนั้นอาบเหงื่อต่างน้ำกันทุกคนเจ้าค่ะ
พอเดินจากตีนสะพานข้ามสะพานมา นนน.ก็ต้องเดินต่ออีกประมาณสิบสองบล็อกถึงจะถึงจุดหมาย เล่าให้พี่แถวนี้ฟังเค้าถามว่า..ทำไมไม่กลับบ้าน ?
ก็เลยบอกไปว่า..ก็ตอนนั้นมันก็ตั้งใจจะไปร้านอยู่แล้ว The show must go on อีกอย่าง..ก็ไม่คิดว่ามันจะดับหนักหนาสาหัสขนาดนี้ด้วย และที่สำคัญคือ อย่างน้อยไปที่ร้านก็มีข้าว มีน้ำ ให้กิน มีเงินให้หยิบ (แล้วค่อยเอามาคืน) อย่างน้อยถึงที่ร้านแล้วยังไงก็ต้องมีคนมาส่งบ้าน เพราะฉะนั้น..ไปที่ร้านดีกว่าถอยหลังกลับบ้านแน่นอน
แล้วก็เป็นไปตามคาดจริง ๆ เฮ่อ..ผ่านนรกไปหนึ่งวัน กว่าไฟจะติดก็ตีห้าของวันรุ่งขึ้น ไฟติดปุ๊บ ก็ต้องมานั่งแก้ไวรัสก่อนปั๊บ ไม่งั้นจะหงุดหงิดใจ ทำไมมันซวยอย่างนี้
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริง ๆ อิฉัน
และหลังจากวันนั้นก็มาคุยกันในบรรดานิ้วโยกเก้อทั้งหลาย แต่ละคนก็มีประสบการณ์ต่างๆ กันไป มีพี่คนนึงดั๊นนน..ติดอยู่ในซับเวย์ ซวยมาก แล้วดันอยู่ในช่วงที่มันเป็นอุโมงค์ด้วย เพราะฉะนั้นออกไปไหนไม่ได้เลย แถมอากาศก็ไม่มีหายใจ พวกผู้คนรอบข้างเริ่มร้องไห้ ประมาณว่าตายแน่แล้ว
เพราะ จนท.บอกว่าให้รอ FDNY มาก่อน ถึงจะออกได้ เพราะว่าไม่มีไฟเลย ทุกอย่างมืดสนิท แถมถ้าออกเดินตอนนั้น เกิดไฟมา..รถไฟจะวิ่งอัตโนมัติ โดนรถไฟทับตายกันทุกคนแน่
สุดท้ายเค้าก็รอคนมาช่วย แล้วก็พากันเดินตามทางซับเวย์เน่า ๆ จนออกมาได้...
ฟังแล้วเหนื่อยแทน..
จากคุณ :
น้องแหนมเนือง
- [
19 ส.ค. 46 22:58:32
]
|
|
|